xs
xsm
sm
md
lg

ดรามา “ดาราคอลเอาต์” เมื่อความดังกลายเป็นแสงสว่างที่ถูกคาดหวังว่าจะต้องสาดแสงให้โลกเห็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา กลายเป็นหนึ่งในกระแสสังคมที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธระหว่างกองกำลังของประเทศไทยและประเทศกัมพูชา บริเวณชายแดนใกล้จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งนับเป็นการยกระดับความตึงเครียดจากสถานการณ์ความไม่สงบที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง สู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ

พื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นเขตพรมแดนที่ทั้งสองประเทศยังมีข้อพิพาททางประวัติศาสตร์ ทั้งเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน การตีความแผนที่ และอำนาจอธิปไตยที่ยังไม่ชัดเจน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะในระดับนโยบายหรือความมั่นคงระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังลุกลามกระทบถึงชีวิตประจำวันของประชาชนโดยตรง ฝ่ายกัมพูชาได้มีการทิ้งระเบิดโจมตีหลายจุดในฝั่งไทย ทั้งปั้มน้ำมัน โรงพยาบาลกันทรลักษณ์ และบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สิน สาธารณูปโภค และที่สำคัญที่สุด คือความรู้สึกไม่ปลอดภัยของผู้คนที่ต้องเผชิญเหตุการณ์กลางวันแสก ๆ

โดยไม่มีใครคาดคิดว่า “สงคราม” จะมาใกล้ตัวได้ขนาดนี้ ท่ามกลางความโกรธและความห่วงใยในอธิปไตยของชาติ เสียงของประชาชนทั่วไปดูเหมือนจะยังไม่ดังกระหึ่มพอ และสิ่งที่ตามมาคือความคาดหวังอย่างเงียบงันแต่รุนแรงว่า “คนดังต้องพูด”

ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่คนดังถูกคาดหวังให้ “call out” กับเหตุการณ์ทางสังคมหรือการเมือง หากแต่ครั้งนี้ชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน เพราะประเด็นชายแดนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่ใครๆ เคยคิด มันสะท้อนถึงศักดิ์ศรีของคนไทยและความมั่นคงของประเทศ คนดังบางส่วนออกมาเคลื่อนไหว แสดงความคิดเห็น และแชร์ข้อมูลให้ผู้ติดตามได้รับรู้ ส่งต่อพลังและคำถามให้แผ่กระจายไปไกลกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะทำได้ด้วยตนเอง

แต่ในขณะเดียวกัน เสียงเรียกร้องอีกฝั่งก็ดังไม่แพ้กัน มีฝ่ายที่ตั้งคำถามว่า “แล้วคนดังที่เงียบอยู่ล่ะ ทำไมไม่พูด?” ในยุคที่ใครก็เป็นนักสังเกตการณ์ได้ผ่านหน้าจอมือถือ ความเงียบกลายเป็นภาวะที่ถูกจับจ้องและตีความเป็นเจตนา เสียงที่ไม่ได้พูดกลายเป็นเสียงที่ดังก้องว่า “ไม่สนใจหรือเปล่า?” “เลือกอยู่ข้างใคร?” หรือ “กลัวเสียภาพลักษณ์?”

เมื่อความดังคือแสง คนดังก็เปรียบเสมือนดวงไฟที่ใคร ๆ ก็เห็นอยู่บนเวที พวกเขาจึงถูกคาดหวังว่าจะแปรแสงนั้นเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยก็ในเชิงรับรู้ เมื่อคนดังพูด คนจะฟัง นั่นคือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ การพูดของพวกเขาอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือหยุดยั้งความขัดแย้ง แต่ก็สามารถปลุกให้คนธรรมดาเริ่มตั้งคำถาม และนำไปสู่การกดดันภาครัฐได้ในระยะยาว

