xs
xsm
sm
md
lg

ประกันโรคร้ายแรง vs ประกันสุขภาพ เลือกทำอะไรก่อนดี ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้ว่าไม่มีใครอยากเจ็บป่วย แต่เราทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของชีวิต การวางแผนความคุ้มครองด้านสุขภาพจึงเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นต่อเนื่อง บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "ประกันสุขภาพ" และ "ประกันโรคร้ายแรง" ว่าคืออะไร ให้ความคุ้มครองแบบไหน และควรเริ่มทำอะไรก่อนดีเพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพและการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
 
เข้าใจความต่าง: ประกันสุขภาพ vs ประกันโรคร้ายแรง
ประกันสุขภาพ คือประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยใน (IPD) หรือผู้ป่วยนอก (OPD) เช่น ค่าห้องพักรักษาในโรงพยาบาล ค่าผ่าตัด ค่ายา ค่าตรวจวินิจฉัย ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป ฯลฯ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วยแบบทั่วไปหรือการเข้ารับการรักษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรง

ประกันโรคร้ายแรง หรือ Critical Illness Insurance จะเน้นให้ความคุ้มครองแบบ “จ่ายเงินก้อน” เมื่อผู้เอาประกันถูกวินิจฉัยว่าเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจวายเฉียบพลัน ฯลฯ เงินก้อนนี้สามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ เช่น รักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน เข้ารับการรักษาทางเลือก หรือนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันท่ามกลางภาวะที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
เลือกอะไรก่อนดี ? ขึ้นอยู่กับ "เป้าหมาย" และ "สถานะการเงิน"

คำตอบของคำถามนี้ไม่มีคำตอบเดียวที่เหมาะกับทุกคน เพราะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ เป้าหมายในการวางแผน และ ศักยภาพทางการเงินของแต่ละคน แต่สามารถแยกพิจารณาได้แบบนี้:
1. ถ้ามีงบจำกัดมาก และยังไม่มีความคุ้มครองใด ๆ เลย
ควรเริ่มจาก ประกันสุขภาพก่อน เพราะเป็นรากฐานของการคุ้มครองทั่วไปที่ใช้ได้กับหลายสถานการณ์ ทั้งอุบัติเหตุ การติดเชื้อ การรักษาไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงเคสที่ไม่ใช่โรคร้ายแรง เช่น ไส้ติ่งอักเสบ หรือกระดูกหัก ซึ่งเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน การมีประกันสุขภาพจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเฉียบพลันที่อาจทำให้เงินเก็บสะเทือน

2. ถ้ามีประกันสุขภาพพื้นฐานแล้ว หรือมีสวัสดิการจากที่ทำงาน
ควรพิจารณาทำ ประกันโรคร้ายแรงเพิ่มทันที เพราะโรคอย่างมะเร็งหรือโรคหลอดเลือดสมอง ไม่ใช่แค่เรื่องค่ารักษาที่แพง แต่ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตระยะยาว ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถกลับไปทำงานได้ทันที รายได้หยุดแต่รายจ่ายยังเดินต่อ ประกันโรคร้ายแรงจึงเข้ามาช่วยตรงจุดนี้ด้วยการจ่ายเงินก้อนแบบไม่ต้องรอจ่ายจริง เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงวิกฤต

3. ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือคนหารายได้หลัก
ควรวางแผนทำทั้ง ประกันสุขภาพ + ประกันโรคร้ายแรงควบคู่กันไป เพื่อให้คุ้มครองทั้งค่าใช้จ่ายเฉียบพลันและความเสียหายระยะยาว เพราะหากเกิดโรคร้ายแรงเมื่อใด ครอบครัวจะได้รับผลกระทบในหลายมิติ การวางแผนอย่างรอบด้านจะช่วยลดภาระคนข้างหลัง

ตัวอย่างสถานการณ์จริง
หลายคนทำประกันสุขภาพไว้แต่ลืมคิดว่า หากวันหนึ่งต้องรักษามะเร็งระยะลุกลาม ต้องหยุดงานยาว และมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากในโรงพยาบาล เช่น ค่าพี่เลี้ยงดูแล ค่าเดินทาง ค่ายากลุ่ม Targeted Therapy ที่บางครั้งประกันสุขภาพทั่วไปไม่ครอบคลุมทั้งหมด ในกรณีนี้ การมี ประกันโรคร้ายแรง ควบคู่ จะช่วยอุดช่องว่างดังกล่าวได้อย่างชัดเจน

วางแผนอย่างมีกลยุทธ์ ดีกว่าเลือกอย่างเร่งรีบ
หากมองในภาพรวม ประกันสุขภาพเปรียบเหมือน “พื้นฐาน” ของความคุ้มครองในชีวิตประจำวัน ส่วนประกันโรคร้ายแรงเปรียบเสมือน “เครือข่ายนิรภัย” ที่ช่วยพยุงชีวิตและการเงินในช่วงวิกฤตระยะยาว ผู้ที่ต้องการวางแผนสุขภาพอย่างครอบคลุมควรมีทั้งสองแบบ และเรียงลำดับตามลำดับความจำเป็นและกำลังทรัพย์ของตัวเอง

เพราะในโลกแห่งความไม่แน่นอน “การเตรียมพร้อมก่อนป่วย” คือการตัดสินใจที่ฉลาดกว่าการพยายามหาทางออกตอนเจ็บแล้ว



กำลังโหลดความคิดเห็น