“กองทัพ พีค” ขอบคุณช่อง 3 และผู้จัด ป้อนงานละคร 4 เรื่องรวด เผยช่วงแรกเครียดร้องไห้หนัก ปรับตัวไม่ทัน รับเคยแอนตี้กับการเล่นละคร ก่อนพลิกผันเป็นนักแสดงอาชีพ ดีใจได้ทำงานเพลงควบคู่งานละคร เผย “มิ้นท์ รัญชน์รวี” คือเพื่อนคนแรกในวงการ ช่วยให้เปิดใจกล้าพูดมากขึ้น เชื่อการเป็นตัวเองสำคัญที่สุด
ทำเอาสาวๆ ใจละลายกับบทบาท รวี ในเรื่อง แสนรัก ซึ่งไม่เพียงแค่หน้าตาหล่อ งานดี แต่ยังมีความสามารถครบ เรียกว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น สำหรับ “กองทัพ พีค” ลูกชายของนักแสดงเจ้าบทบาท “ปราบ ยุทธพิชัย” ที่ล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาเผยทุกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง พร้อมยอมรับว่าเคยแอนตี้กับการเล่นละครมาก่อน
“ได้พูดเยอะขึ้นเพราะช่วงแรกๆ ที่เจอกัน คือด้วยร่างกายยังปรับไม่ทันเนื่องจากเราทำงานเยอะ ไม่ค่อยได้นอน ตอนนี้ก็ได้นอนเยอะได้จัดการร่างกายด้วยชีวิตด้วยแล้วมันโอเค สมัยก่อนวันนี้อยู่กับพี่ๆ หลังเที่ยงคืนก็ต้องบินไปอีกประเทศนึง ซึ่งตอนนี้ก็ได้เบรกประมาณเดือนหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าการเป็น กองทัพ พีค มันก็กลับมาเรื่อยๆ เพราะว่าได้อ่านหนังสืออันนี้เราแฮปปี้มาก เพราะว่าเราเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว แล้วก็ได้อยู่กับน้องหมา ได้มอบความรักให้กับเขาแล้วมันเริ่มฮีลใจไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้นั่งสมาธิสวดมนต์ด้วยในตอนเช้ารู้สึกมันดึงพลังงานเรากลับมาได้ดี”
กังวลใจช่วงแรกที่กลับมารับงานละคร รับน้ำตาแตกในคลาสเวิร์กช็อป
“ก็มีกังวลครับ นับตั้งแต่กลับมาจากเกาหลีเราเป็นคนชอบอยู่บนเวที เราก็รู้สึกว่าการที่เรากลับมาตรงนี้มันโอเคจริงๆ ใช่ไหม ถามใจตัวเองแล้วว่ามันที่ของเราจริงไหม เรารู้สึกว่าอันนี้มันเหมาะกับเราจริงๆ หรือเปล่า จนมันสามารถตอบได้ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่มันมีเสน่ห์อีกเสน่ห์หนึ่ง มันทำให้เราแทนที่จะมีอาชีพเดียวเรามีสองอาชีพที่เรามอบความรักให้กับสองอาชีพนี้ได้เต็มที่เท่าที่เราจะทำได้ แล้วมันดันสนุกก็เป็นความโชคดีของเราด้วยที่มาเล่นละคร คือเราสนุกเพราะเราเป็นคนที่ถ้าเรารู้ว่าอันนี้ไม่เวิร์กเราไปต่อแล้วถ้ามันไม่เวิร์กอีกเราถอยเลยไปเปลี่ยนอีกทางหนึ่งเลย ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราสนุกกับตัวเองแล้วก็สนุกกับความท้าทายกับบทใหม่ๆ ด้วย
