xs
xsm
sm
md
lg

“ปอนด์ - พิง” ยันไม่ได้ผิดสัญญาลิขสิทธิ์ชื่อบุปผาราตรี วอน “ต้อม” เปิดใจคุย โทร.หาแล้วแต่ไม่รับ ฟ้องผู้กำกับเลว โพสต์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปอนด์ กฤษดา - พิง ลำพระเพลิง” ตั้งโต๊ะแถลงพร้อมทนายความ ปมปัญหาลิขสิทธิ์หนังบุปผาราตรี อยากให้ “ต้อม ยุทธเลิศ” เปิดใจคุย แบบไม่มีอคติและไม่ใช้อารมณ์ พิงลั่นไม่ได้เป็นนกสองหัว แต่โดนใส่ร้าย ย้ำไม่เคยพูดตามที่ผู้กำกับเลวโพสต์ ไม่รู้ไปเอามาจากไหน หลังเกิดเรื่องโทร.หาเพื่อนแล้ว ติดแต่ไม่รับสาย เตรียมเปิดให้ช่วยคิดชื่อหนัง มีเงินรางวัลให้ด้วย ด้านทนายยันไม่ได้ผิดสัญญา สามารถใช้ชื่อได้ ยื่นฟ้องแอ็กเคานต์ผู้กำกับเลวในแอปฯ X แล้ว 1 คดี



ยังคงไม่จบง่ายๆ สำหรับปมปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ของหนังบุปผาราตรี ล่าสุดวันนี้ (26 ก.ย.) ทาง Be On Cloud นำโดย “ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ และ “พิง ลำพระเพลิง” พร้อมทนายความ ก็ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หลัง “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค” เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ที่ก่อนหน้านี้ Be On Cloud ได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ซึ่งใช้ชื่อว่า บุปผา (Buppha The Movie)

ปอนด์ : “ออกมาพูดวันนี้ไม่ได้โจมตีใคร จะพูดในเรื่องของข้อเท็จจริง เพื่อชี้แจงให้ทุกคนที่รอคอย ได้รับรู้ความจริงจากฟังเรา จริงๆ โปรเจกต์นี้ชื่อ บุปผาราตรี มาลีรัตติกาล เป็นของพี่พิง ลำพระเพลิง ทำกับอีกบริษัทหนึ่ง แล้วก็เข้ามาคุยกับผม จุดประสงค์คืออยากได้ เจษ (เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์) ไปร่วมงานด้วย ระหว่างนั้นผมก็อยากจะมั่นใจ ว่านักแสดงจะได้อยู่ในพื้นที่ที่สบายใจ เลยขอนัดคุยกับกลุ่มทุน ว่าเป็นไปได้ไหมถ้าจะขอร่วมลงด้วย”

พิง : “ใครโทร.มาผมไม่ได้รับ เพราะทนายบอกให้เอาเวลาไปรวบรวมหลักฐานดีกว่า อย่าออกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นโหนกระแสก็ดี วันนี้เลยพาทนายมาด้วย เรื่องคือผมไปเดินที่ ออสการ์ อพาร์ตเมนต์ แล้วอยากเขียนบทหนังผีถ่ายที่นี่ นึกในใจว่าเพื่อนเคยทำหนังผี ก็โทร.ไปหาเพื่อนว่าอยากทำ อยากขอซื้อชื่อบุปผาราตรี ขอลิขสิทธิ์ใช้ชื่อ เพื่อนก็บอกว่าเอาสิ แต่ผมขอไม่บอกว่าเพื่อนเปิดมากี่ล้าน แต่ผมบอกว่าไม่มีเงินขนาดนั้น สุดท้ายตกลงกันได้ที่ 1,200,000 บาท กับสิทธิ์ใช้ชื่อ 2 ปี มีเอกสารหลักฐานครบ ไม่ได้เอาชื่อมาใช้ฟรีๆ ซื้อโดยถูกกฎหมาย สัญญาฉบับแรกเซ็นมาครบ

ประเด็นคือทำไปทำมาเงินผมไม่พอ เลยบอกเพื่อนว่าจะไปคุยกับ Be On Cloud มีหลักฐานในการคุยในข้อความ เพราะผมไม่มีไลน์เพื่อน ก็บอกว่าจะขอแก้สัญญาโอเคไหม เพื่อนก็เซ็นกลับมาทุกหน้า แล้วถามว่า Be On Cloud เป็นใคร ผมก็บอกว่าบริษัททำอีเวนต์ เพราะเราเข้าใจว่าเขาทำอีเวนต์จริงๆ เพื่อนบอกว่าไม่รู้จัก แต่ก็ไม่เป็นไร เลยได้สัญญาฉบับที่ 2 มา เซ็นรับทราบทุกหน้าหลังจากนั้นก็มาเจอกับพี่ปอนด์นั่นแหละ”

