หลังจากทิ้งทวนความซับซ้อนของความรักและอาชญากรรมไว้ใน Decision to Leave (2022) ผู้กำกับระดับปรมาจารย์อย่าง พัคชานอุค (Park Chan-wook) ก็หวนคืนสู่จอฟีเจอร์ฟิล์มอีกครั้งด้วยภาพยนตร์เรื่อง No Other Choice
หากใครที่คุ้นเคยกับผลงานของพัคชานอุค จะทราบดีว่าเขามักจะนำเสนอเรื่องราวอันดำมืดและจิตใจที่ซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง และในครั้งนี้เขาก็ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการหยิบยกเรื่องราวมาจากนวนิยายชื่อดังของ โดนัลด์ อี. เวสต์เลค (Donald E. Westlake) เรื่อง The Ax มาตีความใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบของภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ อาชญากรรม และที่สำคัญคือ “ตลกร้าย” ที่เป็นลายเซ็นของเขาเองได้อย่างลงตัว
หนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของ มันซู (รับบทโดย อีบยองฮอน) ชายวัยกลางคนที่ทำงานในบริษัทผลิตกระดาษมาอย่างยาวนานถึง 25 ปี แต่ชีวิตที่มั่นคงของเขากลับต้องพังทลายลงในชั่วพริบตาเมื่อเขาถูกปลดจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า ด้วยแรงกดดันทางเศรษฐกิจและภาระที่ต้องดูแลภรรยา (ซนเยจิน) และลูกอีกสองคน มันซูจึงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหางานใหม่ แต่เมื่อความพยายามทุกอย่างดูเหมือนจะไร้ผล ความสิ้นหวังก็ผลักดันให้เขาคิดแผนการอันดำมืดที่ไม่น่าเชื่อ นั่นคือการ “กำจัด” คู่แข่งในการสมัครงานของเขาให้หมดสิ้นไป
พัคชานอุคได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้เห็นภาพยนตร์เวอร์ชันก่อนหน้า (ของผู้กำกับชาวกรีก คอสต้า กาวราส) และรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้มีศักยภาพในการถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่มี “อารมณ์ขันอันดำมืด” ได้อย่างมาก และเขาตั้งใจที่จะสำรวจประเด็นนี้อย่างละเอียด ซึ่งจากข้อมูลที่ได้เปิดเผยออกมา ทำให้เรามองเห็นถึงมิติที่น่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งความตึงเครียดของสถานการณ์ที่ตัวเอกต้องเผชิญ และความตลกขบขันที่เกิดขึ้นจากความไร้เหตุผลของมนุษย์ในภาวะคับขัน
ทั้งนี้ หนึ่งในความน่าสนใจที่สุดของ No Other Choice คือการโคจรมาพบกันของสองนักแสดงมากฝีมือแห่งวงการภาพยนตร์เกาหลีอย่าง อีบยองฮอน และ ซนเยจิน ซึ่งต่างก็มีชื่อเสียงจากผลงานที่หลากหลายและพิสูจน์ฝีมือมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอีบยองฮอนที่บทบาทของเขามักจะเต็มไปด้วยความเข้มข้นทางอารมณ์อยู่เสมอ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับบทบาทของมันซู ชายผู้ถูกบีบให้ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของศีลธรรมเพื่อเอาชีวิตรอด ในขณะที่ซนเยจินที่รับบทภรรยาของมันซู ก็จะนำเสนอความแข็งแกร่งและสง่างามของผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับวิกฤติครอบครัว ซึ่งการปะทะกันทางอารมณ์ของทั้งสองในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่แฟนภาพยนตร์ทั่วโลกต่างเฝ้ารอคอย
สิ่งที่เราคาดหวังจากผลงานของพัคชานอุคคือสไตล์ภาพอันเป็นเอกลักษณ์ การจัดองค์ประกอบภาพที่พิถีพิถัน การเล่าเรื่องที่หักมุม และการสำรวจจิตใจมนุษย์ในแง่มุมที่เราคาดไม่ถึง และจากข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ No Other Choice ก็บ่งบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะยังคงรักษามาตรฐานดังกล่าวไว้ได้อย่างครบถ้วน
ที่สำคัญ ประเด็นเรื่อง “การไร้ทางเลือก” (No Other Choice) ของมันซู ไม่ใช่แค่เรื่องของการหางานทำ แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาสังคมเกาหลีในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องการแข่งขันที่ดุเดือด ความไม่มั่นคงในอาชีพการงาน และความกดดันทางเศรษฐกิจที่ผลักดันให้คนธรรมดาต้องกลายเป็นอาชญากร ซึ่งพัคชานอุคน่าจะใช้จังหวะนี้ในการวิพากษ์วิจารณ์ระบบสังคมอย่างเจ็บแสบผ่านเรื่องราวสุดโต่งนี้ โดยมี “อารมณ์ขันอันน่าเศร้า” เป็นเครื่องมือในการนำเสนอ
No Other Choice คือการเดินทางเข้าสู่ห้วงลึกของจิตใจมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับความสิ้นหวังในโลกที่ไร้ความปรานี พัคชานอุคจะพาเราไปสำรวจว่าเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วร้ายนั้นเปราะบางเพียงใด และเมื่อคนธรรมดาถูกผลักจนหลังชนฝา ทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ อาจเป็นสิ่งที่ “ไม่มีทางเลือก” อื่นใดอีกแล้ว