พูดตรงๆ เวิร์กช็อปละครเรื่องแรกเราร้องไห้ใส่ผู้จัด ร้องไห้ใส่คุณครูเลย เหมือนทุกคนนึกภาพตอนเราอยู่บนเวทีเป็นสิ่งที่เรารัก เหมือนเราโดนกระชากออกมามันยังงงๆ อยู่สภาวะช็อกอยู่ เพราะว่าตอนนั้นเราทำงานแบบไม่ได้นอนเลย 6 เดือน มันเหมือนเบลอมากแล้ววันหนึ่งอยู่บนเวที มีอยู่วันหนึ่งเรามานั่งกับพี่ๆ ตรงนี้ แล้วมันยังทำใจไม่ได้ว่า เรายังอยากจะไปตรงนั้นอยู่ แต่พอได้กลับมาได้เวิร์กช็อปได้ผ่อนคลายมากขึ้นอ้าวตรงนี้มันมีเสน่ห์อีกเสน่ห์หนึ่งนี่หว่า
เสน่ห์ที่พูดถึงมันคือได้เป็นตัวละครได้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เรา อย่างตัวละครเรื่อง แสนรัก ได้เป็น รวี ลูกชายคนจีนคนกลางซึ่งเป็นลูกคนเดียวอย่างนี้ ได้เจออะไรหลายๆ อย่างที่ได้หลายมุมมองของชีวิตคนได้สนุก”
ขอบคุณโอกาสที่วิ่งเข้าหา
“ละครก็ต่อเนื่องเลยครับ แล้วมันเป็นโอกาสของเราด้วย ขอบคุณทุกโอกาสด้วย เพราะว่าเราก็ได้มีโอกาสได้เล่นละครทีเดียว 4 เรื่องติดเลย ชีวิตนี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสนี้ รู้สึกขอบคุณทางช่อง 3 ด้วย รู้สึกขอบคุณผู้จัดทุกคนด้วยเหมือนกัน ก็ไล่ตั้งแต่ ดุจอัปสร แม่เลี้ยง จนมา แสนรัก เดี๋ยวจะจบด้วย ก็รักมันปักใจ”
เชื่อหนีสิ่งไหนก็ได้สิ่งนั้น
“เราเป็นคนที่เห็นภาพจำคุณพ่อ (ปราบ ยุทธพิชัย) เหนื่อยมาตลอด แล้วเราเห็นคุณพ่อเหนื่อยมาเราไม่ชอบโมเมนต์นั้นเลย คุณพ่อเหนื่อยมากเป็นความรู้สึกที่ว่าตี 5 กลับบ้านมาแล้ว 7 โมงเช้าต้องไปต่อ ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมต้องทำอาชีพที่มันเหนื่อยขนาดนี้ แล้วมีความรู้สึกว่าพอไปต่างประเทศ มันก็ติดตรงนี้ไปเราเป็นคนชอบเต้นกับร้อง แต่มันจะมีคลาสดรามาสายแอ็กติ้ง พอเราเรียนเต้นๆ ร้องๆ พอมีคลาสดรามาปุ๊บเราแอบโดดไปคลาสเต้นต่อคือแอนตี้ แต่เขาบอกว่าเราหนีอะไรเราจะเจอสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็เลยได้มามันเป็นสิ่งที่เราโชคดีที่เราชอบตรงนี้ด้วยแล้ว ก็รู้สึกสนุกมากๆ กับการทำงาน
พอได้ทำไปสักพักแล้วเริ่มชอบไหม ชอบครับเพราะว่าเราจะแอนตี้ตรงนี้อยู่ประมาณ 2 วัน เพราะว่ากลับมาแอนตี้เลยรู้สึกว่าไม่เอา คือไม่ได้โดนบังคับแต่ว่ามันคือโอกาสของเราลองเวิร์กช็อปลองแคสติ้ง เราบอกตลอดว่าไม่เอา ไม่เอาจริงๆ เราแฮปปี้กับตรงโน้น ซึ่งพอผ่านวันที่ 2 ไปได้ เราก็เอ้ามันคืออะไร มันคืออาการช็อกของเรา ณ ตอนนั้นแหละ
วันนั้นถ้าไม่เอางานสายนี้แล้วจะไปทำอะไร ก็คงไม่ใช่เราตอนนี้ ก็จะไปอยู่ไม่รู้จุดไหนด้วยเหมือนกัน ก็คงทำเพลงต่อไปแหละ แต่คราวนี้ ณ จุดตรงนี้เราก็แฮปปี้กับพาร์ตของเราที่เราสามารถเดินทั้งสองอย่างในสิ่งที่เราชอบไปด้วยกัน ด้วยการแต่งเพลงประกอบละครเพราะเราชอบเพลงอยู่แล้ว ได้เจอสิ่งใหม่เพราะเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลกของการแต่งเพลงละครมันเป็นยังไง และเราได้มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้น”
