“คุณย่าอุไรวรรณ”เล่าทั้งน้ำตากว่าจะเป็นประธานบริษัทหมื่นล้าน สู้ชีวิตลุยทำงานเลี้ยงลูกลูกชาย ”น็อต วิศรุต“ นั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเอง เลิกเรียนไม่เคยอายเดินไปลอตเตอรี่ช่วยครอบครัวหาเงิน ด้าน“คุณยายหนิง” เล่าชีวิตกว่าจะมีชีวิตเป็นคุณนายแบบนี้ ก็สู้ลุยดูแลลูกและสามีเพียงลำพัง พร้อมเผยเคล็ดลับวัยเลข 7 ยังแข็งแรงแบบนี้เพราะอารมณ์ดี และบาลานซ์ชีวิต
เป็นแขกรับเชิญที่แฟนๆ 3 แซ่บเรียกร้องอยากให้เชิญไอดอลวัยเกษียณ คุณย่า-คุณยาย “น้องเกล”นั่นก็คือ “คุณย่าอุไรวรรณ หาญอุดมสุข” คุณแม่ของ “น็อต วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์” และ “คุณยายหนิง วารี หน่อแก้ว”คุณแม่ของ “ชมพู่ อารยา เอฮาร์เก็ต”มาพูดคุย ย่าอุ-ยายหนิง ไม่ทำให้เอฟซีผิดหวัง หลังจากดูจบแล้วเอฟซีพากันคอมเมนต์ว่าเป็นเทปที่ดูแล้วมีความสุขมาก ชอบทัศนคติของทั้งคู่
ย่าอุ : “ปีนี้ 74 แล้ว สวยทั้งภายนอกภายในค่ะ เวลาไปไหนเจอเอฟซีเขาก็จำเราได้ตลอด ขนาดปลอมตัวเขาก็จำได้ บางทีเราก็อยากเดินไปไหนมาไหนง่ายๆ แบบส่วนตัว เห็นเป็นเอฟซีเราก็ยินดีถ่ายรูปอยู่แถว ถ่ายเสร็จเราก็ยกมือขอบคุณเขา”
ยายหนิง : “ปีนี้ 70 ค่ะ ไปไหนมาไหนใครมาขอถ่ายรูปยายยินดีมากๆ ค่ะ ไม่งอแง”
ย่าอุ : “เราก็ดูแลตัวเอง เห็นแข็งแรง กิจวัตรประจำวันคือตื่นตี 5 ดื่มน้ำเปล่าก่อนเลยอันดับแรก แล้วก็ออกไปเดินออกกำลังกายที่สวนหน้าบ้าน บางวันก็เดินในน้ำ ลูกซื้อจักรยานให้ป้่น ออกกำลังกายเสร็จก็ทานข้าว จากนั้นวันไหนมีงานก็ไปทำงาน หรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเพื่อน ไปเล่นแบดฯ เรามีคอร์สแบดฯ อยู่แถวๆ ธรรมศาสตร์ รังสิต เข่ายังดี เล่นได้อยู่”
ยายหนิง : “นอนประมาณ 4 ทุ่ม ตื่นตี 4 ครึ่งไม่ก็ตี 5 อาบน้ำอาบท่าหาอะไรใส่ท้อง จะปั่นน้ำผัก ผลไม้ทาน แล้วก็เข้าสวน สายๆ ก็กลับบ้านมาทำอาหารกิน ถ้าไม่เหนื่อยก็จะไปเดินเล่นช็อปิ้ง แต่ถ้าเหนื่อยก็อยู่บ้าน จะมีเข้าเมืองมาออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2 วัน มาอยู่กับหลาน มายกเวท ยายจะไปเล่นที่ฟิตเนสของลูกที่เอ็มสเฟียร์”
ย่าอุ : “เคล็ดลับคืออารมณ์ดี เรามีความสุขสดใสอารมณ์ดี ส่วนนึงเพราะลูกหลานไม่สร้างความเดือดร้อนให้เรา แค่นี้ก็คือความสุขของเราแล้ว”
ยายหนิง : “ไม่ต้องไปคิดอะไรเยอะ ทำตัวให้โบราณหน่อย นอนแต่หัวค่ำ ตื่นให้เช้า ออกกำลังกายแต่พอดี ดื่มน้ำเยอะๆ กินอาหารที่ไม่ปรุงเยอะ ดีที่สุดคือทำทานเอง”
ย่าอุ : “ย่าไม่ได้ทำสวยอะไรเลย แต่ลูกสะใภ้ก็เปิดคอร์สนวดหน้าให้ แค่นั้นเลย”
ยายหนิง : “ทำอัลเทอร่ายกกระชับปีละครั้ง เน้นดูแลจากภายในสู่ภายนอก”
ห่วงเรื่องสุขภาพลูกๆ ไม่อยากให้ทำอะไรที่เกินพอดีจนไม่มีความสุข