ปอนด์ : “บทร่างแรกมีความเกี่ยวเนื่องกับบุปผาราตรีภาคแรก นั้นคือเหตุการณ์ที่ได้แถลงข่าวไปครั้งแรก และหยุดพักกองไป ผมเป็นคนตัดสินใจเอง ว่าไม่อยากใช้บทที่มีความเกี่ยวเนื่อง ตอนนั้นไม่ได้กังวลว่าจะมีปัญหากับพี่ต้อมหรือใครเลย เชื่อว่าอะไรที่ดีอยู่ เราไว้ตรงนั้นดีกว่า พี่พิงยังพูดเลยว่าเปลี่ยนบทขนาดนี้ เราไม่ต้องใช้ชื่อเลยก็ได้ ไม่ต้องไปเสียเงินเป็นล้าน ผมก็บอกไม่เป็นไร อะไรที่เริ่มมาแล้ว ผมโอเครับได้ แต่ขอเปลี่ยนบทใหม่ทั้งหมด ก็ต้องเลื่อนเปิดกล้อง มีค่าใช้จ่ายมากมาย แต่ผมเชื่อว่าเราควรทำบทใหม่ของเรา เพื่อความสบายใจในฐานะผู้ลงทุน”

พิง : “พอเปลี่ยนบทไปมา งบมันเกินไปไกลมาก แต่ผมวางบิลตรงกับ Be On Cloud ทั้งสิ้น ผมเป็นคนดูราคา เลยรู้ว่าราคามันเกินไกลไปมากกว่า 70 ล้าน แต่ผมก็ได้เพียงแค่ค่าจ้าง เมื่องบมันไปไกล ผมก็กลัวว่าหนังมันจะสะดุด หรือไปไม่สุดทาง ช่วงหนึ่งผมก็เลยหายไปทำหลังบ้านแต่ถ่ายไป 8-9 คิวแล้ว งบยิ่งถ่ายยิ่งบาน ด้วยคิวดาราตัวท็อป 4 คน ผมจึงต้องกลับไปเคลียร์ตรงนี้ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งไปเลย เพราะมีไลน์กลุ่ม ผมเช็กมอนิเตอร์ในไลน์กลุ่มได้ เมื่อผมเคลียร์จนดูว่าเงินมันได้แล้วล่ะ แต่มันก็มากกว่า 70 ล้าน”

ปอนด์ : “ขออธิบายคำว่าได้แล้วให้ฟัง คือมันเป็นช่วงที่ต้องตัดสินใจกับกลุ่มทุนเดิม และกลุ่มใหม่คือผม พองบไปไกลมาก นักลงทุนเขาก็คิดว่ามันอาจจะเสี่ยง ก็เป็นช่วงที่ Be On Cloud ต้องตัดสินใจลงที่เหลือทั้งหมด ก็เป็นภาวะที่พี่พิงเขาก็เครียด เขาก็ต้องไปจัดการหลังบ้าน แต่งบที่เพิ่มไม่ใช่ความผิดพลาดของพี่พิง แต่เป็นมาตรฐานของ Be On Cloudที่รู้สึกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ภาวะนั้นเครียด เพราะเราต้องลงไปสมมติ 40 ล้าน ใน 2 วัน แต่ผมก็พยายามโฮลความรู้สึกทุกคน ไม่อยากให้เครียด เพราะบรรยากาศกองมันดี

นักแสดง 5 ตัวหลักที่มาร่วม ผมเป็นคนไปคุยเอง การที่มาร่วมเพราะความเชื่อมั่นของโปรดักชั่น เราไม่ได้เอาชื่อไปขาย ไม่เคยพูดว่าเป็นภาคต่อ ช่วงที่พี่พิงไม่ได้มากอง มันเป็นช่วงที่นักแสดงบางท่านเข้ามาถ่ายทำ ซึ่งอาจจะมีข้อมูลว่า อ้าว พี่พิงไม่อยู่ แต่มันเป็นเรื่องภายในกอง พอมีการพูดคุยหรือสืบข้อมูลที่ไม่ได้มาถามจากต้นทาง มันก็มีความบิดเบือนหรือเข้าใจผิดบ้าง แต่ผมก็นิ่งเพราะไม่อยากให้บรรยากาศกองเสีย แต่วันนี้ที่ต้องมาแถลง เพราะทุกครั้งที่ไปไหน แทนที่คนจะถามว่าหนังเป็นยังไง จะได้ติดตามชม มีแต่เป็นกำลังใจให้นะ โอเคไหม ซึ่งมันไม่ตรงกับสิ่งที่เรากระโดดเข้ามาทำในวงการนี้แต่แรก แล้วที่กระทบมากที่สุด คือครอบครัวนั่งเครียด เพราะมีข่าวว่า Be On Cloud จะโดนฟ้อง 100 ล้านเลยต้องออกมาพูด เพราะมันเลยขอบเขตที่จะปล่อยเฉยได้”

