เควิน เฟเดอร์ไลน์เปิดปากแฉ “บริทนีย์ สเปียร์ส” ใช้ยา-พฤติกรรมสุดแปรปรวน คัดค้านการยุติภาวะพิทักษ์ทรัพย์ เผย 7 ประเด็นใหญ่จากหนังสือใหม่
“คุณคิดว่าคุณรู้จักผม” (You Thought You Knew) คือชื่อหนังสืออัตชีวประวัติเล่มแรกของเควิน เฟเดอร์ไลน์ อดีตสามีของป๊อปสตาร์ชื่อดัง บริทนีย์ สเปียร์ส ที่ตัดสินใจออกมาเล่ามุมของตนเองเป็นครั้งแรก ชายวัย 47 ปีซึ่งแจ้งเกิดในฐานะนักเต้นก่อนจะตกเป็นที่สนใจของสื่อทั่วโลกเมื่อแต่งงานกับสเปียร์สในปี 2004 เล่าถึงชีวิตที่พลิกผันจากเวทีคอนเสิร์ตสู่กระแสข่าวฉาว การต่อสู้เพื่อสิทธิเลี้ยงดูลูกชายสองคน เพรสตันและเจย์เดน และภาพลักษณ์ที่ถูกเยาะเย้ยในที่สาธารณะ
เฟเดอร์ไลน์ย้อนเล่าชีวิตตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักเต้นในทัวร์ของ LFO และ Pink ไปจนถึงความสัมพันธ์กับชาร์ แจ็กสัน แฟนเก่าที่มีลูกด้วยกัน ก่อนจะโฟกัสไปที่เรื่องราวความรักสุดปั่นป่วนกับสเปียร์ส ตั้งแต่วันแรกที่พบกันจนถึงความขัดแย้งรุนแรงและชีวิตหลังการหย่าร้าง โดยย้ำว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่เขาห่วงใยคือ “ความปลอดภัยและความสุขของลูก”
ด้านตัวแทนของสเปียร์สออกแถลงการณ์ตอบโต้ผ่าน Variety ว่า “ข่าวจากหนังสือของเควินเป็นเพียงความพยายามแสวงหาผลประโยชน์จากเธออีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากเงินเลี้ยงดูบุตรสิ้นสุดลง สิ่งที่บริทนีย์ห่วงใยมีเพียงลูกทั้งสองและความเป็นอยู่ของพวกเขาท่ามกลางกระแสข่าวฉาวเหล่านี้ เธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองไว้แล้วในหนังสืออัตชีวประวัติของเธอ”
และนี่คือ 7 ประเด็นใหญ่ที่เฟเดอร์ไลน์เปิดเผยในหนังสือเล่มนี้:
ชีวิตที่ถูกโยนเข้าสู่พายุชื่อเสียง
เฟเดอร์ไลน์เล่าว่าหลังพบสเปียร์สที่คลับในฮอลลีวูด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอถึงขั้นเรียกร้องให้ทีมงานพาเขาไปทัวร์ยุโรปด้วย แม้ทีมรักษาความปลอดภัยจะเตือนให้ “ระวัง เพราะนี่คือเรือที่กำลังจะจม” แต่เหตุการณ์คืนหนึ่งในอัมสเตอร์ดัมกลายเป็นจุดเปลี่ยน เมื่อเขาเจอเธอกำลังจูบกับนักเต้นหญิงชื่อเทเรซาในห้องพักโรงแรม หลังจากขอโทษกัน เธอก็ยอมรับว่าเฟเดอร์ไลน์ไม่ได้เข้ามาเพราะชื่อเสียงหรือผลประโยชน์
บริทนีย์ยังมี “เรื่องค้างคาใจ” กับจัสติน ทิมเบอร์เลค