ดีใจได้ทำงานที่รักควบคู่กัน
“ตอนทำไปตอนนั้นเล่นเรื่องแรกไป พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็มาจนถึงเรื่องดุจอัปสร จนไปมาทำไมเรามีเมโลดี้อยู่ในหัวตลอดเลย เราเป็นคนที่ได้ยินอะไรแล้วเป็นเมโลดี้ ก็เลยคิดว่าทำไมไม่เอาเมโลดี้นี้มาทำเป็นเพลงประกอบละคร มาลองดูก่อนแล้วสรุปว่าทั้งพี่ต้นและพี่จ๋าไม่ว่าใครก็ตามที่เราได้ร่วมงานด้วย อาปิ่นด้วยเขารับเพลงของเราหมดเลยซึ่งก็ดีใจ (ถือเป็นอาชีพหลักของเราเลยไหม?) ก็ถือเป็นอาชีพหลักแหละ ก็ได้แต่งเพลงด้วยแต่งเพลงละครด้วยก็สนุก”
ควง “มิ้นท์ รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร” ทำบุญ เพื่อส่งเสริมดวงคู่กัน
“ก็ได้มีโอกาสไปทำบุญมา แล้วก็ทำบุญกับทางมิ้นท์ด้วยเหมือนกัน มีคนดูแลเราไปด้วย การที่ได้พาไปหลายๆ คนแล้วรู้สึกว่าบุญมันเสริมกันมันไม่ต่อบุญเพราะว่าถ้าไปคนเดียวหรือถ้าไปสองคนบุญก็จะอยู่แค่นั้น เรารู้สึกว่าถ้าไปหลายๆ คนอย่างเช่นเรามามอบบุญให้กับคนเราได้บุญแหละเราแฮปปี้แล้ว
ไปทำสังฆทานและก็ถวายเพลตอนเช้า เพราะรู้สึกว่าเหมือนละครใกล้จะออนแอร์แล้ว การงานต่างๆ เข้ามาเรื่อยๆ แล้วมันเหมือนจะไม่ค่อยมีเวลาได้ทำบุญแล้วต้องทำงาน เหมือนชอบชวนกันไปทำบุญอยู่แล้ว จริงๆ ก็เป็นแก๊งเป็นก๊วนแหละ เวลาใครไปทำบุญอะไรเขาก็ส่งมาอนุโมทนาบุญกัน ส่วนมากก็ทั้งคู่ชวนบางทีก็เป็นเราชวนบางทีก็เป็นมิ้นท์ชวน อย่างเช่นส่วนมากได้ทำบุญวันพระซึ่งก็แปลกเหมือนกันบางที ตลกมากทุกวันที่ 22 ของเดือนมันจะมีโอกาสได้ทำบุญตลอด ไม่ว่าจะทำบุญเล็กทำบุญน้อยมีโอกาสได้ทำบุญตลอด (ได้ไปทำบุญกับนางเอกดุจอัปสรด้วย?) ก็เป็นบุญกุศลที่ส่งเสริมกัน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญด้วยกัน”
เผยมิ้นท์ รัญชน์รวี คือเพื่อนคนแรกในวงการ
“กับเพื่อนคนนี้ก็สบายใจดีครับ ก็เป็นเหมือนคลื่นความถี่เดี๋ยวกัน เวลาทำงานก็สะดวกใจ มีโปรเจกต์หลายโปรเจกต์จบจากดุจอัปสรก็มีได้ร่วมงานกันเป็นพรีเซ็นเตอร์ ได้ทำงานกันตลอดได้เจอกันตลอด (เวลาคุยกันเขาพูดเบาไหม?) จริงๆ เขามีหลายมุมของเขา เขาเป็นคนที่อยู่ข้างนอกเขาก็พูดเบาอยู่แล้ว แต่บางทีอยู่กันในก๊วนทำงานไม่ว่าจะใครเขาก็พูดเยอะเหมือนกันถ้าเขาสนิท
ช่วงแรกๆ ที่เวิร์กช็อปดุจอัปสรจำได้เลยว่าไม่มีใครพูดกับใครเลย มองหน้ากันแล้วเฮ้อ ก็ได้ทำความรู้จักแล้วก็เริ่มพูดคุยกันไปมาก็เอ้า ไลฟ์สไตล์ใกล้กัน เขาออกกำลังกายเขาตีแบตอยู่แล้ว ซึ่งเราก็เคยเรียนแบตแล้วก็คุยกันเรื่องออกกำลังกาย มันดันมีท็อปปิกที่มันจูนกันมากขึ้นจากที่ไม่พูดเลย แล้วเราก็ยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ก็เลยได้ฝึกพูดภาษาไทยกับเขาไปเรื่อยๆ
