xs
xsm
sm
md
lg

The Conjuring: Last Rites ‘บทสวดสุดท้าย’ ของนักปราบผี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



เป็นเวลานานกว่าทศวรรษที่จักรวาลภาพยนตร์ The Conjuring ได้สร้างปรากฏการณ์ความสยองขวัญที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในที่สุด แฟรนไชส์นี้ก็กำลังจะเดินทางมาถึงบทสรุปที่หลายคนรอคอยกับภาพยนตร์ลำดับที่ 9 อย่าง The Conjuring: Last Rites ซึ่งไม่ใช่แค่การกลับมาของคดีสยองขวัญครั้งใหม่เท่านั้น แต่คือการปิดฉากเรื่องราวอันยาวนานของสองนักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติผู้เป็นที่รักอย่าง เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน

โดยทีมผู้สร้างตั้งใจให้ The Conjuring: Last Rites เป็นจุดสิ้นสุดของตอนจบที่ "ทรงพลังทางอารมณ์" และ "ใหญ่กว่าเดิม" ในขณะที่ยังคงความน่ากลัวที่แฟนๆ คาดหวังไว้

เนื้อหาของภาพยนตร์ภาคนี้เกิดขึ้นในปี 1986 ในช่วงเวลาที่เอ็ดและลอร์เรนกำลังพิจารณาเกษียณตัวเองจากงานปราบผี พวกเขาถูกดึงกลับเข้าสู่โลกเหนือธรรมชาติอีกครั้งด้วยคดีสยองขวัญที่เกิดขึ้นจริงในครอบครัวสเมิร์ล เมืองเวสต์พิตต์สตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ที่เริ่มจากเหตุการณ์ประหลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ และค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นจนทำลายชีวิตครอบครัวนี้


สิ่งที่ทำให้ The Conjuring: Last Rites แตกต่างจากภาคก่อน ๆ คือการลงลึกในมิติของ "ครอบครัว" อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทีมผู้สร้างตัดสินใจที่จะเริ่มต้นเรื่องราวด้วยคืนที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อลูกสาวของพวกเขา จูดี้ วอร์เรน ลืมตาดูโลก เพื่อให้เรื่องราวรู้สึก "ครบวงจร" โดยในภาคนี้ จูดี้ ซึ่งรับบทโดย มีอา ทอมลินสัน ได้ก้าวจากตัวละครสมทบสู่บทบาทสำคัญที่ผู้ชมจะได้เห็นการเติบโตของเธอ

การที่ จูดี้ เติบโตขึ้นมาภายใต้เงาของพ่อแม่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และพลังที่เธอได้รับสืบทอดมาจากแม่ กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกสำรวจอย่างลึกซึ้งในภาพยนตร์ ลอร์เรนเคยแนะนำให้เธอพยายาม "ปิดกั้น" พลังนั้น แต่ปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ก็กำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายเธอในไม่ช้า เรื่องราวนี้ทำให้ผู้ชมได้เชื่อมโยงกับครอบครัววอร์เรนในแบบที่ลึกซึ้งมากขึ้น และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของพ่อแม่ที่ต้องปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้ากับชะตากรรมของตัวเอง

ทั้งผู้กำกับไมเคิล ชาเวส และเจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์หนังหลอนเรื่องนี้ ต่างยืนยันว่าสิ่งที่สร้างจักรวาล The Conjuring ให้แข็งแกร่งคือการให้ "ความเคารพ" ต่อเรื่องราวเหนือธรรมชาติและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไมเคิล ชาเวส ได้เจาะลึกการค้นคว้าคดีสเมิร์ลอย่างละเอียด และได้มีโอกาสพูดคุยผ่าน Zoom กับพี่น้องตระกูลสเมิร์ลทั้งสี่คน ประสบการณ์นี้ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความเชื่อในเรื่องลี้ลับอย่างเต็มตัว


นอกจากนี้ ไมเคิล ชาเวส ยังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าเหลือเชื่อในระหว่างการถ่ายทำที่อังกฤษ เขาเล่าว่าตนเองได้พักอยู่ในบ้านผีสิงชื่อ The Old Vicarage และได้ยินเสียงผู้ชายสองคนคุยกันที่ชั้นบน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ประสบการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาและส่งผลต่อการถ่ายทอดเรื่องราวให้สมจริงมากขึ้น เจมส์ วานเองก็เชื่อว่าความสำเร็จของหนังไม่ได้มาจากแค่ฉากสยองขวัญที่สร้างสรรค์เท่านั้น แต่มาจากความสัมพันธ์ที่น่าเชื่อถือและอบอุ่นระหว่างตัวละครหลัก

ขณะที่ผู้อำนวยการสร้าง “ปีเตอร์ ซาฟราน” ย้ำว่าหัวใจหลักของจักรวาล The Conjuring คือความผูกพันของครอบครัววอร์เรนที่ถ่ายทอดโดยแพทริค วิลสัน และเวร่า ฟาร์เมก้า โดยที่ เจมส์ วาน ได้กล่าวว่า “คนดูเข้ามาเพราะอยากกลัว... แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ต่อ คือเวร่าและแพทริค”ความสัมพันธ์นอกจอที่ยอดเยี่ยมของทั้งคู่ทำให้เคมีบนหน้าจอออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและจริงใจ

The Conjuring: Last Rites ไม่ได้เป็นเพียงหนังภาคต่อ แต่คือ “บทสรุปของยุคสมัยหนึ่ง” เจมส์ วาน รู้สึกว่ามันเป็นการปิดวงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะคดีสเมิร์ลนี้เองที่เป็นเรื่องราวแรกที่ทำให้เขารู้จักครอบครัววอร์เรน ปีเตอร์ ซาฟราน ก็รู้สึกว่าการบอกลาสิ่งสวยงามย่อมมาพร้อมความรู้สึกทั้งสุขและเศร้า แต่พวกเขามั่นใจว่าได้ส่งต่อแฟรนไชส์นี้สู่มือที่ปลอดภัยของไมเคิล ชาเวส ซึ่งไม่ได้เก่งแค่การสร้างความหลอน แต่ยังเข้าถึงเนื้อหาที่ลึกซึ้งทางอารมณ์ได้อย่างลงตัว

The Conjuring: Last Rites จะเป็นภาพยนตร์ที่มอบประสบการณ์ทั้งความสยองขวัญอันเป็นเอกลักษณ์ และความซาบซึ้งในฐานะภาพยนตร์ดราม่าครอบครัว หากปราศจากความหลอนแล้ว มันก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความผูกพันและศรัทธาที่แข็งแกร่งของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นการปิดฉากที่สมเกียรติและน่าประทับใจสำหรับจักรวาลที่ได้สร้างแรงบันดาลใจและความประทับใจให้กับผู้คนมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา







กำลังโหลดความคิดเห็น