“ป๋อ ณัฐวุฒิ” เผยสภาพจิตใจ “เอ๋ พรทิพย์” ถูกกุข่าวเสียชีวิต จวกทำไมใจร้าย เพราะลึกๆ เมียกลัวตาย อธิบายให้ลูกๆ เข้าใจ สิ่งที่ครอบครัวเผชิญ เด็กยุคนี้ฉลาด ปิดไม่ได้
หลังจากออกมาประกาศว่าภรรยา “เอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ” ป่วยโรคร้ายมะเร็งปอด รักษาจนโรคสงบแล้ว แต่ไม่วายโดนเฟกนิวส์กุข่าวหาว่า “เอ๋ พรทิพย์” ตุยแล้ว งานี้สามีอย่าง “ป่อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ” ก็เปิดใจว่าคนทำช่างใจร้าย ไม่มีความเมตตากันเลย
“พี่เอ๋เหมือนเดิม คนที่เป็นมะเร็ง คนที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งจะทราบดีว่ามะเร็งไม่มีวันหาย เราต้องเช็กทุกๆ 6 เดือน เราจะทำอย่างนี้ไปจนครบ 5 ปี ใกล้ธันวาฯ แล้ว หัวใจก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวว่าจะเจออีกหรือเปล่า เพราะคุณหมอบอกว่าถ้ามันจะกลับมา ความเสี่ยงที่จะกลับมาก็เป็นช่วง 2 ปีแรก ต้องมานั่งลุ้นกัน แต่ไม่เป็นไร ถ้าเจออีกก็ตัดอีก
เราไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่งั้นเราก็อยู่กับมันๆ ไม่ได้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นไปเลย ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครด้วยนะ เกิดขึ้นแล้วก็อยู่กับมันแล้วก็รักษา สู้ เราก้าวข้ามความกังวลไปแล้ว ตอนนั้นมันหนักตรงที่ตอนแรกกลัวเอ๋จะเสีย กลัวเอ๋จะเป็นเยอะ กลัวไปที่น้ำเหลือง ตอนนั้นกลัว สองก็เริ่มวิตก
ตอนนี้ก้าวข้ามพวกนั้นมาหมดแล้ว สิ่งนึงที่ต้องทำคือต้องดูแลจิตใจเอ๋อย่างเดียว ไม่เป็นไร เราช่วยกัน เราสู้ไปด้วยกัน เริ่มพาเอ๋ไปวิ่ง เมื่อก่อนเขาไม่วิ่ง วิธีการชวนเอ๋ออกไปวิ่ง คือเราต้องออกไปวิ่งก่อนประมาณ 2 เดือน จนกว่าเอ๋เริ่มเห็นว่าพี่ป๋อออกกำลังกาย เขาถึงจะเริ่มอยากออกบ้าง แต่ถ้าไปชวนเลย เขาจะไม่ ฉันไม่วิ่ง เหนื่อย ตอนนี้เอ๋ก็เริ่มวิ่งได้แล้ว
ไม่ต้องปรับไลฟ์สไตล์อะไรเลย จริงๆ ไม่เกี่ยวกับอาหาร เพราะเอ๋เป็นมะเร็งปอด มันเกี่ยวกับอากาศที่เราหายใจเข้าไป ก็แค่ถ้าเกิดอะไรในพื้นที่ pm2.5 เยอะ คนเป็นโรคหวัดเยอะ ไข้หวัดใหญ่เยอะ ใส่หน้ากากระวังหน่อย ตอนนี้ปอดเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้วิ่งได้แล้วนะประมาณ 4-5 กิโล วิ่งไปก็ด่าสามีไป อะไรกันนักกันหนา ทำไมต้องออกมาวิ่งด้วย ก็บอกให้วิ่งเถอะ ปอดถูกตัดไปนิดนึงไง ถ้าปอดแข็งแรงจะดีมาก”
อธิบายให้ลูกๆ เข้าใจ สิ่งที่ครอบครัวเผชิญ เด็กยุคนี้ฉลาด ปิดไม่ได้
“เด็กๆ เขายังไม่รู้ถึงการสูญเสีย แต่เขารู้ว่าเป็นโรคร้าย มันก็อยู่ในใจ หน้าที่พ่อแม่ต้องอธิบาย บ้านเราจะพยายามไม่ปิด อธิบายในมุมที่เด็กเขาพอเข้าใจได้ว่ามันเกิดโรคนี้ เด็กๆ ต้องพยายามอย่าดื้อกับแม่นะ อะไรที่แม่อยากได้ แม่ขอ ช่วยแม่หน่อย อย่าให้แม่เหนื่อยกับเรามากเกินไป เด็กๆ เขาก็ครับๆ แต่ได้อาทิตย์เดียว กลับมาดื้อเหมือนเดิม