ทนาย : “ลิขสิทธิ์ก็ยังคงเป็นของคุณต้อม สัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ซื้อขาย แต่เดิมคุณต้อมทำสัญญากับบริษัทมิริน 1,200,000 ล้านบาท ต่อมาพอ Be On Cloud เข้ามาร่วมทุนกับมิริน ก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา โดยกำหนดว่าพี่พิงและพี่ปอนด์เป็นคนกำกับ ทาง Be On Cloud ก็ได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ที่มิรินออกไปก่อน ให้มิรินเรียบร้อยแล้ว เพราะมีการทำสัญญาขึ้นมา 2 ฉบับ โดยมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา แต่สัญญาฉบับเดิมที่แคนเซิล ไม่ได้หมายความว่ายกเลิกสัญญาเพียงแต่ยกเลิกสัญญาที่มีมิรินและพี่พิงกำกับคนเดียว เป็นการให้ใช้บังคับตามสัญญาที่มี Be On Cloud และมิรินเป็นคู่สัญญาอีกฝั่งหนึ่ง ประกอบกับมีพี่พิงและพี่ปอนด์เป็นคนกำกับ โดยไม่มีการยกเลิกสัญญาใช้ลิขสิทธิ์

นั่นหมายความว่าสัญญาลิขสิทธิ์ยังมีผลบังคับใช้อยู่ และหลังจากใช้สัญญาฉบับที่ 2 Be On Cloud ก็บริษัทตามสัญญาตลอดมา พี่พิงได้กำกับอยู่ในทุกขั้นตอน เพราะฉะนั้นเมื่อ Be On Cloud ไม่เคยผิดสัญญาเลย พี่ต้อมก็ไม่มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญา เท่ากับ Be On Cloud ก็มีสิทธิ์ใช้ลิขสิทธิ์ตามข้อตกลงในสัญญา และไม่มีกรณีใดๆ ที่จะถูกเรียกร้องค่าเสียหายตามที่มีข่าว

ปอนด์ : “ที่แถลงข่าวไปครั้งแรกมันชื่อ บุปผาราตรี มาลีรัตติกาล ที่เป็นกลุ่มนักแสดงเดิม แล้วเราก็เปลี่ยน แต่ระหว่างทางมีการโปรโมต และคัดเลือกหานักแสดงตลกหน้าใหม่กับแจ๊ส ชวนชื่น โดยใช้ชื่อ บุปผาราตรี เจอผีกับพี่แจ๊ส แต่ในกองเรารู้อยู่แล้วว่าในเรื่องมันไม่เกี่ยวกับบุปผาราตรี เลยตัดสินใจใช้คำว่าบุปผา มาจากที่เรามีสิทธิ์ใช้ สองเราคิดว่าถ้าหนังออกมาแล้วคนตามไปดู อย่างน้อยจะได้รู้ว่าหลาย 10 ปีที่แล้ว มีหนังชื่อบุปผาราตรี ไม่ได้คิดเลยว่าจะเกิดปัญหา

พอเปิดนักแสดง 5 ตัวหลักออกมา ก็มีเหตุการณ์โพสต์โซเชียลของพี่ต้อม ผมยอมรับว่าตกใจ ทุกคนทั้งกองก็ตกใจมาก ผมก็พยายามจะโทร.ไปหาพี่ต้อม เพราะมีคนบอกว่าพี่เขาเป็นคนตรงๆ มาก มีอะไรคุยได้เลย ซึ่งผมมั่นใจว่าผมเป็นคนตรง ที่โคตรมีคุณธรรม แต่ทางบุคคลที่สามแจ้งว่าพี่เขายังไม่สะดวก เดี๋ยวโทร.กลับ แต่ช่วงเย็นมีการโพสต์สัญญาฉบับที่ยกเลิก ในภาวะนั้นผมถือว่ามันกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Be On Cloud แล้ว จากนั้นก็มีการสัมภาษณ์สื่อ และโพสต์โซเชียลอย่างต่อเนื่อง แล้วทีนี้มันมีอันที่พาดพิงถึงพี่พิง พี่พิงเลยมีช่วงเดือดขึ้นมา”

