xs
xsm
sm
md
lg

“เอ ไชยา” ไม่สะดวกแก่ เผยเคล็ดลับหน้าเด็กในวัย 52 ปี เพราะสวดมนต์!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เอ ไชยา” คัมแบ็กหน้าเด็ก! เผยเคล็ดลับสวดมนต์ทุกวัน เคยเสียความมั่นใจถูกทักแก่ ลั่นตอนนี้ 52 ปี ไม่สะดวกแก่ เผยลูกสาวเตรียมวิวาห์กลางปีหน้า พ่อแม่ฝ่ายชายไฟเขียว ส่วนตนอยากอุ้มหลานใจจะขาด ไม่สบายใจข่าวฉาววงการสงฆ์ หวั่นเด็กรุ่นใหม่หมดศรัทธา ลั่นบวชแล้วไม่สงบควรสึก ออกเที่ยวเลย บาปจะได้น้อย

ห่างหายจากหน้าจอทีวีไปสักระยะหนึ่ง หลังถูกแม่ยกทักหน้าแก่จนเสียความมั่นใจ สำหรับพระเอกลิเกเงินล้าน “เอ ไชยา มิตรชัย” ล่าสุดหวนลงจออีกครั้ง แถมกลับมาคราวนี้บอกเลยหน้าดูเด็กลงมากจนหลายคนแห่ทักถามว่าไปทำอะไรมา โดยเอ ไชยา ก็ออกมาเผยว่า หน้าเด็กเพราะสวดมนต์ทุกวัน ลั่นไม่สะดวกแก่ ในวัย 52 ปี

“เราทำงานเราต้องพร้อมอยู่เสมอแล้วก็ยังเป็นอยู่แบบนั้นอยู่จริงๆ เนื่องจากว่าไปตามต่างจังหวัดบางทีแล้วสุขภาพร่างกายเราต้องพร้อมที่จะเจอผู้คน เพราะการที่เขาเห็นภาพเรามา หลายคนเราก็ดีใจนะแล้วมันกลายเป็นเรามีพลังกายพลังใจเพิ่มขึ้นจริงๆ จากการทักทายของพ่อๆ แม่ๆ ที่เราไปเจอ บางคนที่เราไปอย่างซุปเปอร์ก็เหมือนกันเขาอยู่แคชเชียร์เขาบอกพี่เอดูพี่เอมาตั้งแต่แก้วหน้าม้า ตอนนี้หนูมีลูกแล้ว เขายังบอกว่าพี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ เราก็ดีใจมันเป็นพลังที่บอกว่าเฮ้ยแสดงว่าเราดูแลตัวเองได้ผลระดับหนึ่ง แล้วมันส่งผลต่อเนื้องานด้วยครับบางทีถ้าเราไปแล้วร่างกายเราไม่พร้อมบุคลิกภาพมันเป็นสิ่งที่สำคัญ”

โดนแม่ยกทักหน้าแก่ เสียความมั่นใจจนอยากเลิกเล่นลิเก
“มันมีอยู่พักนึงเมื่อก่อนนี้ที่ตอนเราหยุดหน้าจอทีวีไปเลย แต่ว่ามันจะมีงานลิเกค้างอยู่ที่ว่าไม่กลับมาทำรายการทีวีแล้ว สุดท้ายคนมาเห็นภาพแล้วบอกแก่จังเลยแม้กระทั่งแม่ยกเราเองก็แซว เราก็เลยบอกกับแม่งานลิเกที่ค้างๆ อยู่พอแล้วนะอยากหยุดแล้วพอแล้ว ซึ่งบางทีมันไม่ได้เป็นอะไรมากมายก็ยอมรับได้ เพียงแต่ว่าพอมันได้ยินบ่อยๆ เข้าอย่างนี้มันก็ทำให้เรามาดูรูปตัวเองว่าเมื่อก่อนเราแต่งตัวรัดเครื่องโน่นนี่นั่น จริงด้วยในวงการเขาก็ให้เราเลยนะว่าเป็นพระเอกลิเกที่หน้าหวานที่ดูแบบสวยจัง