เด็กยุคนี้ฉลาด ถ้าเราพูดว่ามะเร็งเขารู้เลย เรื่องรู้ไปถึงโรงเรียน คุณครูต้องมาให้คำปรึกษาว่าเด็กคนโตโอเคไหม คนเล็กมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า เราก็ทำงานกันเยอะมากนะ ที่โรงเรียนก็มาคุยกับเราว่าเด็กๆ สองคนโอเค คุณครูก็ช่วยดูแลให้ เขากลัวมีปัญหา เวลาอยู่ตัวคนเดียว หรืออยู่กับเพื่อนจะเป็นอีกแบบนึง แต่เขาไม่เป็น”
จวกเฟกนิวส์ กุข่าวเมียเสียชีวิต ทำไมใจร้าย รับลึกๆ เอ๋กลัวตุย เสียใจถูกขยี้ อุ้มใจไม่ให้ดำดิ่ง ไม่งั้นคงไปต่อไม่ได้
“เราไม่เข้าใจ เรื่องเหมือนผ่านไปแล้วด้วยซ้ำ ตอนนั้นมีติ๊กต๊อก มีเพจมาบอกว่าเอ๋ตุย ทำไมใจร้ายจังเลย ทำไปเพื่ออะไร ที่เราคุยกับเอ๋ว่าเราไลฟ์สดให้คนเห็นไปเลยเรียลไทม์ ว่าเอ๋ยังมีชีวิตอยู่ ผมว่าการพูดว่าดาราคนโน้นคนนี้ตาย ทั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันเป็นเรื่องที่คุณอาจได้เอนเกจฯ หรือยอดวิว หรือได้เงิน แต่มันเป็นวิธีการที่ใจร้ายพอสมควร
สำหรับมุมคนที่ได้รับผลกระทบนะ ผมไม่รู้มันดูสนุกหรือเปล่า แต่มุมนึง คุณอาจได้อะไรก็ตาม แต่ทุกๆ คน แม้แต่คนทำขึ้นมา ก็มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีลูก คุณลงข่าวภรรยาผมตุย แล้วสุขภาพใจเขาก็ยังไม่ได้ดีมาก คนเป็นมะเร็งก็กลัวที่จะตุย ลึกๆ เขาก็กลัวอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าตัดแล้วหายขาด ถ้าถามจริงๆ จะขอร้องเขาว่า พยายามอย่าทำเลย มันใจร้ายไปนะ แต่ก็ไม่เป็นประโยชน์ เราพูดไปพรุ่งนี้เขาก็ทำอีก เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้แล้ว สิ่งสำคัญคือคุมตัวเรา ถ้าโกรธก็ไลฟ์สดไปแล้วก็พูด จบแล้วก็จบกัน
คนให้กำลังใจเยอะมาก วันนั้นคนดูเป็นหมื่นหรือเปล่าไม่รู้ เป็นครั้งแรกเลยที่ไลฟ์แล้วคนดูเป็นหมื่น เพราะคนก็เข้าใจ ส่วนใหญ่คนคอมเมนต์ว่าไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยผ่าน ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ส่วนคนที่ทำ เราก็หยุดเขาไม่ได้อยู่ดี มากกว่านี้ก็ไปเรื่องฟ้อง ซึ่งเสียเวลากันไปหมด
สภาพจิตใจเอ๋ เขาก็เสียใจแหละ ว่าทำไมต้องตามขยี้กันขนาดนั้น เขาก็เป็นมะเร็ง เหมือนเพื่อนเป็นมะเร็ง ต้องพูดอะไรก็ได้เพื่อรักษาจิตใจเพื่อน แต่กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีความเมตตากันเลย ซัดเลย ตายแล้ว คนที่เขากลัวเรื่องนี้อยู่ เขาก็กลัวเขาจะตุยนะ เอาจริงๆ เขากลัวดูแลลูกได้ไม่นาน สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันหายไปหรอก มันยังวนอยู่ในหัว นึกออกไหม เดือนธันวาฯ เราต้องไปตรวจอีก ถ้าไม่เจอก็ต้องรอปีหน้าเดือน 6 ก็ต้องมาลุ้นอีก ก็ต้องอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถามว่าพวกเรายิ้มเต็มปากไหม ก็ยิ้มจาก 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 90 เปอร์เซ็นต์
กำลังใจจากทุกคนสุดยอด คนน่ารักๆ เยอะมาก ผมเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมด สุดท้ายต้องขอบคุณกำลังใจแหละที่เขาส่งมาให้ การที่เขาพิมพ์ข้อความมาให้ นั่นหมายความว่าบางครอบครัวเขาก็มีประสบการณ์แบบนี้ บางครอบครัวเขาก็เคยมีพ่อแม่ มีเพื่อน มีสามีภรรยาเป็นมะเร็ง เสียชีวิตไปก็มี เขาก็ส่งกำลังใจมา เอ๋ก็ได้กำลังใจตรงนี้ ไม่งั้นเขาก็คงไปต่อไม่ได้ เรื่องทั้งหมดต้องอุ้มใจกันขึ้นมา ไม่งั้นก็จะดิ่งลงไป”