พิง : “มีแอ็กเคานต์ใน X ชื่อว่าผู้กำกับเลว ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้โพสต์ถึงผม (ข้อความประมาณว่า พิงคุยกับต้อม บอกว่าไม่ได้กำกับแล้ว เพราะเขาบอกว่าหนังไปต่อได้ โดยไม่ต้องมีพิง) อ่านแล้วตกใจมาก มันเป็นข้อความที่ผมไม่ได้พูด และผมต้องกลับไปกองถ่ายเพื่อกำกับหนังบุปผาราตรีต่อจนเสร็จ แล้วผมจะไปมองหน้าทีมงานได้ยังไง ถ้าเขาเชื่อว่าผมพูดแบบนั้นจริง ผมจึงขาดสติ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้สึกผิดที่ไปกล่าวอ้างถึงบุคคลที่สาม ที่ขอให้ไปสาบานด้วยกัน เพื่อยืนยันความจริงที่วัดพระแก้ว แต่ผมยอมอมไม่ได้ที่ถูกใส่ร้าย

มีเรื่องที่ผมไม่เคยบอกใคร คือวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ผมกินข้าวอยู่ร้านอาหาร แล้วเพื่อนผมโทร.เข้ามา ผมก็ออกไปคุยข้างนอก และเปิดลำโพงคุยกัน 9 นาที เนื้อหามีแค่ว่าผมอธิบายให้เพื่อนฟัง ว่าเขาไม่ได้ปลดกูออก ดูยังอยู่ในโปรเจกต์ มึงใจเย็นๆ ก่อน มึงต้องการอะไร คุยกับเขาไหมเดี๋ยวนัดกินข้าวให้ คุยกันดีๆ อย่าเป็นข่าวเลย สุดท้ายเพื่อนวางสายไปโดยไม่เคลียร์ให้ชัดเจน ซึ่งวันที่ 22 คือหนึ่งวันหลัง Be On Cloud เปิดเผยนักแสดงทั้ง 5 คน ผมก็คิดว่าเรื่องมันจบแล้ว

แต่คืนวันที่ 23 ส.ค. ก็มีการโพสต์ใน X โดยเอาคำที่ผมไม่ได้พูดเลยในวันที่ 22 ไปลง ผมไม่รู้ว่าคือใคร แล้วคุณไปเอาข้อมูลมาจากไหน ผมไม่ได้พูด แต่หลายคนเชื่อว่าผมพูดอย่างนั้น แล้วตอนเช้าไปกองถ่าย โชคดีที่คนที่ Be On Cloud เชื่อว่าผมไม่ได้พูด แต่หลังจากวันที่ไม่ได้มีกองถ่าย ผมโดนด่าทุกวัน”

ปอนด์ : “ผมด้วยพี่”

พิง : “ผมไม่ได้พูดจริงๆ ผมพูดว่าไปกินข้าวก่อนไหม เขาไม่ได้ปลดกู มึงเชื่อกูสิ มีหลายคนหันหลังให้ผม บอกว่าผมเป็นนกสองหัว ผมก็กลับไปที่เก่าที่คุยโทรศัพท์ แล้วไปเจอกล้องวงจรปิด เลยไปขอเขาดู แต่ที่ผมไม่พูดสิ่งเหล่านี้ เพราะเชื่อว่าเพื่อนผมอาจจะไปได้ข้อมูลผิดๆ มา เลือกเชื่อว่าเขาเป็นห่วงผมจริง แต่พอผู้กำกับเลวมาโพสต์แบบนั้น เลยคิดว่ามันมาไกลเกินไปแล้ว”

ปอนด์ : “ถ้ารักเพื่อนและเข้าใจผิด โทร.ถามก่อนได้ครับ ผมพร้อมตอบทุกคำถามอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เลยไม่แน่ใจ ว่าเราเข้าใจกันผิดตรงไหน ผมไม่มีความรู้สึกส่วนตัว และไม่เคยรู้จักกับพี่เขามาก่อน หลายคนถามว่าทำไมจะทำเรื่องนี้ แล้วไม่คุยกับเขา คือโปรเจกต์นี้มีมาก่อน ผมเข้ามาทีหลังแล้ว ผมทำตามข้อกฎหมายถูกต้อง เคยคุยกับพี่พิง ว่าขอเจอพี่เขา เพราะคิดว่าหนังเขาสไตล์กวนๆ ผมก็ชอบกวนๆ น่าจะเจอกันและเข้าใจกันได้ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตอาการพี่พิง เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมยังไม่อยากให้เจอตอนนั้น

