“ปอนด์ Be On Cloud” มองข้ามถูก “ต้อม ยุทธเลิศ” เตรียมฟ้อง 100 ล้าน แต่เสียความรู้สึก รุ่นพี่วงการหนังอคติ เหยียดทำซีรีส์เกย์ ลั่นวงการมันน่าจะน่ารักกว่านี้ นี่มัน พ.ศ.ไหนแล้ว ไม่อยากให้เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับใครอีก ส่วนที่บอกว่าใน 20 คิว “พิง ลำพระเพลิง” มาแค่ 2 คิวแล้วไม่ได้มากองอีกเลย ตนยอมรับว่ามีสถานการณ์ที่บริษัทตนต้องเข้ามาจัดการ เป็นประเด็นที่ทำให้พิงอาจจะเป็นกังวล
เตรียมออกมาแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ถึงปมพิพาทระหว่างคนทำหนัง “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค”ที่จ่อฟ้องบริษัท Be On Cloud จำนวน 100 ล้าน ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์หนัง บุปผาราตรี เมื่อเจอผู้บริหาร “ปอนด์ Be On Cloud” หรือ “ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” เจ้าตัวก็เปิดเผยความรู้สึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า…
“ที่ผ่านมาผมไม่ได้พูดอะไรเลยเพราะค่อนข้างจะมั่นใจว่าเราทำถูกต้อง ไม่ใช่แค่ข้อกฎหมาย แต่เราถูกในเรื่องของการเคารพและศีลธรรมในการทำงาน เดี๋ยววันที่ 26 กันยายนนี้ผมจะแถลงเรื่องราวทั้งหมดโดยมีพี่พิงมาด้วย เราคงต้องพูดบ้างแต่เราไม่ได้ต้องการโจมตีใครแต่เราเงียบเพื่อรอดูว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง สำหรับคิดว่าเรื่องมันไม่มีอะไรเลย พอเห็นเรื่องราวต่างๆ ที่พี่เขาอาจจะเข้าใจผิดไปเยอะเลยคิดว่าเราต้องพูดบ้าง เพราะตอนนี้เรื่องมันเริ่มมากระทบที่ตัวผมแล้ว กับผลงานที่เราทำจนคนรอบข้างเริ่มจะเป็นห่วง
จริงๆ ผมอยากจะใช้ชื่อนี้นะ แต่พอมันเป็นขนาดนี้คงต้องขอคิดดูอีกที ภาพยนตร์เรื่องนี้เราอยากให้ดูที่เนื้อหา คุณภาพและความตั้งใจของเราโดยที่ยังไม่ต้องสนใจชื่อเรื่องก็ได้ ผมมั่นใจว่าทั้งโครงเรื่องผมไม่คิดจะเอาอะไรของใคร ณ ตอนนี้ยังไม่มีชื่อบุปผาอยู่ในเรื่อง ห้อง 609 ยังไม่มีเลย
ค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายไป 1.2 ล้านบาท ตามสัญญาตั้งแต่แรกๆ ที่ทำ คือชื่อเรื่องกับโครงเรื่อง ผมไม่ได้ใช้ทั้งคู่ แต่ผมมีความเคารพและชื่นชมพี่เขา ทุกอย่างมีหลักฐานหมด และในกองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนแฮปปี้กันมาก เลยงงว่าเรื่องมันไปถึงจุดนั้นได้ยังไงถ้าพูดว่าเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้ในหอพัก มันก็มีหลายเรื่องมาก อย่าง หอแต๋วแตก ซองแดงแต่งผี มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาบอกว่าเราไปเอาอะไรของใครมา ต้องให้พี่เขาไปคุยกับพี่พิง เพราะไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับพี่เขา”
บอก “ต้อม” อารมณ์เยอะตนไม่อยากคุย ณ ตอนนั้น เสียความรู้สึกวงการมันน่าจะน่ารักกว่านี้ ติดใจถูกเหยียดทำซีรีส์เกย์ ลั่นนี่มัน พ.ศ. ไหนแล้ว
“วันแรกที่พี่เขาโพสต์จนมันเป็นประเด็นผมได้พยายามโทร.ไปคุย แต่ว่าตอนนั้นผ่านบุคคลอีกคนนึง เขาก็บอกว่าเขาไม่สะดวก คือถ้าพี่เขาอารมณ์เยอะๆ ผมก็ยังไม่อยากคุยตอนนั้น ตัวผมปกติมาก เสียความรู้สึกนิดหน่อย ผมว่าวงการมันน่าจะน่ารักกว่านี้มันเป็นงานสร้างสรรค์ บรรยากาศในกองเราแฮปปี้กันมากจริงๆ พอมาเจอแบบนี้แต่ละคำมันค่อนข้างจะรุนแรง
สิ่งที่ผมอาจจะติดคือการเอาผลงานเราที่มันเป็นซีรีส์เกย์มาเหยียด มาพูดด้วยถ้อยคำแบบนี้ เรียกผมว่าอะไรผมไม่กังวลเลย แต่ปีนี้มัน 2568 แล้วนะ เราสู้กันมาไกลมากกับเรื่องเพศที่มันไม่ควรจะถูกเหยียด มันไม่ควรมีแล้วผมว่านะ”
ย้ำทำถูกต้องตามสัญญาทุกอย่างเพราะมาทีหลัง
