กลายเป็นเรื่องเป็นราว กรณีที่ “กัน จอมพลัง” ออกมาชี้แจงผ่านรายการลุยชนข่าว ว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งหรือประธานของมูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้ แค่ให้ยืมชื่อตั้งมูลนิธิ และรับหน้าที่ที่ปรึกษา โดยประธานตัวจริงคือรุ่นน้องคนนึง ที่มีความสามารถ
ต่อมา “นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม” นักสิทธิมนุษยชน โพสต์เอกสาร ข้อบังคับมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ระบุชัดในข้อที่ 39 “ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไป ทรัพย์สินทั้งหมดที่เหลืออยู่ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า” อีกทั้งมูลนิธิสามารถเลิกกิจการได้โดยไม่ต้องรอศาลสั่ง ทำให้เกิดการตั้งคำถามในสังคม ประชาชนที่เคยบริจาคเงินช่วยเหลือกัน จอมพลัง ต่างไม่พอใจ เพราะไม่มีการบอกกล่าวใดๆ ถึงเรื่องนี้มาก่อน
รวมไปถึง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล”ที่โอนเงินช่วยมูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้ เป็นจำนวน 5 หมื่น ได้ออกมาฟาดว่า “ผมโอนช่วยกัน 50,000 เพราะคิดว่าเป็นของกัน สรุปมูลนิธิเป็นของคนอื่น ควรบอกก่อนให้คนโอน” พร้อมแนบหลักฐานการโอนเงินเข้ามูลนิธิ
งานนี้ทำเอาชาวเน็ตไปตั้งคำถามว่าแบบนี้จะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนหรือเปล่า
ขณะที่ “กัน จอมพลัง” ได้โพสต์คลิปตอบโต้ชาวเน็ตในเรื่องนี้ ลั่นผิดกฎหมายตรงไหน ตนเป็นผู้ก่อตั้ง ให้คนมาขับเคลื่อนมูลนิธิ แปลว่าไม่โปร่งใสเหรอ พ้ออะไรก็ไม่รู้ ตั้งแต่มาช่วยทหาร ทำไมทำความดีมันยากขนาดนี้
“วันๆ ไม่ต้องทำงานแล้ว เอาแต่นั่งตอบคำถาม เดี๋ยวก็สนิทกับคนนั้นคนนี้ ตอนนี้มีเรื่องมูลนิธิอีก กันว่าผิดกฎหมายตรงไหน ผมเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ถ้าวันใดตุยไปแล้วมีคนมาขับเคลื่อนมูลนิธิ แปลว่าไม่โปร่งใสเหรอ ผมตั้งใจทำมูลนิธิมาเพื่อว่าชื่อผมสามารถช่วยคนได้ หากวันใดวันนึงผมไม่อยู่แล้ว จะช่วยคนอื่นได้ต่อไป
แล้วการบริหารแบบนี้ไม่ได้มีแค่มูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้ มูลนิธิใหญ่ๆ ระดับประเทศ มูลนิธิผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองก็เอาผู้บริหารมาบริหารองค์กร องค์กรต้องใช้ระบบบริหาร ผมลงพื้นที่ทำงานอย่างหนัก แล้วต้องมาทำงานเอกสารด้วยเหรอ แล้วการมีผู้บริหารคนอื่นมาบริหารมูลนิธิ มันก็จะโปร่งใส แล้วระหว่างผมไม่อยู่เขาก็สามารถขับเคลื่อนทำงานได้ ยกตัวอย่างตอนนี้ทีมกัน จอมพลังช่วยสู้กำลังไปช่วยเด็กที่ปทุมธานี ทั้งที่ตัวผมอยู่สุรินทร์
วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรกับผมนักหนา การที่ผมออกมาช่วยทหาร ช่วยคน มันดูยากเย็นนัก ถ้าการทำความดีมันยากขนาดนี้ ต่อไปใครจะกล้าทำความดีครับ ฝากทุกคนช่วยส่งต่อด้วยครับ”