ถือเป็นเพื่อนคนแรก ตั้งแต่กลับมา (เขางงใส่เราไหมเวลาเขาพูดไปแล้วเราไม่เข้าใจ?) งงครับมี บางทีมองหน้าช่วงแรกๆ ถามเข้าใจไหมเนี่ย ช่วงแรกๆ ก็มีช็อตบ้าง ก็มีคุยกันบ้างว่าก่อนหน้าที่จะมาเจอเราเป็นยังไงแล้วช่วงหลังที่เจอเราเป็นยังไง รีวิวกันก็นั่งคุยกันในห้องแต่งตัวตกลงมันเป็นยังไง ก็รู้สึกมันเหมือนกันเลยก็คือตอนแรกคิดว่าเป็นคนที่ไม่พูดเลย”
รับมิ้นท์ยังช่วยให้กล้าพูดคุยเปิดใจมากขึ้น
“เขาเป็นคนไม่พูดเลย เขายิ้มอย่างเดียวเลย ก็โอเคก็ต้องเป็นเราที่ค่อยๆ ชวนคุย พอชวนคุยไปชวนคุยมาเขาพูดเยอะด้วยเขาพูดเก่งด้วยผิดคาดบางทีเขามีเรื่องโน้นเรื่องนี้มาอำ แต่ก็จะได้ฟังต่อเมื่อเขาสนิทใจด้วยจริงๆ
ช่วงนี้ได้ทำงานกันบ่อย เขาแชร์อะไรมาเราก็เข้าใจอันนี้คือสิ่งที่เขาแชร์ บางสิ่งบางอย่างเราก็ขยายความต่อ ซึ่งบางทีขยายความต่อเราก็ขยายผิดบ้าง ตีโจทย์ผิดจะหันมาถามว่าใช่ไหม ไม่ใช่โอเคผิดพลาดบางทีเราคุยเรื่องเดียวกันมันอาจจะผิดในบางส่วน
เขารีวิวว่าเราเป็นคนที่เหมือนกัน ไม่ค่อยพูดแต่ก็เฟรนด์ลี่ แล้วเป็นคนที่เอ็นจอยพอรู้จักจริงๆ ก็เป็นคนที่พูดเยอะมาก พูดไม่หยุดบ้าง แล้วก็เป็นคนที่ติ๊งต๊องไม่ได้ทางการเยอะอะไรขนาดนั้น บางทีเรานิ่งไม่ใช่มาด ที่เรานิ่งเพราะเราไม่เข้าใจเป็นแบบนี้ตลอด ทุกคนเห็นจะบอกว่าเราติดพระเอกนะ ซึ่งเราไม่ได้ติดพระเอก แต่พระเอกติดเรา บางทีเรานั่งแค่ทักไม่ทันเฉยๆ”
การเป็นตัวของตัวเองในวงการบันเทิงดีที่สุด ลั่นจะไม่ต้องเหนื่อยในระยะยาว
“หลายคนบอกว่าเราเปลี่ยนไปเพราะมิ้นท์ เปลี่ยนไปไหมก็ในทางที่ดีด้วย เราก็เห็นเขาได้เติบโตด้วยแหละ แล้วจริงๆ เรามีโอกาสได้เจอพี่ๆ บ่อยขึ้น สมัยก่อนพูดตรงๆ เกร็งมากๆ เพราะเราก็เป็นคนที่ระวังว่าต้องพูดอะไรพอสมควร แต่ว่า ณ ตอนนี้รู้สึกว่าเราก็ระวังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดไปเราก็รีแลกซ์ได้มากขึ้นพอสมควรเพราะพี่ๆ ทุกๆ คนก็น่ารักกับเรามาก เรารู้สึกสบายใจในการที่เราได้อยู่ตรงนี้ และก็ทางนั้นเองเราได้เห็นเขาได้แชร์ในมุมมองของเขาที่เขาอาจจะไม่ค่อยกล้าแชร์มาก่อน ได้เป็นตัวของเขาเองเราก็ดีใจ
การเป็นตัวของตัวเองในวงการนี้มันโอเคกว่าการที่สร้างภาพขึ้นมาไหม จริงๆ ถ้าบวกทั้งสองอย่างได้ก็ดี เพราะจริงๆ ภาพก็มาจากตัวเรานี่แหละ ถ้าเราเป็นแบบนั้นก็ดี แต่ถ้าเรามีภาพแบบนั้นแต่มันไม่ใช่ตัวเรา มันก็จะเหนื่อยในระยะยาว เรารู้สึกว่าการที่เราได้เป็นตัวเอง ได้พูดคุยได้แชร์กันในมุมมองที่มันมีการถกเถียงในบางความคิดเห็น แต่เรารู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญคือรับฟังกัน ไม่ใช่คนนี้ถูกคนนี้ผิด แต่เป็นการรับฟังกันในแต่ละการสนทนา”