แต่พอสุดท้ายมันมีคำว่าแก่เข้ามาเรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่าไม่ไหวแล้ว หยุดเถอะ จนกระทั่งกลับมาแล้วก็มาทำงานอยู่ในวงการอีกครั้ง แล้วคำพูดของพ่อเรามันแว่วเข้ามาอยู่ตลอดว่า ตั้งแต่เป็นไม่ธรรมดามาพ่อบอกว่า ถ้าไม่พร้อมอย่าก้าวขาออกจากบ้านเพราะคนที่เขาเห็นเราในหน้าจอ เขาเห็นเราแล้วก็พร้อมที่จะเจอ เขาก็คาดหวังที่จะเจอดาราในดวงใจของเขามันเป็นแบบนี้ พอเราไปแล้วมันไม่ได้อย่างที่ใจเขาปรารถนามันก็กลายเป็นแบบมันผิดหวังจริงๆ

เรามีเรื่องเล่าอีกเรื่องนึงก็คือ ดาวตลกในคณะเป็นนางโจ๊ก เขาปลื้มมากปลื้มดาราช่องหนึ่งมากแล้วเขาบอกว่า หนูไปเจอที่ห้างนะพี่เอ แล้วไปเจอ พี่เชื่อไหมว่าหนูหมดเลยหนูเตรียมตัวไปถ่ายรูป คือตัวก็ไม่แต่งไปแบบเซอร์มาก นี่แหละมันเป็นภาพสะท้อนให้เราได้เห็น มันก็เลยกลายเป็นว่าเรากลับมาแล้ว ถ้าเราจะอยู่ในวงการหรือว่าจะทำงานในด้านบันเทิงเป็นเอ็นเตอร์เทนแบบนี้เราต้องพร้อมอยู่ทุกลมหายใจทุกขณะจิต

ก็เลยเอาคำนี้ไปสอนลูกได้ เราไปเจอกับเอมมี่ (มรกต แสงทวีป) เพิ่งทำข่าวด้วยกันตอนนั้นแล้วก็น้องก็น่ารักมาก แล้วก็ไปเจอในรายการและพอดีรายการวันนั้นแป้ง (ลูกสาว) ก็ไปด้วย แล้วก็เลยบอกว่าแป้งหนูดูพี่เอมมี่เป็นตัวอย่าง คนที่อยู่ในวงการคือต้องพร้อม 24 ชม. เขาดูดีตลอด

 ถ้าหนูอยากเป็นแบบพี่หนูก็เอาเขาเป็นไอดอลได้ มันถึงจะสอนลูกได้ บอกคนอื่นได้ ที่จริงนะครับเราเข้าใจนะว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการมันอยากจะปล่อยตัว ก็อยากจะชิลเพราะมันอยู่กับการแต่งตัวมาโดยตลอดเราก็เป็น อยู่กับเครื่องสำอางมาตลอด 24 ชั่วโมง ล้างแต่งๆ อยู่แบบนี้ บางทีตอนนี้ที่เราไปเดินตามห้าง ถ้าเราพร้อมที่จะเช็ดหน้าแล้วไปหน้าสดแต่อย่างน้อยสุขภาพผิวเราต้องพร้อม หน้าแล้วร่างกายเราต้องพร้อมจริงๆ แต่ตอนนี้เราว่าเราพร้อม”

ลั่นไม่สะดวกแก่ ในวัย 52 ปี
“ก่อนที่เรากลับมา ที่ถูกทักมันคือตอนวัย 40 ต้น เข้าวัย 40 อันนั้นเริ่มแก่แล้ว แต่ปีนี้เรา 52 ดูเด็กลงเพราะว่าดูแล ขอบคุณ แล้วก็สวดมนต์ บทสวดพาหุง ทุกคนต้องท่องหน้าเด็กเลย แต่เราพูดจริงๆ มันช่วยได้เพื่อสุขภาพจิตของเราต้องเป็นคนที่ไม่เครียด แต่เราเป็นแบบนี้มานานแล้วก็คือ ถ้าเราได้ยินอะไรที่ทำให้เราเครียดเดินถอยออกมาจากตรงนั้นหาแต่สิ่งที่ดีๆ พยายามมองในมุมบวก แต่ส่วนหนึ่งสุขภาพจิตใจของเราเป็นสิ่งที่สำคัญเยอะมากๆ ส่วนที่บำรุงร่างกายของเราจำเป็นจริงๆ อย่าปล่อยปละละเลย ถ้ายังอยากสู้งานและยังอยากทำงานที่เรารักอย่างมีความสุขมันจะได้ดูดีในสายตาของเพื่อนร่วมงานด้วย ถ้ามันอยู่ในหมู่กลุ่มของเราอยู่ข้างคนสวยมันก็จะดูดี

