ในขณะที่หลายคนกำลังตั้งตารอการกลับมาของภาคต่อของชายผู้ไร้ตัวตนใน Nobody 2 แต่ถ้าใครยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ภาคแรก บอกเลยว่าต้องกลับไปดูให้ได้! ยิ่งคุณเป็นคอหนังแอ็กชันด้วยแล้ว นี่คือหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
โดยหนังภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 2021 จะฉายให้เห็นต้นกำเนิดของความแค้นอันดุเดือดของ ฮัทช์ แมนเซลล์ (Hutch Mansell) ซึ่งเป็นหนังที่สร้างปรากฏการณ์และตอบโจทย์คอหนังแอ็กชันที่หิวกระหายความดิบเถื่อนได้เป็นอย่างดี
Nobody ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่มาเพื่อขายฉากบู๊ แต่เป็นเหมือนบทกวีสรรเสริญความหงุดหงิดในชีวิตประจำวันของคนวัยกลางคน เชื่อแน่ว่าเราหลายคนต่างเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ “คนไร้ตัวตน” ที่ต้องทนกับเรื่องน่าเบื่อซ้ำซากทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ไม่ก้าวหน้า ภรรยาที่ไม่ค่อยใส่ใจ หรือลูกชายที่มองเราด้วยสายตาผิดหวัง
แต่สำหรับฮัทช์ แมนเซลล์ ความรู้สึกเหล่านี้มันกัดกินใจมานานจนถึงจุดระเบิด ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยการฉายภาพชีวิตประจำวันอันแสนน่าเบื่อของฮัทช์ในสไตล์ที่ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งเหตุการณ์บุกปล้นบ้านได้กลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายความโกรธแค้นที่ถูกกดทับเอาไว้ ทำให้ชายผู้แสนธรรมดาคนนี้ต้องกลับไปหาตัวตนที่แท้จริง ซึ่งเป็น “บุคคลอันตราย” ที่เขาพยายามจะฝังเอาไว้ในอดีต
สิ่งที่ทำให้ Nobody โดดเด่นเหนือหนังแอ็กชันเรื่องอื่น ๆ คือการผสานความดราม่าเชิงจิตวิทยาเข้ากับฉากบู๊ได้อย่างลงตัว เราไม่ได้แค่ดูฮีโร่ลุยเดี่ยว แต่เราได้เห็นความรู้สึกเจ็บปวดที่แท้จริงของตัวละครที่ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความรุนแรงในอดีตอีกครั้ง
ขณะที่ฉากการต่อสู้ในเรื่องไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ดูเท่ แต่เน้นความสมจริงและดิบเถื่อนอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะฉาก “บู๊บนรถเมล์” ที่กลายเป็นตำนาน มันไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อเอาชนะ แต่เป็นการต่อสู้ที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกกดดันและอยากจะระบายความคับแค้นออกมาของตัวละคร ฮัทช์ในฉากนี้ไม่ใช่คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่คนที่เก่งกาจตั้งแต่แรก แต่เป็นคนที่ต้องค่อย ๆ “รื้อฟื้น” ทักษะความรุนแรงของตัวเองขึ้นมาใหม่ ทุกหมัดที่ถูกปล่อยออกไป ทุกการรับแรงกระแทก ทุกการสะบักสะบอม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความบ้าคลั่งที่อยู่เบื้องลึกของตัวละครตัวนี้
Nobody เปรียบได้กับหนังหลาย ๆ เรื่องในตระกูลเดียวกัน เช่น John Wick ซึ่งมีผู้เขียนบทคนเดียวกันคือ เดเร็ค โคลสแตด (Derek Kolstad) ทั้งสองเรื่องมีแนวคิดหลักที่คล้ายกันคือการดึงตัวยอดนักฆ่าในตำนานที่วางมือไปแล้วให้กลับมาสู่โลกใต้ดินอีกครั้ง แต่ทั้งสองเรื่องก็มีรสชาติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
John Wick คือภาพยนตร์ที่สร้างโลกอาชญากรรมที่มีระเบียบแบบแผน มีสไตล์ที่ดูโอเปร่าและหรูหราเหมือนเทพนิยายแห่งความรุนแรง แต่ Nobody กลับเป็นหนังที่ติดดินกว่า เข้าถึงง่ายกว่า และมีความตลกร้ายที่มาจากการ “ไม่เพอร์เฟคต์” ของตัวละคร เพราะฮัทช์ไม่ใช่ The Boogeyman ที่ทุกคนต้องหวาดกลัว แต่เป็นแค่ “คนธรรมดา” ที่ดันไปมีปัญหากับแก๊งมาเฟียรัสเซียในแบบที่ฮา ๆ ซึ่งความไม่สมเหตุสมผลแต่ดูมีเสน่ห์นี้เองที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว
นอกจากนี้ ยังมีหนังเรื่อง A History of Violence ที่สร้างจากนิยายภาพของ DC ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของชายที่พยายามหลีกหนีอดีตที่โหดร้าย แต่แล้วก็ต้องกลับมาใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องครอบครัว ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องนี้จึงถือเป็น “พี่น้องต่างสายเลือด” ในแง่ของพล็อตเรื่อง แต่มีจุดเด่นและโทนหนังที่ไม่เหมือนกันเลย
ความยอดเยี่ยมอีกอย่างที่ต้องพูดถึงคือการแสดงของ บ็อบ โอเดนเคิร์ก (Bob Odenkirk) นักแสดงที่เราคุ้นเคยกันดีจากซีรีส์ Better Call Saul ซึ่งเขาสามารถสลัดภาพทนายจอมกะล่อนออกไปได้อย่างหมดจดเพื่อรับบทเป็นฮัทช์ แมนเซลล์ เขาไม่ได้แค่เล่นเป็นแอ็กชันสตาร์ แต่ยังสามารถแสดงสีหน้าของความผิดหวัง ความหงุดหงิด และความต้องการปลดปล่อยตัวเองได้อย่างน่าเชื่อถือ ทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงการแสดงของนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (Christopher Lloyd) ในบทบาทคุณพ่อของฮัทช์ ก็สร้างสีสันและกลายเป็นอีกหนึ่งความประหลาดใจที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ว่ากันอย่างถึงที่สุด Nobody คือภาพยนตร์ที่อาจจะไม่ได้แหวกแนวใหม่ในด้านโครงสร้าง แต่กลับใช้ “วัตถุดิบ” ที่คุ้นเคยมาปรุงแต่งด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งการผสมผสานความตลกร้าย ความดราม่าของคนวัยกลางคน และฉากแอ็กชันที่ดิบเถื่อนอย่างถึงใจ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นหนังแอ็กชันที่สนุกสนาน แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงการค้นหาตัวตนและการเผชิญหน้ากับอดีตได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เรายิ่งอยากรู้ว่าในภาคต่อไป ฮัทช์ แมนเซลล์ จะสร้างความระห่ำอะไรขึ้นมาอีกบ้าง