“ผมเข้าไปร่วมงานกับพิงตอนได้ลิขสิทธิ์มาแล้ว ซึ่งในตอนนั้นเขามีกลุ่มทุนเก่าก่อนที่พี่พิงจะทำ ตอนนั้นเขาอยากได้เจษ (เจษฎิพิพัฒ ติละพรพัฒน์) ไปเล่น พอผมเข้าไปคุยปุ๊บผมรู้สึกว่าถ้าจะเอานักแสดงของเราไปเล่น เราก็อยากมั่นใจว่ามันจะอยู่ในจุดที่เราสบายใจ เราเลยไปร่วมลงทุนด้วย มันก็ลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ และปรับบทไปเรื่อย พอเราเป็นคนลงทุนใหญ่และใช้เงินเยอะขึ้นเรื่อยๆเราก็คาดหวังผลงานว่ามันจะออกมาดีที่สุดตามที่เราเชื่อ ก็เท่านั้น
โดยสัญญามันไม่ได้ระบุว่าต้องไปแจ้งถ้ามีการปรับบทอะไรยังไง เราทำตามเปเปอร์ที่มีตามสัญญาทุกอย่าง ด้วยความที่เราเข้ามาเสียบ เรื่องที่เกิดในกองมันเป็นเรื่องภายในของเรา เราไม่ได้จะต้องไปอธิบายให้ใครฟัง”
ส่วนที่บอกว่าใน 20 คิว “พิง ลำพระเพลิง” มาแค่ 2 คิวแล้วไม่ได้มากองอีกเลย ตนยอมรับว่ามีสถานการณ์ที่บริษัทตนต้องเข้ามาจัดการ เป็นประเด็นที่ทำให้พิงอาจจะเป็นกังวล
“พี่พิงอยู่บ้านในช่วงนึง ด้วยความที่สถานการณ์ในช่วงนึง งบประมาณมันไปไกลมาก พอเราอยากจะคราฟ บทและงบประมาณมันพาไปไกล มันมีจุดนึงที่ Be on cloud ต้องลงไปแล้วกัน ผมขอใช้คำนี้ พี่พิงก็อาจจะกังวลตรงนั้น
แกเป็นคนดูโปรเจกต์ตั้งแต่แรกแกก็ต้องกลับไปดูหลังบ้านว่างบมันทะลุไปไกลขนาดนั้นต้องจัดการยังไง บวกกับสภาพจิตใจด้วย ต้องบอกว่าคนทำงานมีเรื่องสภาพจิตใจกันทั้งนั้น แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ การกำกับ พี่พิงอยู่ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ยันวันเลี้ยงปิดกล้อง นักแสดงที่ถูกพาดพิงทุกคนอยู่ในกองอย่างแฮปปี้ ทุกวันนี้ผมยังงงว่าต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาของเรื่องนี้คืออะไร”
ตนไม่ได้ถอนตัว “พิง” ออกจากโปรเจกต์แน่นอน ลั่นหาก “ต้อม” บอกว่ารักพิง ตนมั่นใจว่าตนก็รักพิงไม่แพ้ต้อมแน่นอน
“ผมไม่ได้ทำแน่นอน ผมมั่นใจว่าถ้าพี่เขารักพี่พิงมากขนาดนั้นผมว่าผมก็รักพี่พิงไม่แพ้เขาก็แล้วกัน เพราะผมเองก็ซัปพอร์ตพี่พิงแบบสุดกำลังเท่าที่ผมจะทำได้ แต่ความเข้าใจผิดนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ทุกคนต้องไปคุยกับพี่พิงแล้วมาบอกผมว่าเรื่องมันเป็นยังไง เพราะพี่พิงเขาบอกผมว่าเขาไม่ได้พูด พี่พิงเขาก็ดำเนินการของเขาค่อนข้างจะชัดเจนเรื่องของกฎหมาย
ผมว่ากระทรวงวัฒนธรรมไม่ได้ตัดสินจากชื่อเรื่องแล้วกันครับ กระทรวงตัดสินจากทีมทำและคอนเซปต์ ชื่อเรื่องจะเป็นอะไรไม่ใช่ปัญหา ผมเคยทำงานกับกระทรวงวัฒนธรรมมาแล้ว สุดท้ายแล้วเรามีสัญญาถูกต้อง เราทำตามสัญญาทุกอย่าง เขาคิดว่าเราละเมิดสัญญาจริงๆ หรือว่ามีอคติบางอย่างที่เขาไม่รู้ความจริงหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ ผมไม่ได้กังวลแต่ผมเสียความรู้สึก”
ยังไงหนังเรื่องนี้จะได้ฉายแน่นอน มองสิ่งที่ตนกำลังสูัไม่ใช่เรื่องเงินแต่เป็นเรื่องของความอคติ ไม่อยากให้เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับใครอีก
“ผมเองเหมือนหน้าใหม่ในวงการนี้ แต่ผมมาด้วยแพสชั่นเต็มทุกคนก็เห็น ต่อให้ไม่ต้อนรับเราด้วยความโอบอ้อมอารีย์ ก็อาจจะไม่ต้องทำขนาดนี้ ถ้าผมเป็นผู้สร้างตัวเล็กๆ และนี่คือเงินทั้งหมดในชีวิตของผม อันนี้คือฆ่ากันได้เลยนะ ผมว่าใจร้ายไปนิดนึง แต่โอเค จะฟ้องมาเท่าไหร่มันก็เป็นคำพูด สุดท้ายแล้วทางกฎหมายมันใช้เวลา แต่สิ่งที่กำลังพูดกันตอนนี้คือเรากำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ มันไม่ใช่เรื่องของเงิน มันเป็นเรื่องของอคติหรือเปล่า หรือความไม่เข้าใจแล้วโมโหไปก่อนหรือเปล่า ผมไม่อยากให้เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับใครอีก
ผมรู้สึกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผม ผมไม่ได้ไปทำให้ใครเจ็บตัว ผมทำสิ่งที่สร้างสรรค์อยู่ ต้องไปถามทางพี่เขา แต่ผมพร้อมตอบทุกคำถามนะ ยังไงหนังเรื่องนี้ฉายแน่นอนครับ”