ตอนนี้มีแต่คนบอกเอทำไมเด็กลงแบบนี้ จริงๆ จากเมื่อก่อนมีแต่คนบอกว่าแก่ๆ แล้วคำนี้มันทำให้เรากู้ร่างคืนมาได้มันเป็นอะไรที่ดี เราจะบอกเลยว่ามันเป็นพลังกายพลังใจวันหนึ่งที่เราตื่นนอนมา เหมือนในตอนนั้นเราทำงานอยู่เราเริ่มที่จะปล่อยตัว สมมติเราเดินออกจากบ้านไป แล้วไปเจอคน คนแรกที่ทักเราไปทำอะไรมาทำไมดูสภาพไม่พร้อม ทำไมดูเป็นอย่างนี้ตบเลยดีกว่า จริงๆ ในใจก็คิดแบบนั้นมันแรงเหลือเกินคำพูดนี้ แต่ถ้าเราพร้อมไปเลยคำแรกไปทำอะไรมาทำไมดูสดใสจังเลยดูดีจังเลย วันนั้นมันเป็นวันที่เราเหมือนอะเลิทแล้วมันก็มีพลังที่จะสู้งานได้

ถ้าเกิดว่าทุกคนสามารถดูแลตัวเองได้เหมือนกับเราก็ไม่อยากให้ทุกคนปล่อยปละละเลย มันมีผลด้วยกับสุขภาพ สุขภาพจิตแล้วก็สุขภาพร่างกายของเราหันมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองกันเถอะครับ เหมือนที่เราเป็นอยู่เราก็ไม่สะดวกแก่นะครับในตอนนี้”

มั่นใจ “แป้ง มิตรชัย” เลือกคู่ไม่ผิด บอกว่าที่เขยให้เรียกพ่อได้แล้ว
“น้องแป้งเขาก็เกรงใจ ส่วนน้องวินเขาก็เกรงใจ จนเพื่อนแป้งที่เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเขาจะมาที่บ้านมาปาร์ตี้สุดท้ายแล้วก็เพื่อนๆ สาวๆ ด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่สวัสดีดีค่ะ ส่วนวินเขาจะพูดว่าพี่เอสวัสดีครับ จนมาปีที่แล้วเพิ่งจะบอกแป้งให้เขาเรียกพ่อเถอะลูก เพราะเพื่อนทั้งกลุ่มอย่างนี้ แต่ด้วยตอนนั้นแป้งก็ยังไม่ชัดเจนยังไม่ได้เปิดตัวเป็นทางการ ทุกคนก็ยังเห็นแป้งเรียกพี่เอเวลาไปงาน สุดท้ายแล้วเขาก็เรียกพ่อได้เต็มปาก

คือคนนี้เขาคบกันมาตั้งแต่เรียน ก็เลยบอกว่าที่พี่ยังไม่ให้เขาใช้คำว่าเป็นแฟน เพราะว่าเราเป็นผู้หญิงเราเป็นฝ่ายที่จะเสียหาย อยู่กันมาคบกันมาเป็น 10 ปี ก็เลยบอกว่ามั่นใจนะแล้วก็เด็กน่ารักนะครับ หนูวินน่ารักมากเป็นเด็กที่มีกาลเทศะ เวลาไปไหนเขาจะบอกตลอด บอกพ่อครับขออนุญาตพาน้องแป้งทานข้าวได้ไหมครับ คือมันอยู่ในสายตาอยู่ในที่เราบอกเอาไว้รวมถึงทั้งน้องแป้งด้วย อย่างที่บอกว่าเวลาไปเที่ยวไปอะไรชวนไปเขาก็ดูแลเราจนเราเกรงใจ เราถ่ายรูปเขาจะเข้ามาบอกพ่อครับผมถ่ายให้ แม่ครับผมถ่ายให้ ซึ่งเขาเป็นเด็กที่น่ารักมาก เราก็เลยบอกว่ามันก็ถึงวัยแล้ว เขาก็น่าจะดูแลลูกสาวเราได้”

รับห่วงลูกสาวแต่อยากเห็นเขาเป็นฝั่งเป็นฝา
“ห่วงครับ ห่วงมาก ถึงไม่กล้าให้ฝ่ายชายมาเรียกเราแบบนี้ จนเราได้สัมผัสแล้วเราได้เจอ เราก็จะถามว่าเป็นยังไงบ้างซึ่งลูกก็จะบอกเราตลอดว่าพี่วินเขาเป็นแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แป้งเขาก็จะพูดกับแม่ก็ไม่ค่อยได้พูดกับเราโดยตรงเพราะว่าเกรงใจแล้วก็กลัว ค่อนข้างที่จะกลัวพ่อแต่สุดท้ายแม่เขาก็จะเป็นคนสื่อสารมาแล้วก็ถ่ายทอดให้คนกลาง จนบางครั้งเขาก็ไม่กล้าที่จะมาจนต้องบอกว่าโทร.เรียกให้วินมากินข้าวที่บ้าน