ที่ออกมาวันนี้ หลักฐานทั้งหมดตอนนี้ สามารถตรวจสอบเราได้เลย ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ตอนนี้สิทธิ์อยู่ที่เรา จะใช้หรือไม่ใช้ ผมเป็นคนตัดสินใจ ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิดแล้ว อยู่ที่ความรู้สึก ว่าเราจะเลือกทางไหน ที่กระทบความรู้สึกทุกคนน้อยที่สุดผมไม่อยากทำแล้วมีใครรู้สึกไม่ดี”

พิง : “คนถามว่าเกิดเรื่องแล้วทำไมไม่โทร.หาเพื่อน ผมโทร.แล้ว ติดแต่ไม่รับสาย ต่อด้วยเบอร์เลขาฯ ก็ติดแต่ไม่รับสาย ผมมีหลักฐานหมด”

ทนาย : “การโพสต์ต่างๆ หลายครั้ง ด้วยถ้อยคำรุนแรง ส่งผลเสียต่อชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของ Be On Cloud ในกรณีนี้เราก็จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานสำหรับฟ้อง ซึ่งฟ้องไปแล้วส่วนหนึ่ง”

ปอนด์ : “จุดประสงค์ไม่ได้ฟ้องเพื่อเรียกร้องเงินมาชดเชยค่าทำหนัง ผมไม่ได้เดือดร้อนตรงนั้น แต่ฟ้องเพื่อพิสูจน์ว่าผมพูดจริง ฟ้องเพื่อปกป้องความจริงที่เกิดขึ้น และที่รู้สึกว่าไม่น่ารักเท่าไหร่ คือผู้กำกับเลวได้ไปหยิบซีรีส์เกย์ที่ผมผลิต หยิบเนื้อหาในส่วนที่เรารณรงค์ทุกครั้ง ว่าขอให้ไม่เอามาปล่อยในโซเชียล มาปล่อยและมีข้อความที่ทำให้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกต้อง น่ารังเกียจ ผมว่ามันไม่ให้เกียรติงาน มันใจร้ายไป ผมรับไม่ค่อยได้ มันเริ่มส่อเสียดเหยียดเพศสภาพ ไม่อยากให้เอาภาพนักแสดงที่เขาตั้งใจทำงานมาว่า อยากให้ใช้วิธีที่เหมาะสม เรื่องไหนที่ติดค้างใจกัน เราคุยกันแค่เรื่องนั้นดีกว่า”

ถ้ามีโอกาสอยากคุยกับ “ต้อม ยุทธเลิศ” ไม่ได้โกรธแค่เสียความรู้สึก
ปอนด์ : “วันหนึ่งถ้ามีโอกาสอยากคุยนะครับ ผมพร้อม อยากคุยแบบเปิดใจ คนบอกว่าพี่เขาเป็นคนตรง ผมว่าเราคุยกันได้ ไม่ได้โกรธ แต่มันเสียความรู้สึกไม่ได้มีปัญหาเลย แต่ผมคิดว่าพี่เขาเข้าใจผิดไปไกลมาก ไม่รู้ว่าจากเหตุไหนด้วย”

ผู้กำกับเลวโพสต์ว่า “ทำงานมา 30 ปี ยังโง่โดนกะเทยหลอก”
ปอนด์ : “ผมรู้สึกว่ากะเทยสวยและเก่งมาก ผมมีเพื่อนเป็นกะเทยเยอะมาก คำว่ากะเทยไม่ควรถูกใช้เหยียดใครเลย รู้สึกว่าเป็นคำชมด้วยซ้ำ กะเทยไทยไปไกลระดับโลกแล้ว แต่คำที่หาว่าผมขโมยเนี่ย ผมจะขโมยมาทำไมผมมีซีรีส์มีหนังของผม ที่ผมภูมิใจทุกวัน ถ้าเป็นคนขี้ขโมย ทุกคนคงไม่ต้อนรับผมขนาดนี้”