ยายหนิง : “ห่วงเรื่องสุขภาพลูกๆ เขาทำงานเยอะ คือเขาดูแลตัวเองก็จริง แต่เขาทำงานเยอะเกินไป ก็ห่วงเดี๋ยวมันจะเป็นโรคเครียดโดยไม่รู้ตัว เตือนก็ไม่ฟัง”
ชมพู่ : “เอาอยู่ เอาอยู่”
ยายหนิง : “เอาอยู่ ชัวร์! เราก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ลูกก็ 3 คนแล้วงานอีก วันหยุดก็ไม่หยุดยังจะหาเรื่องทำงาน ก็เลยเป็นห่วง”
ย่าอุ : “ก็ห่วงสุขภาพเหมือนกัน เขาทำงานหนัก ชมเขาก็เป็นแม่ที่ดีของครอบครัว เขาเพอร์เฟ็กต์ทุกอย่าง”
ยายหนิง : “ไม่จริงหรอก มันต้องมีบ้างแหละ”
ย่าอุ : “คุณก็ชอบไปจับผิด”
ยายหนิง : “คุณก็อวยหลาย”
ย่าอุ : “ฉันพูดความจริง บางอย่างก็ให้มันผ่านๆ ไป จะไปจับผิดลูกหลานมากมายทำไม”
ชมพู่ : “จะบอกว่าถ้าเป็นเรื่องสุขภาพไม่ต้องห่วงเลย ทุกวันนี้หายใจเข้า-ออกเป็นเรื่องสุขภาพกันแล้วจนจะเป็นบ้าทั้งผัวทั้งเมียแล้ว”
ยายหนิง : “อะไรเยอะเกินไปก็ไม่ดีนะ ไปทำอะไรที่มันเกินความสุข บังคับตัวเองเยอะๆ ฉันต้องเป็นแบบนั้นฉันต้องเป็นแบบนี้ ฉันต้องได้อย่างนี้นะ โห..บิวตฺ์กล้าม บิวต์นั่น บิวต์นี่ ยายว่าไม่เอาแบบนี้ เอาแค่แข็งแรง ทำแค่พอดี พอมีความสุข ถ้ามันเยอะไปมันไม่มีความสุขหรอก”
ชมพู่ : “พอดีเราไม่เท่ากัน”
ย่าอุ : “ฉันค้านหน่อย คุณอายุเท่าไหร่ แล้วลูกสาวคุณอายุเท่าไหร่”
ยายหนิง : “มันชอบเอาเรื่องของมันกับเรื่องของเรามาเปรียบเทียบ เช่น แม่ทำสวนอย่างเดียวมันไม่พอ กล้ามเนื้อมันจะเหี่ยว”
ชมพู่ : “กล้ามเนื้อมันเป็นปัจจัย เป็นหัวใจหลักของการมีอายุยืนยาว เราจะต้องมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพื่อที่ว่ายูอายุ 80-90 ปี ยูยังสามารถลุกนั่ง หรือทำอะไรที่เป็นทักษะ ไม่งั้นยูก็จะลำบากเอง”
ยายหนิง : “รับประกันว่า 80-90 ปีก็จะยังลุกนั่งเองได้ โอเคไหม”
ชมพู่ : “โอเคๆ”
ยายหนิง : “อันนี้ไม่ใช่ทะเลาะนะ เป็นการคุยกันแลกเปลี่ยนทัศนคติของครอบครัวเรา แล้วแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าบ่นด้วย”
หญิงเก่งลุยเลี้ยงลูกดูแลครอบครัว “คุณย่าอุไรวรรณ” เล่าชีวิตครอบครัวกว่าจะเป็นนักธุรกิจหมื่นล้าน ตอนเด็กๆ นั่งรถเมล์ เวลาว่างก็ขายลอตเตอรี่ช่วยครอบครัวหาเงิน
ยายหนิง : “คนเราก็เก่งคนละอย่าง ยายหนิงทำสวน คุณย่าเขาก็ลุยทำธุรกิจ”
ย่าอุ : “เราลุยมาตั้งแต่สมัยตั้งตัวไง เราก็ลุยสร้างครอบครัว สร้างโรงงาน ตอนนี้สบายแล้ว ซุปเปอร์สบาย”
ยายหนิง : “ทำทุกอย่างเอง เลี้ยงลูกเอง มันก็ทั้งเหนื่อยทั้งสุขนะ ไปรับไปส่งลูก ทำคนเดียวตลอด”