แต่ความสว่างก็ไม่ใช่เรื่องปลอดภัยเสมอไป ในยุคที่สังคมขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดเห็นแบบเรียลไทม์ คนดังก็เสี่ยงจะกลายเป็น “เหยื่อของแสงตัวเอง” ได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ จากคนที่เคยเป็นเพียงศิลปินหรือนักแสดง พวกเขาถูกผลักให้กลายเป็นหมุดหมายทางการเมืองโดยไม่สมัครใจ เพียงเพราะถือไมโครโฟน มีผู้ติดตาม หรือได้รับความรักจากสาธารณะ ความเห็นที่แม้จะเต็มไปด้วยเจตนาดี ก็สามารถถูกตีความใหม่ บิดเบือน หรือใช้เป็นชนวนโจมตีจากฝั่งตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งไปกว่านั้นคือ แอนตี้หรือกลุ่มคนที่ไม่ปรารถนาดีจำนวนไม่น้อยไม่ได้สนใจว่าคนดังจะพูดถูกหรือผิด ไม่ได้ฟังเนื้อหาว่าพูดว่าอะไร แต่เพียงแค่เห็นว่าเป็น “เขา” ที่พูด ก็พร้อมจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที ความเกลียดชังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการตีความและเผยแพร่ข้อมูลแบบเลือกข้าง บ่อยครั้งที่ถ้อยคำซึ่งมีเจตนาเพื่อสร้างความเข้าใจ กลับถูกตัดต่อ เปลี่ยนบริบท หรือนำไปใช้ในลักษณะที่ปลุกปั่นจนกลายเป็นการเข้าข้างฝ่ายตรงข้ามอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยตั้งใจ และเมื่อกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น พลังของแอนตี้ที่มักจะถูกประเมินต่ำ กลับลุกลามเร็วราวกับไฟลามทุ่ง เป็นการปั่นกระแสลบที่คนธรรมดาไม่อาจรับมือได้

บางกรณี คนดังหลายคนต้องเผชิญกับการคุกคามในชีวิตจริง ทั้งคำขู่เอาชีวิต การตามล่าข้อมูลส่วนตัว หรือแม้แต่การโดนดึงครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง เราในฐานะคนทั่วไปต่างก็รักความปลอดภัยของตนเอง และในความเป็นธรรมเช่นเดียวกัน คนที่อยู่ใต้แสงสว่างเหล่านั้นก็สมควรได้รับความปลอดภัยไม่ต่างกัน พวกเขาไม่ควรถูกบังคับให้ต้องแบกรับความเสี่ยงเช่นนั้น เพียงเพราะมี “แสง” มากกว่า

สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อคนดังลุกขึ้น call out ด้วยความตั้งใจดี แต่กลายเป็นกระแสลบที่พวกเขาแบกรับไม่ไหว กระแสตีกลับอาจทำให้พวกเขาต้องถอยห่างจากการพูดเรื่องสังคมไปเลย และกลายเป็นบทเรียนที่ทำให้คนดังรุ่นต่อไปเลือกจะเงียบ เพื่อรักษาพื้นที่ปลอดภัยของตนเองมากกว่ารับความเสี่ยงเพื่อส่วนรวม

ท้ายที่สุดแล้ว เราอาจต้องย้อนกลับมาทบทวนความจริงข้อหนึ่งว่า “หน้าที่ในการดูแล ปกป้อง และสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสคือหน้าที่ของรัฐ” ไม่ใช่ภาระของคนดังที่เป็นประชาชนเช่นเดียวกับเรา แม้พวกเขาจะมีแสงมากกว่า แต่ก็ไม่ควรถูกกดดันให้ต้องใช้แสงนั้นในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อแสงนั้นอาจย้อนกลับมาเผาไหม้พวกเขาเอง

ดังนั้น ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วและเปราะบาง เราอาจต้องมีพื้นที่ให้กับ “ความกล้าหาญ” และ “ความระมัดระวัง” ได้อยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันใครมากเกินไป เพราะแม้แสงจะมีพลัง แต่ทุกแสงก็ไม่จำเป็นต้องสว่างที่สุดเสมอไป































กำลังโหลดความคิดเห็น