xs
xsm
sm
md
lg

The Eternaut ก้าวสำคัญของการใช้ AI ในโลกภาพยนตร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



The Eternaut ซีรีส์ไซไฟจากอาร์เจนตินาที่ออกฉายทาง Netflix ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์และซีรีส์ ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในงานวิชวลเอฟเฟกต์ (VFX) อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก

The Eternaut มีต้นกำเนิดมาจากการ์ตูนกราฟิกโนเวลอันโด่งดังของอาร์เจนตินา ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1957 ผลงานชิ้นนี้ได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะงานสำคัญในวรรณกรรมภาพกราฟิกของละตินอเมริกา ด้วยความลึกซึ้งทางอารมณ์ นัยยะทางการเมือง และแนวคิดไซไฟที่เป็นเอกลักษณ์ โดยตัวเรื่องมีตัวละครหลักคือ “ฮวน” และกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ต้องเผชิญกับการรุกรานของมนุษย์ต่างดาวในกรุงบัวโนสไอเรสที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีความพยายามหลายครั้งที่จะดัดแปลง The Eternaut ออกสู่จอแก้ว แต่ก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากปัญหาด้านทรัพย์สินทางปัญญา เงินทุน หรือความซับซ้อนของเนื้อเรื่อง จนกระทั่ง K&S Films ได้รับสิทธิ์ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และ Netflix ได้เข้ามาเซ็นสัญญาในปี 2018 โปรเจคต์นี้จึงเริ่มเกิดขึ้นจนเป็นรูปธรรม


เมื่อ The Eternaut เริ่มสตรีมบน Netflix ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม ทั้งในด้านการเล่าเรื่อง การพัฒนาตัวละคร ภาพ และความซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ และที่สำคัญ จุดเด่นที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากก็คือการบุกเบิกการนำเทคโนโลยี AI สร้างภาพ (Generative AI) มาใช้ในการสร้างสรรค์ฉากสำคัญ ซึ่ง Netflix ยืนยันว่านี่เป็นการใช้งาน AI ในการสร้าง VFX สำหรับผลงานออริจินัลของแพลตฟอร์มเป็นครั้งแรก

ยกตัวอย่างฉากที่ Netflix เลือกใช้ AI เข้ามาเสริม เช่น ฉากตึกถล่มในเมืองบัวโนสไอเรส ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราวในโลกที่ล่มสลายของ The Eternaut สิ่งที่น่าทึ่งคือ การใช้ AI ช่วยให้การสร้างฉากนี้เสร็จสมบูรณ์เร็วกว่าการใช้เทคนิค VFX แบบดั้งเดิมถึง 10 เท่า และยังช่วยประหยัดงบประมาณการผลิตได้อย่างมหาศาล

Ted Sarandos หนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของ Netflix ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การนำ AI มาใช้ในครั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถสร้างฉากที่มีความซับซ้อนสูงได้ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่


Sarandos ยืนยันว่า AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำพรีวิชวลไลเซชัน (Pre-visualization), การวางแผนช็อต (Shot Planning) และ VFX ไม่ใช่เพื่อทดแทนความสามารถของมนุษย์ เขามองว่า AI เป็นโอกาสในการช่วยให้ผู้สร้างผลงานได้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ลดต้นทุนเท่านั้น การนำ AI มาใช้ในครั้งนี้ยังช่วยให้โปรเจกต์ที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณสามารถนำเสนอภาพที่เคยเป็นไปไม่ได้ในอดีตให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ และยังช่วยลดเวลาในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถนำเสนอผลงานสู่สายตาผู้ชมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ในวงการสร้างสรรค์นี้ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงและความกังวลในหมู่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจ้างงานและผลกระทบต่อความต้องการแรงงานที่มีทักษะในงานหลังการผลิต มีการคาดการณ์ว่า 75% ของงาน VFX ทั่วโลก (ประมาณ 75,000 ตำแหน่งจาก 100,000 ตำแหน่ง) อาจหายไป แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่เฟื่องฟูอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่ Netflix ยืนยันว่าการใช้ AI เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของงานสร้างภาพยนตร์และซีรีส์ให้ดียิ่งขึ้น


ในแง่ของงบประมาณ การใช้ AI ในการสร้าง VFX คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตภาพยนตร์ลงได้ 30-50% ของงบประมาณ VFX ทั้งหมด ซึ่งคิดเป็น 15-20% ของต้นทุนโครงการโดยรวม มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมจะประหยัดเงินได้ถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี จากโครงการภาพยนตร์ประมาณ 250 โครงการ และจำนวนโครงการอาจเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-2,000 โครงการต่อปี เนื่องจากต้นทุนที่ลดลง

นอกเหนือจาก VFX แล้ว Netflix ยังนำ AI ไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การเล่าเรื่องแบบโต้ตอบ การสร้างข้อมูลเมตา ระบบแนะนำเนื้อหาเฉพาะบุคคล การพากย์เสียง และกระบวนการก่อนการผลิต CGI ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการพากย์เสียงด้วย AI ที่ช่วยให้ช่องยูทูปอย่าง MrBeast สามารถผลิตวิดีโอได้ถึง 170 ภาษา โดยที่เสียงและภาพเคลื่อนไหวของปากตรงกันอย่างเป็นธรรมชาติ

ก้าวสำคัญของ The Eternaut ในการใช้ AI แทน VFX จึงเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจสำหรับอนาคตของวงการบันเทิง ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับชมความบันเทิงในอนาคต











กำลังโหลดความคิดเห็น