ย่าอุ : “แต่ก่อนเราขายของหน้าร้านที่เป็นห้องแถว น็อตไปโรงเรียนแม่จะเป็นคนขับรถกระบะไปส่ง ขากลับก็นั่งรถเมล์สาย 3 กลับมาเอง ถ้า 6 โมงเย็นยังไม่ถึงบ้านอากงจะโวยวาย บางทีเขานั่งรถเมล์เลยไปสุดสายถึงหมอชิต ตอนเขาอยู่ ป.4-ป.5 เราก็เดินขายลอตเตอรี่กัน ไปขอแบ่งของเขามาขาย แล้วเอาไปเดินขายแถวเยาวราช เขาก็ต้องเรียกคนให้มาช่วยซื้อ เราก็ได้พิเศษเดือนนึงประมาณ 400-500 บาท ตอนนั้นคือเยอะแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ทำมาหากินสุจริต
ย่าเองเมื่อก่อนเป็นคนที่พูดไม่เก่งเลย เป็นคนขี้อาย แต่พอมีครอบครัวเราก็ช่วยกันทำงาน สามีเป็นวิศวกรอยู่เบื้องหลัง เราเองจากคนที่พูดไม่เป็นก็ต้องมาหัดพูดเพื่อไว้เรียกลูกค้า ซื้อของมาขายหน้าร้าน แล้วเราก็รับซ่อมเตารีด ซ่อมหม้อหุงข้าว เราจะดูแลหน้าร้าน การขายต่างๆ ออกตลาดเอง ลุยเอง ก็เลยจะดูเป็นคนพูดไม่เพราะ ไม่อ่อนหวาน เพราะเราต้องคุมคน คุมลูกน้อง ถ้าเราไม่เป็นแบบนี้ช่างบางคนมันคุมไม่อยู่ เราก็ต้องเปลี่ยน จากคนพูดน้อยมาพูดมาก ลุยๆ แบบนั้น ทำอยู่ 5 ปี จนตอนนี้ซุปเปอร์สบาย (ร้องไห้) ลูกๆ ดูแลดีมาก เขาก็ตอบแทนเราทุกคน ถือว่าเรามีบุญ ลูกทำให้เรามีพลังทำทุกๆอย่าง เพื่ออนาคตของลูก แล้ววันนี้เราก็ภูมิใจในตัวเองว่าเราสู้ชีวิตมา มันต้องทั้งแกร่ง ทั้งเก่ง มันต้องเก่ง”
ส่วน “ยายหนิง” ร้องไห้นำก่อนถามถึงชีวิตดูแลลูกและสามีลำพังคนเดียว พร้อมเล่าความประทับใจที่มีต่อ “คุณย่าอุไรวรรณ”
ยายหนิง : “ตอนที่มิสเตอร์เจมส์ป่วยอยู่โรงพยาบาลนาน เราเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรในประเทศไทยเราตัวคนเดียว ย่าเขามาทุกวัน มาตั้งแต่ 10 โมงเช้า 3-4 ทุ่มถึงกลับทุกวัน กี่เดือนก็ไม่รู้ จำไม่ได้ ก็คือประทับใจมาก ไล่กลับก็ไม่กลับ บอกเขามันเมื่อย มานั่งทำอะไรตรงนี้ เขาก็บอกไม่กลับ แถมมาอีกทุกวัน สั่งอาหารมาให้ มานั่งกินกันในห้อง บางวันก็ออกไปกินข้างนอก ตากแดด ตากฝน ลุยนกันไป อารยาเขาก็ไปทำงาน”
ย่าอุ : “เราก็เห็นลูกสาวแกไปทำงานไง แกก็ไม่มีใครก็เลยไปอยู่เป็นเพื่อนแก ตอนนั้นแกยังเพื่อนน้อย ก็ต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตอนนี้ไม่ต้องแล้วแกไปโลดแล้ว บินสูงกว่าเราอีก”
ยายหนิง : “กู่ไม่กลับแล้ว ตอนนี้เพื่อนก็ยังไม่มีเหมือนเดิม แต่เอฟซีเยอะ ชีวิตเมื่อก่อนตอนอยู่กับสามี ไปไหนสามีนั่งมองแต่นาฬิกาว่าเราจะกลับตอนไหน ตอนนี้ไม่ต้องรอ อยากกลับก็กลับ อยากไปไหนก็ไป ไปต่างจังหวัด ไปทำบุญบ้าง ไปเข้าป่าบ้าง ปีนเขา เก็บเห็ด เก็บหน่อไม้ เก็บผัก ลูกไม่มีเวลามาโทร.ตาม ลูกอยากรู้ว่าแม่อยู่ไหนก็อัปเดตในโซเชียลเอา”
ชมพู่ : “ตอนพ่อเสียใหม่ๆ แม่เขาก็เหวอไปเหมือนกัน เหมือนเขาตื่นมาแล้วเขาไม่มีอะไรทำ ทั้งชีวิตแกก็คือดูแลทุกคน พ่อก็ป่วยเป็น 10 ปี เราก็บอกเขาว่าก็เป็นคุณนายไง อยากใช้ชีวิตอะไรก็ไปได้แล้ว ไปใช้ชีวิตที่เคยขาดหายไป แล้วตอนนี้ก็คือกู่ไม่กลับแล้ว”
