xs
xsm
sm
md
lg

6 เหตุผล “The Smashing Machine” ของ ดเวย์น จอห์นสัน ถึงพังยับในบ็อกซ์ออฟฟิศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพยนตร์ The Smashing Machine ของ Dwayne Johnson เปิดตัวในสหรัฐฯ เพียง 6 ล้านดอลลาร์ ต่ำสุดในอาชีพของเขา
แม้ชื่อเสียงจะดังสนั่นไปทั่วโลก แต่ภาพยนตร์ดราม่ากีฬาเรต R เรื่องใหม่ของ ดเวย์น “เดอะร็อก” จอห์นสัน เรื่อง The Smashing Machine กลับเปิดตัวอย่างน่าผิดหวังในสหรัฐฯ ด้วยรายได้เพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นตัวเลขเปิดตัวต่ำที่สุดในอาชีพของซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูดคนนี้ และยังเป็นข่าวร้ายสำหรับค่าย A24 ที่ทุ่มทุนสร้างไปกว่า 50 ล้านดอลลาร์ (ยังไม่รวมค่าการตลาด) ซึ่งอาจขาดทุนหลายสิบล้านหากรายได้ไม่ฟื้นตัว

ภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตจริงของนักมวยปล้ำและแชมป์ UFC อย่าง มาร์ก เคอร์ ถ่ายทอดเรื่องราวการกลับคืนสังเวียนหลังเอาชนะปัญหายาเสพติด เป็นบทบาทที่จริงจังและแตกต่างจากภาพลักษณ์พระเอกแอ็กชันและหนังครอบครัวที่ทำให้เดอะร็อกโด่งดัง แต่แม้คำวิจารณ์จะอยู่ในเกณฑ์ดี (คะแนน Rotten Tomatoes 73%) และมีเสียงชื่นชมจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิส ทว่าผู้ชมทั่วไปกลับไม่ตอบรับ โดยให้เกรดเพียง “B-” จากโพล CinemaScore

ต่อไปนี้คือ 6 เหตุผล ที่ทำให้ The Smashing Machine ล้มเหลวบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ

ผู้ชมสับสนว่าหนังนี้ทำมาเพื่อใคร

คำถามใหญ่คือ “หนังนี้สร้างมาให้ใครดู?” A24 โปรโมตหนังในฐานะดราม่าอาร์ตเฮาส์ที่หวังรางวัล นำไปฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลเวนิสและสร้างกระแสว่าคือการแปลงโฉมครั้งใหญ่ของเดอะร็อก แต่กลุ่มผู้ชมเปิดตัวกลับเป็นผู้ชายอายุ 18–36 ปีถึง 64% และเกือบ 70% เป็นผู้ชายทั้งหมด ในขณะที่ผู้ชมอายุมากกว่า 55 ปี ซึ่งเป็นฐานหลักของหนังอาร์ตเฮาส์ มีเพียง 8% ผู้ชมที่คาดหวังฉากบู๊ผิดหวังกับหนังดราม่าเข้มข้น ส่งผลให้เสียงตอบรับปากต่อปากไม่ดี

เดอะร็อกพลิกบทบาทครั้งใหญ่ สวมบทนักมวยปล้ำ “มาร์ก เคอร์” ที่ต่อสู้กับยาเสพติดและชีวิตส่วนตัว แต่ผู้ชมกลับไม่ตอบรับเท่าที่คาด
ต้นทุนสูงเกินความเสี่ยง

เดอะร็อกเป็นดาราค่าตัวแพง ซึ่งปกติสมเหตุสมผลเมื่อเป็นหนังแอ็กชันตลาดกว้าง แต่ The Smashing Machine เป็นงานทดลองแนวดราม่า การจ่ายค่าตัวมหาศาลกลับเพิ่มความเสี่ยง A24 ต้องเปิดฉายในกว่า 3,000 โรงทั่วสหรัฐฯ แทนที่จะใช้กลยุทธ์เปิดจำกัดโรงแล้วสร้างกระแสแบบหนังรางวัล และด้วยการแบ่งรายได้ตั๋วราว 50/50 ระหว่างสตูดิโอกับโรงหนัง ทำให้หนังต้องทำเงินเกิน 100 ล้านดอลลาร์ ถึงจะคุ้มทุน