ร่วมงานกับเจนใหม่ ไม่ยากอย่างที่คิด
“ไม่เคยมางานแบบนี้เลย (อยากมีคู่จิ้นบ้างไหม?) ไม่หรอก คนก็คงไม่เชื่อหรอก (หัวเราะ) ทำงานเรื่องนี้สนุกมาก เป็นหนึ่งการเดินทางของชีวิต ได้มาร่วมงานกับช่องวัน บรรยากาศช่วงแรกๆ ตะกุกตะกักบ้าง เขินไง ไม่รู้จักใคร ทีมงาน ตากล้อง ช่างหน้าช่างผม ไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่ แต่ได้น้องๆ เซ็ตนี้น่ารักมาก เด็กเขาไม่ได้เขินนะ เขาเข้าหาผู้ใหญ่ เขาเข้าหาเรา ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกับเรา เราก็เริ่มสบาย หลังๆ เป็นพี่เป็นเพื่อนกันไปเลย
ตอนแรกคิดว่ามันต้องยากแน่ๆ เพราะคนละเจน เขาเป็นน้องที่น้องมาก เราทำงานมานาน แต่กลายเป็นว่าต้าห์อู๋กับออฟโรดเขาเป็นคนนอบน้อม มีอัธยาศัยดี ซน ขี้เล่น หยอกกับเรา เลยกลายเป็นว่าเราปรับตัวได้ง่าย เรากลายเป็นเพื่อนเขาไปเลย
ตอนแรกเขาไม่ได้เกร็งเราหรือกลัวเรา เขาให้ความเกรงใจ เหมือนทุกคนจะพูดว่าเคยดูพี่ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว สิ่งสำคัญมันเกิดจากตอนต้าห์อู๋ชวนผมเล่นติ๊กต๊อกคมแฝก อันนั้นกลายเป็นสนิทกันไปเลย กองทุกคนหัวเราะ เราเข้ากับทุกคนได้ คมแฝกคือจุดเปลี่ยน ต้าห์อู๋เขาชอบเล่นติ๊กต๊อก ชอบมาหยอกว่าพี่ป๋อเต้นไหม พี่ป๋อก็ดาวติ๊กต๊อกนี่ ก็เลยเล่นกัน มีความสนุกไปเลย”
เผยประสบการณ์การแสดง 25 ปี ใส่จัดเต็มในซีรีส์ “THE WICKED GAME” หมดแล้ว
“สำหรับตัวบทเรื่องนี้ ดีมาก โอ้โห อ่านบทแล้วไม่รับไม่ได้ มันมีเหตุผลของมันอยู่ เรื่องนี้โดยชื่อก็เกิดจากละครตัวนี้แหละ แล้วอยู่กันไปทั้งเรื่อง ชิงไหวชิงพริบ เราอยากเล่น แล้วเราจะเล่นยังไงให้มีความทับซ้อนเป็นมนุษย์ด้วย มันหมดสมัยแล้วบอกตัวเองผมเล่นร้ายครับ ผมเล่นดีครับ ไม่ใช่แล้วนะ เล่นเป็นมนุษย์นี่แหละ เพราะมนุษย์มีซ่อนอะไรอยู่ข้างใน แล้วมันสนุกมาก ถ้าไม่มีตัวละครตัวนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มี มันเกิดจากพ่อคนนี้แหละที่...ไม่เล่าดีกว่า (หัวเราะ) แต่เกิดจากพ่อคนนี้แหละ
เราชอบมาก และรู้สึกว่าเล่นเต็มที่แล้ว ตอนปิดกล้องคุยกับผู้กำกับและน้องๆ นักแสดงว่า เอาอะไรจากเราไปไม่ได้อีกแล้ว เล่นละครมา 25 ปี ก็คิดว่าเล่นละครเรื่องนี้เต็มที่ที่สุด เรื่องอื่นก็เต็มที่ แต่เรื่องนี้มันเหมือนกับเรารู้สึกถูกใจ เราพยายามเล่นออกมาให้แตกต่างไปจากสิ่งที่เราเคยทำมา เราสนุกกับมัน และก้าวข้ามเซฟโซนของเรา ทำสิ่งใหม่ๆ สนุกมาก
ใช้ทุกประสบการณ์มาลงเรื่องนี้ เหมือนผมต้องดูแลน้องๆ อีก 15 คน น้องๆ หลายคนเล่นซีรีส์มาไม่กี่เรื่อง ก็พยายามคุยกับผู้กำกับว่าเราต้องไปด้วยกันนะ ไม่เป็นไร ให้โอกาสน้องๆ เราก็ไปเชียร์ อีกนิดนึง ก็ให้กำลังใจกัน จนกลายเป็นเพื่อนกันไปหมดแล้ว ตอนแรกเขาเรียกพ่อ หลังๆ เขาเรียกพี่ หลังๆ เรียกเพื่อนแล้ว ไปๆ ป๋อกินข้าว ก็น่ารักดี”