ทนาย : “เรื่องคดี เพื่อเป็นการประหยัดเวลา การกระทำนี้เราฟ้อง 1 คดี แต่หลายกรรม แต่ละโพสต์คือ 1 กรรม อันไหนเข้าองค์ประกอบของความผิดฟ้องหมดเป็น 1 ก้อน แล้วก็กำลังพิจารณาตามไปอีก หลักๆ ตอนนี้ 1 คดี ดำเนินการไปแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการ 2 คดี ทางแพ่งเรายังไม่ได้ฟ้อง แต่ทางอาญาเราได้ฟ้องไป ก็จำเป็นต้องเรียกค่าเสียหาย

“แจ๊ส - แจง” มีชื่อเข้าเอี่ยวในโพสต์ของผู้กำกับเลวด้วย
ปอนด์ : “ผมขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจของเขาทั้งคู่ เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แจ๊สเป็นน้องที่ดีของผม การพูดคุยทางโทรศัพท์โดยที่หยิบข้อมูลบางส่วน มาโพสต์ในโซเชียล ผมคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ผมต้องอธิบายความจริง มันเป็นเรื่องที่เขาคุยกัน คือจริงๆ ผมเคลียร์กันตั้งแต่วันนั้น ถ้าได้คุยกันจะรู้ว่าความจริงคืออะไร วันนี้เราพูดกันว่าต้นทางมันละเมิดหรือไม่ละเมิด ซึ่งเรายืนยันว่าไม่ละเมิด เพราะฉะนั้นบุคคล 1 2 3 ผมไม่อยากเอาเขามาช่วยซัปพอร์ตในสิ่งที่มันไม่จำเป็น

ถามว่าข้อความนั้นเป็นเท็จหรือเปล่า ผมก็ไม่กล้าบอกว่ามันเท็จร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า สมมติคุยกันเรา เราอาจจะเลือก 1 2 3 4 ไป แต่ 4 5 6 7 8 ไม่ได้พูดถึง อันนี้มันจะเรียกว่าเท็จไหม หรือว่าผมพูดนำให้มันเกิด ก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้อยู่ในบทสนทนานั้น แต่ถ้าข้อความที่แอ็กฯ นั้นโพสต์ จงใจที่จะทำให้ตัวผมดูไม่ดี ผมไม่รู้สึกว่าผมดูไม่ดี และเชื่อว่าสังคมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่อยากให้ไปสงสัยทาง แจ๊ส-แจง ด้วย ผมมั่นใจในตัวเขามาก การเจอกัน พูดคุยกัน สำคัญกว่าดูโซเชียลมีเดีย ผมเห็นนัยน์ตา น้ำเสียง เราเมาด้วยกัน มันสัมผัสไม่ได้เลยถึงพลังงานนั้นครับ

นักแสดงทุกคนก็มีความสุขมาก แต่ถามว่ามันกระทบกระเทือนใจไหม มันกระทบกระเทือนใจ ทุกคนเต็มที่ แต่พอมีเรื่องแบบนี้ ต้องมาคอยตอบคำถามว่าโอเคไหม เรื่องนี้มันไม่ได้เกิดจากพวกเรา มันเกิดจากอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เลยยิ่งงงใหญ่ วันนี้มาแถลงก็อยากปกป้องความรู้สึกพวกเขา”

พร้อมพูดคุย แค่อย่าใช้อารมณ์
ปอนด์ : “ผมพร้อมพูดคุยเสมอ ขออย่างเดียวอย่าใช้อารมณ์ คุยกันแบบไม่มีอคติ ไม่ว่าจะเรื่องเพศ เรื่องความเชื่อ หรือความเข้าใจผิด เราต้องยอมรับในสิ่งเหล่านี้ให้ได้ก่อน เพราะตัวผมไม่มีอะไรส่วนตัวกับพี่เขา และไม่รู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนไม่ดีในข้อไหน แต่ถ้าเข้าใจผิด หวังว่าข้อมูลเหล่านี้ จะทำให้กระจ่างขึ้น วันหนึ่งเราอาจจะเป็นคนที่ทำหนังด้วยกันก็ได้ ถามมันผิดพลาดตรงช่วงไหน สมมติปัญหานี้เป็นหนังเรื่องหนึ่ง จุดเทิร์นนิ่งพ้อยต์น่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนรักสองคน ซึ่งผมไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์เขา”