เขาไม่กล้าพูดแบบนั้น จนปัจจุบันก็ไม่กล้า เราเพิ่งจะเจอพ่อกับแม่เขามาหมาดๆ ซึ่งลูกเราเห็นแล้วรู้จักลูกแล้วแต่เราไม่เคยเจอพ่อและแม่พ่อแม่ของฝั่งโน้นเลย พ่อแม่เขาก็ไม่เคยเจอเราเลย จนกระทั่งนัดทานข้าวกันแล้วก็ไปเจอกันมา ก็เลยได้คุยกันสัพเพเหระ น่ารักมากครอบครัวเขาจะเป็นครอบครัวนักธุรกิจครอบครัวคนจีน

ถามว่าได้คุยกันไหมเรื่องสู่ขอ ตอนนี้บอกจริงๆ เลยว่าไม่ได้ปิดบัง ก็เดี๋ยวรอให้เด็กๆ เขาตกลงกัน แล้วก็คุยกันว่าทั้งคู่พร้อมขนาดไหนซึ่งผู้ใหญ่พร้อม บ้านเราพร้อม บ้านทางคุณพ่อก็พร้อม แต่คนที่ไม่พร้อมเห็นจะเป็นทางของเรามากกว่า ซึ่งวันนั้นผู้ใหญ่ทางนั้นเขาก็ดุทางวินบอกว่าให้คุยอีกตั้งนานแล้วไม่เห็นไปคุยเลย พ่อก็เลยต้องบอกว่าเขาคงเกรงใจเขาคงไม่กล้าพูด 

เอาแบบนี้ดีกว่าให้เขาไปคุยกันตกลงกันยังไงดีกว่า เพราะว่าทางของเราบอกพ่อว่าหนูยังแฮปปี้อยู่เลย ยังอยากทำงานขอหนูทำงานอีกสักแป๊บได้ไหมพ่อ แล้วละครใหม่กำลังลงก็เลยบอกว่า ถ้ามันไปถึงขั้นนั้นแล้วอนาคตหนูจะได้ทำงานเต็มความสามารถแบบนี้หรือเปล่า เขาก็พูดถูกวงการนักแสดง พอเขาพูดแบบนี้เราก็ไม่บังคับเขา ถ้าอย่างนั้นหนูไปคุยกันเอาเองหมดหน้าที่ผู้ใหญ่แล้วนะต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของหนูแล้ว”

แย้มรอฤกษ์หมั้น คาดกลางปีหน้า ลั่นพ่ออยากอุ้มหลาน
“คือเขาเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วระดับนึง เพราะว่าอย่างกับแป้งเราว่าจะบอกกับลูกอยู่เสมอนะว่าแป้งต้องพร้อมจริงๆ นะลูกเพราะว่าถ้าเราตกลงว่าเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว เราเป็นสะใภ้เขาแล้วเขามาเป็นลูกเขยบ้านพ่อ คือมันต้องพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าถามว่าในเรื่องของการใช้ชีวิตเราค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเลือกไม่ผิด เพราะว่าเขาจะดูแลลูกเราได้และลูกเราก็จะดูแลเขาได้ เพราะว่าเขาก็จะดูแลซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง อันนี้ภรรยาถ่ายทอดอีกเหมือนกันก็สื่อสารมาบอกเหมือนกัน