คืนก่อนแต่งงานกับเฟเดอร์ไลน์ในปี 2004 สเปียร์สโทรคุยกับแฟนเก่า จัสติน ทิมเบอร์เลค และร้องไห้ออกมา เธอบอกว่าอยาก “ปิดฉากชีวิตเก่า” ก่อนเริ่มต้นใหม่ แต่เฟเดอร์ไลน์เชื่อว่าเธอ “ไม่เคยก้าวข้าม” ความสัมพันธ์นั้นได้จริง “เธออาจจะรักผม แต่บางอย่างกับจัสตินคือสิ่งที่เธอปล่อยวางไม่ได้”
รู้เรื่องการหย่าร้างจากปากนักข่าว
เฟเดอร์ไลน์เผยว่าช่วงที่ความสัมพันธ์เริ่มพังทลายคือค่ำคืนฮาโลวีนปี 2006 ขณะจัดงานเปิดตัวอัลบั้ม เขาเดินเข้าไปเจอสเปียร์สใช้โคเคนในห้องแต่งตัว ทั้งที่ยังให้นมลูกอยู่ เขาขอร้องไม่ให้เธอกลับไปให้นมลูกในสภาพนั้น แต่เธอกลับขว้างแก้วใส่หน้าเขาและเดินหนี วันรุ่งขึ้นเขาโทรหาทนายเพื่อห้ามเธอให้นมลูก และระหว่างเดินสายโปรโมตอัลบั้มในโทรอนโต โปรดิวเซอร์ถามเขาว่า “รู้สึกยังไงที่บริทนีย์ยื่นฟ้องหย่า?” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขารับรู้เรื่องนี้
พฤติกรรมสุดแปรปรวนกับลูก ๆ
เฟเดอร์ไลน์กล่าวหาว่าสเปียร์สเคย “ยืนถือมีด” เฝ้าดูลูกชายหลับในเวลากลางคืนโดยไม่มีคำอธิบาย เคย “ต่อยหน้า” ลูกชายเพรสตัน บังคับให้ลูก “อาบน้ำด้วยกัน” ทั้งที่โตแล้ว และ “ย้อมผมจนไหม้หนังศีรษะ” รวมถึงให้เจย์เดนกินอาหารที่แพ้ บางครั้งยัง “ตะโกนด่าทอ” ลูก ๆ และปลุกขึ้นมาใส่โลชั่นตอนเที่ยงคืน วันหนึ่งเธอถึงขั้นบอกเพรสตันว่า “อยากให้ลูกทั้งสองและพ่อของพวกเขาตายไปให้หมด”
มองย้อนเหตุการณ์โกนหัว-ทุบรถปาปารัซซี
เฟเดอร์ไลน์เล่าถึงเหตุการณ์ที่สเปียร์สล็อกตัวเองในห้องน้ำกับลูกชายและกล่าวหาว่าเด็กถูกทำร้ายที่บ้านเขา จนนำไปสู่การบังคับตัวเธอเข้ารับการรักษาทางจิต “ผมรู้สึกปวดใจ เธอคือคนที่ผมเคยรัก”
ไม่เห็นด้วยกับกระแส “Free Britney”
เขาสนับสนุนการพิทักษ์ทรัพย์เพราะเชื่อว่าเป็นทางเดียวที่จะรักษาความปลอดภัยให้เธอและลูก ๆ เฟเดอร์ไลน์วิจารณ์ว่า “ขบวนการ Free Britney กลายเป็นเหมือนฝูงชนแฟนคลับที่ขาดความเข้าใจ” และมองว่าศาลยุติการพิทักษ์ทรัพย์เพราะ “แรงกดดันจากสังคม” มากกว่าหลักฐานทางวิชาชีพ เขาเรียกร้องให้เปลี่ยนพลังนั้นมาเป็น “Save Britney” เพราะ “นี่ไม่ใช่เรื่องเสรีภาพอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของชีวิตรอด”
ยังคงเป็นห่วง
แม้ไม่ได้ติดต่อกับสเปียร์สมาหลายปี เฟเดอร์ไลน์ยอมรับว่า “ความเร่งด่วน” กำลังเพิ่มขึ้น “พฤติกรรมที่ไม่เสถียร การตัดขาดผู้คน การปฏิเสธความช่วยเหลือ ทั้งหมดคือสัญญาณอันตราย” เขากลัวว่าสุดท้ายลูกชายทั้งสองจะต้อง “เก็บเศษซากชีวิต” ไว้เบื้องหลัง “พวกเขารักแม่ เห็นสัญญาณเตือน แต่ไม่รู้จะช่วยยังไงโดยไม่ถูกโจมตีหรือตำหนิ”