ตัวเลขนี้เคยเกิดขึ้นกับหนังของ A24 เพียงไม่กี่เรื่อง และที่สำคัญ หนังแนวกีฬามักขายตั๋วต่างประเทศไม่ดี เพราะแต่ละประเทศมีวัฒนธรรมกีฬาของตนเอง

เดวิด เอ. กรอส ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดภาพยนตร์กล่าวว่า “ดราม่ากีฬาไม่ค่อยไปได้ดีในตลาดต่างประเทศ มวยปล้ำอเมริกันคือปรากฏการณ์เฉพาะถิ่น”

หนังได้รับเสียงปรบมือยืนยาว 15 นาทีในเทศกาลภาพยนตร์เวนิส แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นรายได้จริงในตลาดอเมริกา
กระแสเริ่มแรงแต่ตกอย่างรวดเร็ว

กันยายนที่ผ่านมา หนังเคยถูกคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวราว 17 ล้านดอลลาร์ จากแรงดึงดูดของเดอะร็อก แต่ก่อนเข้าฉายตัวเลขถูกปรับลดเหลือ 15 ล้าน และต่ำสุดเหลือ 8 ล้าน สุดท้ายรายได้จริงแค่ 6 ล้าน และอาจปรับลงเหลือ 5.5 ล้านเมื่อปิดยอดวันจันทร์ เหตุผลหลักคือ คำวิจารณ์จากผู้ชมปากต่อปาก ที่เริ่มทำให้ความสนใจหายไปทันทีหลังวันแรกของการฉาย

ด้วยงบสร้างกว่า 50 ล้านดอลลาร์ หนังต้องทำรายได้เกิน 100 ล้านถึงจะคุ้มทุน แต่กลับสะดุดตั้งแต่สัปดาห์แรก
ความดังจากเทศกาลไม่ได้การันตีคนดู

หนังได้รับเสียงปรบมือยืนยาว 15 นาทีที่เวนิส ผู้กำกับ เบนนี ซาฟดี (Benny Safdie) คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และถูกยกให้เป็นตัวเต็งออสการ์ แต่เสียงชื่นชมจากเทศกาลไม่ได้แปรเป็นยอดขายตั๋ว หนังศิลป์ที่มีกระแสรางวัลหลายเรื่องเคยเจอปัญหาเดียวกัน คำถามคือ รายได้ที่ล้มเหลวนี้จะกระทบโอกาสบนเวทีออสการ์หรือไม่

การตลาดไร้ “เหตุผลให้ต้องรีบดู”

หนังที่ประสบความสำเร็จมักสร้าง ความเร่งด่วน หรือ “ต้องดูตอนนี้” เช่นปรากฏการณ์ Barbenheimer แต่ The Smashing Machine ไม่มีโมเมนต์ทางวัฒนธรรมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวพลาด (FOMO) การตลาดไม่สามารถสร้างความฮือฮาหรือบทสนทนาบนโซเชียลที่จะผลักให้คนซื้อตั๋วทันที

สุดสัปดาห์เดียวกัน คอนเสิร์ตภาพยนตร์ The Official Release Party of a Showgirl ของ Taylor Swift กวาดรายได้ 33 ล้านดอลลาร์ แซงทุกเรื่องขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟฟิศ
กระแส “Taylor Swift” แย่งสปอตไลต์ (แม้ไม่ใช่เหตุหลัก)

สุดสัปดาห์เดียวกัน Taylor Swift ครองแชมป์บ็อกซ์ออฟฟิศด้วยคอนเสิร์ตภาพยนตร์ The Official Release Party of a Showgirl ทำเงิน 33 ล้านดอลลาร์ แม้ผู้เชี่ยวชาญมองว่ากลุ่มผู้ชมของสวิฟต์กับหนังดราม่ากีฬาชายเป็นคนละตลาด แต่การที่งานของสวิฟต์ดึงจอใหญ่พรีเมียม (IMAX, PLF) ไปบางส่วน ก็อาจทำให้ The Smashing Machine เสียพื้นที่ฉายระดับพรีเมียมไปบ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของความล้มเหลว

ชอว์น ร็อบบินส์ นักวิเคราะห์ภาพยนตร์กล่าวว่า “แฟนเพลงเทย์เลอร์ไม่ได้ซ้อนกับผู้ชมดราม่ากีฬาชายอยู่แล้ว ผลกระทบจึงมีเพียงเล็กน้อย”

กำลังโหลดความคิดเห็น