พิง : “ผมเห็นด้วย มันน่าจะเกิดจากการเข้าใจผิด เพื่อนผมอาจจะไม่รับสาส์นผิด ไปฟังคำบางอย่างมา แล้วเข้าใจ Be On Cloud ผิด การสื่อสารโดยไม่เห็นหน้า ไม่ได้ฟังน้ำเสียง อาจจะเข้าใจผิดได้ คือผมเจอเพื่อนผมครั้งล่าสุดเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมโพสต์เฟซบุ๊ก เขายังมาคอมเมนต์อยู่เลย (เขาประกาศตัดขาดแล้ว บอกเราเป็นศัตรู?) อันนี้ผมไม่รู้ เราเปลี่ยนแปลงความคิดใครไม่ได้ แต่เราเลือกเชื่อได้ ผมเชื่อว่าเขาเป็นเพื่อนผม วันที่จะมาแถลงข่าว เขายังแท็กไอจีผมเลย ว่าอย่ากล่าวพาดพิงใครนะ เดี๋ยวเดือดร้อน ถ้าไม่ใช่เพื่อนกัน เขาไม่เตือนกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อนกัน เขาไม่ใส่ใจกันขนาดนี้

ยอมรับอยากทำ “บุปผาราตรี” เพราะรู้สึกว่ามันแมส
พิง : “ผมเป็นคนอยากทำ เพราะผมรู้สึกว่ามันแมสจริงๆ (ถ้าย้อนไปได้จะทำอยู่ไหม?) ถ้าได้เห็นทีเซอร์หนัง จะรู้เลยว่าถ้าย้อนไปได้ ผมก็อยากทำหนังเรื่องนี้ให้เสร็จ เพราะว่ามันงดงามจริงๆเรามีนักแสดงท็อปเทียร์ 5 คน มันมีโอกาสไปได้ไกลจริงๆ เขามีแฟนอินเตอร์เป็นร้อยล้าน”

ปอนด์ : “ผมสนใจหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เพราะคิดว่ามันแมสหรือเปล่า ผมเลยเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนโครงบท ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะทำอันนี้ของผมเหมือนเดิม แต่จะไม่แตะอะไรของใครเลย จะไม่เข้าไปเซฟอะไรของใครอีกแล้ว ผมเริ่มเข็ดแล้วที่จะไปเซฟอะไรใคร เราไม่รู้ว่าความตั้งใจของเรา จะไปสร้างความลำบากใจตอนไหน”

(เขาให้สัมภาษณ์ว่าไม่โอเค เพราะไปกล่าวถึงครอบครัวเขา?)
พิง : “ผมไม่เคยกล่าวพาดพิงถึงลูกเพื่อนผมนะครับ ผมกล่าวถึงใครก็ตามที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นแอ็กเคานต์ชื่อผู้กำกับเลว แต่ผมก็รู้สึกผิดที่ขาดสติ ผมขอโทษถึงทุกคนที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ ที่ผมชวนไปสาบาน ผมชวนคนที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา ผมไม่เคยพูดถึงเพื่อนผมเลยผมไม่รู้หรอกใครเรียกผมว่านกสองหัว แต่ผมยืนอยู่ข้างกฎหมาย ข้างสัญญา แอบงงที่คนเชื่อแอ็กฯ หลุม ที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน”

ไม่กังวลว่าคนจะไม่มาดูหนังหรือเลิกติดตาม Be On Cloud เพราะเชื่อว่าแถลงเคลียร์ชัด
ปอนด์ : “คนที่เข้าโรงหนังสมัยนี้ เป็นกลุ่มคนที่หาข้อมูลรอบด้าน จากการแถลงวันนี้ค่อนข้างเคลียร์ชัด ส่วนหนังเดี๋ยวจะให้ทุกคนช่วยตั้ง อะไรก็ได้ที่ไกลชื่อเดิมที่สุด ใครตั้งได้เดี๋ยวให้มาพรีเซ็นท์แล้วให้เงินรางวัลด้วย จะปล่อยทีเซอร์ 29 ช่วยตั้งชื่อหน่อย คือเรามีสิทธิ์ใช้ชื่อนั้นได้ แต่คิดว่าจะไม่ใช้ เลยตั้งชื่อไว้ก่อนว่า หนังที่ยังไม่ตั้งชื่อ แต่ในใจถ้าพี่เขาเปิดใจและเข้าใจ ผมอยากใช้ชื่อนี้ ผมชอบมาก Be On Cloud ไม่ได้อยากซื้อ บุปผาราตรี แต่แรก เพียงแต่เราอยากให้โปรเจกต์ของพี่พิงไปต่อ เลยคิดว่าถ้าชื่อ โกยเถอะเกย์ อาจจะไม่ใช่ทาง”

