ในวงการแพทย์ความงามของไทย ชื่อของ "หมอกวาง" – พญ.วลีรัตน์ ทวีบรรจงสิน คือหนึ่งในผู้นำหญิงที่สร้างอิทธิพลทั้งด้านเทคนิคการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และการยกระดับภาพลักษณ์คลินิกไทยให้สามารถดึงดูดลูกค้าต่างชาติได้อย่างแท้จริง เธอจบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
หมอกวางคือผู้ก่อตั้ง Waleerat Clinic คลินิกยกกระชับชื่อดังใจกลางสยามสแควร์ ซึ่งมีจุดเด่นด้านการใช้เทคนิคเฉพาะตัวผสานนวัตกรรมกับความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้าของชาวเอเชีย จนสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าชาวจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และชาวเอเชียที่อยู่ฝั่งตะวันตกและสหรัฐอเมริกาได้อย่างต่อเนื่อง และล่าสุด เธอได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ในชื่อ Verzo Clinic ย่านเอกมัย ที่มุ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติในย่านสุขุมวิทโดยเฉพาะ เน้นการออกแบบบริการที่เรียบง่าย สุภาพ ละเมียดละไม และคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับความงามในแบบ "ญี่ปุ่นร่วมสมัย"
แต่ในอีกบทบาทหนึ่ง หมอกวางยังเป็นคุณแม่ของลูกสองคน "น้องวาเลน" และ "น้องเวลา" และยังเป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง "สายแม่และเด็ก" มีวิสัยทัศน์การเลี้ยงลูกในอนาคต ไม่ใช่เป็นแค่ประชากรของประเทศไทย แต่ต้องเป็นประชากรโลกอย่างมีคุณภาพ พร้อมก้าวไกลไปกับโลกยุคดิจิทัล ซึ่งวิสัยทัศน์นี้ทำให้ครอบครัวของเธอได้รับรางวัล "ครอบครัวดีเด่นในยุคดิจิทัล" จากงาน Thailand Digital Awards 2022 อีกด้วย ในขณะที่ลูกสาวน้องวาเลน ได้รับรางวัล Global Award Super Kid 2025
โดยหมอกวาง เปิดมุมมองในการวางแผนเลี้ยงลูกของคุณแม่ยุคใหม่ว่า
"แผนการเลี้ยงลูกของคุณแม่ยุคใหม่ ควรผลักดันให้ลูกพูดได้ถึง 3 ภาษา อันแรกคือ ไทยภาษาแม่ อังกฤษภาษาสากล และจีนภาษาแห่งอนาคต เราต้องยอมรับว่า การทำธุรกิจในยุคนี้เข้าถึงกันง่าย การติดต่อสื่อสารทั่วโลกอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งหมด เราต้องเตรียมรับมือวางแผนให้ลูกเพื่อที่เขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
อย่างเราเป็นหมอ มักมีคุณแม่หลายท่านมาปรึกษาว่า ต้องทำอย่างไรบ้างอยากให้ลูกเป็นหมอ เราเองไม่เคยตอบว่าให้เด็กทุกคนต้องเรียนหมอ และทำอาชีพหมอ เพราะว่าเด็กแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน มีความสามารถแตกต่างกันออกไป ยิ่งเด็กยุคนี้ที่จะเจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความชอบที่ชัดเจน ที่สำคัญคือโตเร็ว เรียนรู้เร็ว ถ้าเปรียบเทียบสมัยก่อนที่เด็กคนหนึ่งจะได้เข้าโรงเรียนต้องมีอายุ 6-7 ขวบ แต่สำหรับเด็กสมัยนี้ 2 ขวบก็เข้าโรงเรียนแล้ว ได้ลองเรียนรู้ทักษะหลายอย่างซึ่งไม่มีตอนสมัยเรา เด็กบางคนรู้ตัวตั้งแต่เด็กแล้วว่าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร"
หมอกวาง เล่าด้วยว่า เธอมีลูก 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 4 ขวบ (น้องวาเลน) เธอจะมีนิสัยเป็นอาร์ทิสต์ ชอบศิลปะ ชอบวาดภาพ และงานครีเอทีฟต่างๆ จะคล้ายกับแม่ตอนเด็กๆ แม้พ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นหมอ แต่ไม่แน่เมื่อเธอโตขึ้นอาจจะเปลี่ยนแปลงไปชอบอย่างอื่นก็ได้ ส่วนลูกชายวัย 3 ขวบ (น้องเวลา) เขาจะมีความชอบด้านวิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ แต่ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะชอบเรียนหมอหรือเปล่า
สำหรับลูกของหมอ เขายังเด็กมาก ไร้เดียงสาจนกระทั่งไม่รู้ว่าในโลกนี้หมอมีผู้ชายอยู่ด้วย เขาคิดว่าหมอมีแต่ผู้หญิง เพราะตลอดเวลาที่พาเขาไปโรงพยาบาลเขาเจอแต่หมอผู้หญิง เขาไม่เคยเจอหมอผู้ชาย เขาจะถามว่าผู้ชายเป็นหมอได้ด้วยเหรอ ในความรู้สึกของลูกเขาจะมองว่าหมอคือนางฟ้าที่ใจดี
"ซึ่งเรารู้แล้วว่าลูกเราชอบแบบไหนจะสนับสนุนแบบนั้น เราไม่สนับสนุนว่าลูกต้องเป็นหมอเท่านั้น คนส่วนใหญ่อยากให้ลูกเป็นหมอ เนื่องจากเห็นว่าหมอมีรายได้ดี เราคิดว่าส่วนมากเป็นความคิดของคนระดับชั้นกลางที่ไม่ได้มีฐานะมาก แต่สำหรับครอบครัวที่มีฐานะอยู่แล้วมักไม่บังคับให้ลูกเป็นหมอ เพราะหากคาดหวังเพียงค่าตอบแทนสูง ไปทำอาชีพอื่นยังดีกว่า"
อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง สายแม่และเด็ก กล่าวด้วยว่า อาชีพหมอไม่ต่างจากหลายอาชีพ ที่ทำงานอย่างหนัก เป็นงานที่ไม่สบายเลย หมอต้องใช้เวลา เงิน และรับผิดชอบต่อชีวิตคนไข้ ยิ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐก็ยิ่งมีประชาชนเข้ามารับการรักษาเป็นจำนวนมาก หมอเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องมีความอดทนและอดกลั้น โดยเฉพาะต้องรองรับอารมณ์คนไข้ และญาติๆ รักษาดีก็ดีไป แต่รักษาไม่ดี หากกลับมาไม่ปกติหรือเสียชีวิต ก็ถูกฟ้อง ถูกต่อว่าต่างๆ นานา
"การเรียนหมอนั้นค่อนข้างจะเครียด บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนเป็นโรคจิตเวชไปเลย เพราะฉะนั้น การเลี้ยงลูกของเราจะไม่บังคับว่าลูกต้องโตไปเป็นอะไรหรือประกอบอาชีพอะไร ในโลกอนาคตยังมีอาชีพอื่นอีกมากมายที่เราต้องเรียนรู้ และเราต้องปรับตัวให้ทันโลก เพราะฉะนั้นเราจะพูดเสมอว่า อย่าไปบังคับเด็กให้เรียนหนังสือเก่งๆ โตขึ้นจะได้เป็นหมอ เพราะถ้าไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ เขาจะไม่ประสบความสำเร็จ แล้วอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าเด็กทุกคนควรสามารถพูดได้ 3 ภาษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และยังมีอีกหลายภาษาที่ควรจะเรียนรู้ เช่นภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน หากใครได้ 5 ภาษา บอกได้เลยว่าคุณจะประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพอย่างแน่นอน เพราะในโลกอนาคตการสื่อสารนั้นสำคัญอย่างยิ่ง"
หมอกวาง กล่าวว่า บางคนถามว่าเพราะครอบครัวเรามีความพร้อม สามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ได้ แล้วในครอบครัวที่มีฐานะไม่ดี เขาจะมีโอกาสสอนลูกอย่างไรให้เหมือนเรา หมออยากบอกว่า ฐานะทางครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงเด็กให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพแต่ไม่ใช่ทั้งหมด หมอยังเชื่อว่าสายสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวสำคัญกว่าเงินทอง หากเราไม่มีเงิน เราจะต้องเสียสละเวลาและแรงกายแรงใจของเราเองมากขึ้น อย่างเช่นการเรียนภาษา หากไม่พร้อมที่จะส่งลูกไปเรียนพิเศษ เราอาจจะต้องสละเวลามาสอนลูกเอง หรือในปัจจุบันก็มีโซเชียลมีเดียที่เปิดโอกาสให้เรียนรู้ภาษาได้ฟรี ไม่จำเป็นต้องไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์เสมอไป สิ่งสำคัญคือต้องให้เวลาที่มีคุณภาพกับลูก
"ตอนนี้ออกพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนึ่งชื่อว่า 'Thread of Love ไหมแห่งรัก ร้อยไหมด้วยใจแม่' ซึ่งเป็นหนังสือที่หมอเขียนจากบทสนทนาเล็กๆ ในบ้าน ไม่ใช่จากห้องตรวจ หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือการเลี้ยงลูก แต่เป็นการเดินทางของแม่คนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ถ้าใครได้อ่าน จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ทำให้ฟังลูกมากขึ้น เข้าใจตัวเองให้ลึกขึ้น และปล่อยมืออย่างอ่อนโยนเวลาที่ควรปล่อย เพื่อให้ความรักต่อลูกเติบโตโดยไม่มีเงื่อนไข"
**ทำไมถึงชื่อว่า "หมอกวางกรรมกรชั้นสูง"?**
เพราะหมอมองว่า อาชีพแพทย์ไม่ใช่งานสบายอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นอาชีพที่ต้องใช้ "แรงกาย แรงใจ" แบบกรรมกรเต็มตัว ในช่องนี้หมอไม่ได้มาสอนใคร แต่มาแชร์ทั้งแง่มุมชีวิต ความรู้สึกเบื้องหลังเสื้อกาวน์ ความฝัน ความผิดพลาด และความรักในอาชีพที่ทั้งเหนื่อยและงดงามนี้ จนครั้งหนึ่งมีผู้ติดตามช่องมาคอมเมนต์ใต้คลิปว่าอาชีพหมอนั้น ไม่ต่างจาก "กรรมกรมีวุฒิ" ซึ่งหมอเห็นด้วยอย่างมาก เพราะเราคือแรงงานคนหนึ่ง เพียงแต่งานที่เราทำเกี่ยวข้องกับชีวิตของคน
ใครที่ต้องการติดตามผลงาน สามารถติดตามหมอได้ใน TikTok ช่อง "หมอกวางกรรมกรชั้นสูง" หมอสร้างขึ้นเพื่อเล่าชีวิตจริงของหมอคนหนึ่งทั้งในแง่มุมความเป็นหมอ และชีวิตส่วนตัว การเลี้ยงลูก การลงทุนสไตล์หมอกวาง
