ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อ “กำจัด” รายการทอล์กโชว์ภาคดึกออกจากโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นการกดดันเครือข่ายทีวีใหญ่ การปลุกกระแสในโซเชียลมีเดีย ข่มขู่ผ่านกฎหมาย และใช้ฐานเสียงฝ่ายขวากดดันผู้สนับสนุนโฆษณา — ทั้งหมดเพื่อปิดปากเสียงวิจารณ์จากพิธีกรที่เขาไม่พอใจ.
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” จุดกระแสสงครามกับพิธีกรภาคดึกของสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยเริ่มจากกรณีของ “จิมมี คิมเมล” ที่ถูกสถานีโทรทัศน์ ABC สั่งระงับการออกอากาศชั่วคราว หลังมีเสียงวิจารณ์จากฝ่ายอนุรักษนิยมว่าเนื้อหาของเขา “ไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต” จากเหตุการณ์ลอบยิง “ชาร์ลี เคิร์ก” นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวา ซึ่งทรัมป์กล่าวหาว่าคิมเมล “พูดจาน่ารังเกียจ” และเรียกร้องให้ปลดออกจากหน้าที่โดยทันที
ทรัมป์โพสต์ข้อความว่า “จิมมี คิมเมล ถูกไล่ออกเพราะเรตติ้งตกต่ำมาก … เขาพูดเรื่องเลวร้าย … ควรถูกไล่ออกตั้งนานแล้ว” และยังเสริมว่า “คุณจะเรียกมันว่าเสรีภาพในการพูดก็ได้ แต่เขาถูกปลดเพราะไม่มีพรสวรรค์” พร้อมกล่าวหาว่าเขาไม่ควรได้รับโอกาสในสื่ออีกต่อไป
แม้รายการ “Jimmy Kimmel Live!” จะกลับมาออกอากาศอีกครั้งในวันที่ 23 กันยายน 2568 แต่เครือข่ายท้องถิ่นบางแห่ง เช่น Nexstar และ Sinclair ประกาศจะไม่เผยแพร่รายการของเขาอีกต่อไป โดยไม่เปิดเผยเหตุผลที่ชัดเจน
ไม่เพียงแต่คิมเมลเท่านั้น ทรัมป์ยังออกมากล่าวพาดพิงถึง “สตีเฟน โคลแบร์” พิธีกรรายการ “The Late Show with Stephen Colbert” ที่มีกระแสข่าวว่าไม่ได้ต่อสัญญาในปีหน้า
สำหรับ “จิมมี เฟลลอน” พิธีกรชื่อดังจากรายการ “The Tonight Show Starring Jimmy Fallon” ทรัมป์ก็ไม่ไว้หน้า โดยโพสต์ว่า “เฟลลอนก็ไม่มีคนดูเลยเหมือนกัน”
ด้าน “เซ็ธ เมเยอร์ส” จากรายการ “Late Night with Seth Meyers” ก็เป็นอีกคนที่ถูกพาดพิง ทรัมป์เขียนว่า “เรตติ้งเป็นศูนย์ ไม่มีคนดูเลยสักนิด” พร้อมเหน็บแนมว่าทำไมสถานียังให้รายการของเขาออกอากาศอยู่ได้
พิธีกรทั้งสี่คนยังไม่มีถ้อยแถลงตอบโต้โดยตรง นอกจากคิมเมลที่กล่าวในรายการว่า “นี่ไม่ใช่วิธีที่ผู้ใหญ่ควรไว้ทุกข์ให้เพื่อนคนหนึ่ง มันเหมือนเด็กสี่ขวบที่เสียใจตอนปลาทองตายมากกว่า”
จากเหตุการณ์นี้ สื่อหลายสำนักในสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า ทรัมป์กำลังเปิดฉากกดดันวงการบันเทิง และใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับผู้ที่วิจารณ์หรือมีจุดยืนตรงข้ามทางการเมืองกับเขา โดยเฉพาะผู้ดำเนินรายการภาคดึกที่มักเล่นมุกการเมืองฝั่งเสรีนิยมอย่างหนักหน่วง
ทรัมป์กับรายการภาคดึกไม่ใช่เรื่องเพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นความขัดแย้งสะสมมายาวนาน เขาเคยไปเป็นแขกรับเชิญในรายการของ จิมมี ฟอลลอน มาก่อน และเคยมีความสัมพันธ์กับ Saturday Night Live (SNL) ทั้งในแง่ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นแขกรับเชิญ และถูกทำเป็นตัวล้อเลียนบนเวที SNL หลายครั้ง ซึ่งทรัมป์มักวิจารณ์การล้อเลียนตัวเองอย่างรุนแรงว่าเป็น “อคติ” และ “ไม่ยุติธรรม”
เมื่อถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากพิธีกรภาคดึกที่เล่นมุกการเมือง หรือเสียดสีเขา เขาไม่ทนอยู่เฉย ๆ และมักใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีตอบโต้ ฟ้องร้อง หรือขู่ดำเนินการต่อสื่อหรือสถานีโทรทัศน์ที่เขามองว่า “อคติ” ที่รุนแรงกว่า ตัวอย่างคือทรัมป์เคยทวีตโจมตี SNL ว่า “เป็นรายการที่ลำเอียงทั้งหมด ไม่มีอะไรตลกเลย”
จากกรณีล่าสุดเกี่ยวกับ จิมมี คิมเมล ที่ถูกระงับรายการชั่วคราว ทรัมป์ระบุว่า “เขาถูกไล่ออกเพราะเรตติ้งตก” และว่า “สามารถเรียกได้ว่าเสรีภาพในการพูดก็ได้ หรือไม่ก็ได้ — เขาน่าจะถูกไล่ออกตั้งนานแล้ว”
และเขายังอ้างถึงกรณีของ สตีเฟน โคลแบร์ ที่รายการ The Late Show ถูกยกเลิก และชี้ว่าโคลแบร์ควรถูกปลดด้วยเช่นกัน
แม้ทรัมป์จะเคยร่วมงานกับพิธีกรเหล่านี้เป็นแขกรับเชิญ แต่เขากลับไม่พอใจเมื่อตนกลายเป็นเป้าโดนเสียดสีหรือถูกวิจารณ์ เขามักแสดงท่าทีตอบโต้รุนแรงทั้งด้วยถ้อยคำในโซเชียลมีเดีย การขู่ใช้บทกฎหมาย และการบีบคั้นเครือข่ายสื่อ
สถานการณ์ที่ดูเหมือนเพียงการปะทะทางวาทะระหว่างทรัมป์กับพิธีกรภาคดึก อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระยะยาว ในโลกที่สื่อและการเมืองมาบรรจบกัน — และคงไม่จบแค่นี้อย่างแน่นอน