ยืนยันภาครัฐอนุมัติงบ ไม่ได้มาจากชื่อเรื่อง
ปอนด์ : “งบประมาณของภาครัฐ เราต้องไปพรีเซนต์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ส่งชื่อไปแล้วเขาให้ ผมเข้าไปด้วยตัวเอง และมีการแข่งขัน งบที่ได้มาก็ไม่ได้เยอะเลย แต่ผมแค่อยากรู้สึกว่า หนังแบบนี้ก็นับว่าเป็นวัฒนธรรมไทยนะ กรรมการวันนั้นไม่ได้ตัดสินจากชื่อ และเราไม่เคยพูดว่านี่เป็นภาคต่อ เราพูดเส้นเรื่อง นักแสดง เขาสนใจตรงนั้นผมพูดว่า อิงฟ้า - อาโป - เจษ - ฟรีน เขาก็ว้าว และเขาก็เห็นผลงานเราจากแมนสรวง ผมคิดว่าภาครัฐมีวิจารณญาณพอสมควรครับ ยืนยันว่าไม่ได้มาจากชื่อเรื่องแน่นอน แต่ตอนนั้นชื่อโปรเจกต์นี้มันคือ บุปผาราตรี มาลีรัตติกาล ผมก็ต้องยื่นไปด้วยชื่อนั้น ตอนหลังจากนั้นเราก็แจ้งตลอดครับ”
ทนาย : “(ที่เขาไปยื่นตรวจสอบ จะมีผลไหม?) ในส่วนนี้ก็มีหนังสือจากกระทรวงมาถาม เราก็ตอบไปแล้ว ว่าเราดำเนินการตามสัญญาทุกอย่าง เท่ากับเราไม่ผิดสัญญา เรามีสิทธิ์ใช้ลิขสิทธิ์นี้ เราใช้สิ่งที่เรามีสิทธิ์ใช้ ไปยื่นต่อกระทรวง ก็ไม่ได้ผิดอะไร”

ยอมรับออกจากไลน์กลุ่มสมาคมผู้กำกับ เพราะเดือดมาก
พิง : “เขาเดือดกันขนาดนั้น ผมจะไปอยู่ได้ยังไง ผมออกจริงครับ ตรงไหนอยู่แล้วไม่มีความสุข ก็ไม่อยู่ ผมทนความกดดันไม่ได้ผมเห็นเขาเดือดกันในสมาคม”

ปอนด์ : “หนังยังฉายแน่ๆ แต่ใช้ชื่อเรื่องอะไรคืออีกเรื่องหนึ่ง ฉายแน่นอนกุมภาพันธ์นี้ คนบอกว่าไม่ได้ใช้ชื่อนั้น ก็คืนสัญญาไปเลย เอาเงินคืนมา แต่ผมรู้สึกว่าการที่เราคงสัญญาไว้ เอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะไม่รู้ว่า สมมติวันนี้โชคดีพี่เขาเข้าใจทั้งหมดที่พูดไป ทุกอย่างก็แฮปปี้ แต่สมมติพี่เขาไม่เข้าใจ สัญญานี้จะเป็นเหมือนสายสิญจน์ล้อมผมไว้ ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็หวังว่าพี่เขาจะเข้าใจ”

พิง : “มึง กูรู้ว่ามึงดูอยู่แน่ๆ กูจะบอกว่าเขาตั้งใจจริงๆ นะมึง มีงเชื่อกูดิ มันจะทำให้หนังมึง คือมันดีอยู่แล้ว แล้วมันจะต่ออายุไปอีก จริงๆ ในยุคสมัยที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เขาลงเงินไปขนาดนี้ เขาต้องจริงใจกับหนังมากขนาดไหน ต่อให้ได้ 100 ล้านเขายังขาดทุนเลย คุยกับเขาเหอะ แดxข้าวกับเขาไหม กูเป็นคนกลางให้ ขอบคุณครับ”

เสียใจโดนรับน้องหนัก
ปอนด์ : “เอาจริงๆ เสียใจ ผมมาจากผู้ชม ไม่ได้จบฟิล์ม มีแต่แพสชั่นล้วนๆ แล้วเราก็ไม่ได้ไปใช้เงินใคร ใช้เงินตัวเอง มันก็มีจังหวะเสียใจ หมดแพสชั่นไหม พยายามเติมอยู่ แต่ก็กระทบกระเทือนความรู้สึกมากครับ กุมภาพันธ์เจอกันครับ”




























กำลังโหลดความคิดเห็น