ส่วนจะช่วงไหนยังไง เราบอกเลยว่าจริงๆ ตัวเราไม่ได้ติดอะไรแล้ว ทางครอบครัวนั้นเขาก็ไม่ได้ติดอะไรเพียงแต่ว่าน่าจะประมาณกลางๆ ปีหน้า ดีใจครับที่จะได้ลูกเขย ผู้ใหญ่รักและเอ็นดูลูกสาวมาก จากที่น้องแป้งเคยไปกินข้าวบ้านเขาบ่อยมาก แล้วแป้งจะเจอผู้ใหญ่ทางบ้านโน้นเจอพ่อแม่ของน้องวินเจออยู่บ่อยมาก ทางญาติไม่ว่าจะเป็นป้าพี่น้องเขาคือรับแป้งได้หมดเลย แล้วแป้งเข้ากับเขาได้หมดเลย บุคลิกของลูกสาวมันทำให้เขารักลูกเรา แล้วพอเราได้ไปกินข้าวกันมาสองบ้านเราก็บอกความในใจว่าเรามั่นใจในตัวลูกชายของป๊ากับม๊าว่าเขาเป็นเด็กดี ส่วนป๊ากับม๊าก็บอกอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาแต่งกันไปจะได้รู้เรื่องเลย เราก็บอกว่าได้ครับไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่เดี๋ยวรอก่อนนะ ลองให้เด็กๆ ไปคุยกันตกลงกัน แต่ค่อนข้างสบายใจ

สินสอดทองหมั้น อันนี้เป็นฝ่ายนั้นจัดการทั้งหมดเลย ไม่ปิดบังนะครับเริ่มสร้างเรือนหอแล้ว ส่วนฤกษ์ยังครับเรารอให้เด็กๆ สรุปกันก่อนว่าเราจะยังไงจะหมั้นแล้วแต่งเลยไหม (อยากมีหลาน?) ตอนนี้เราเหงาๆ มีลูก 2 คนจริงอย่างที่แม่เราพูดเอาไว้ น้อยไป พอเวลาลูกโตแล้ว ก็จะมีโลกส่วนตัวแบบนี้ แล้วก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเป็นพ่อเป็นแม่ถึงอยากอุ้มหลาน เพราะเหงาๆ ถ้าแป้งฟังอยู่พ่ออยากบอกว่า พ่ออยากอุ้มหลาน”

ไม่สบายใจข่าวฉาววงการสงฆ์ ให้กรรมตัดสิน หวั่นเด็กรุ่นใหม่หมดศรัทธาในพุทธศาสนา
“จริงๆ แล้วต้องเลือกปฏิบัติ เพราะว่าเป็นอย่างที่คำทำนายว่าไว้จริงๆ เพราะเราฟังพวกนี้เยอะมาก ฟังพระอาจารย์หลายๆ ท่าน ให้อาศัยการฟังแล้วตัวเองก็ปฏิบัติแล้ว แล้วที่ตามคำนายเลยที่พระพุทธเจ้าทำนายเอาไว้มันเป็นจริงของเราจะเสื่อมลง แต่มันจะเสื่อมด้วยตัวบุคคลไม่ได้เสื่อมด้วยศาสนาอันนี้ต้องแยกแยะให้ถูก เพราะว่าที่เห็นอยู่เราก็ไม่สบายใจ

ปกติแล้วเราใส่บาตรทุกเช้าแล้วชวนคุณแม่ใส่บาตรทุกเช้า ตัวเองมาทางพระพุทธศาสนาได้รางวัลเยอะแยะมากมาย แล้วก็พยายามที่จะรณรงค์ให้ทุกคนเข้าวัดใส่บาตรทำบุญ รักษาศีล 5 ทำมาโดยตลอด แต่ในขณะเดียวกันเราอดไม่ได้จริงๆ ที่เรียกว่าคนที่จะทำร้าย ทำร้ายในที่นี้ทำร้ายเยอะด้วยนะครับ เราบอกเลยว่าเขาไม่กลัวกันบ้างเหรอ มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

เหมือนอย่างเมื่อก่อนรายการก็มีให้เราดู หนังละครก็ทำให้เราดู ตัวอย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยพูดเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกว่าเหลืองๆ แบบนี้อย่าชะล่าใจไปนะ การอบรมลูกศิษย์ท่านที่เป็นพระด้วยกัน และคำเทศน์นี้มันออกมาในเทปคาสเซ็ตตอนนั้น ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติ ให้สวดมนต์ ระวังเอาไว้นะเห็นเหลืองๆ แบบนี้ลงนรกกันง่ายมาก ลงไปอยู่ในนั้นกันเยอะมากแล้วไม่ต้องกลัวหรอก

คือเราไม่ต้องไปตัดสินอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเรากลัวอยู่สิ่งนึง คนเราถ้าไปวิพากษ์วิจารณ์บางทีแล้วกรรมมันอยู่ที่ปากเราเหมือนกัน ให้กรรมตรงนี้เป็นเครื่องตัดสินเพราะว่าตัวบุคคลไม่ต้องกลัวเพราะเขาได้รับแน่ๆ กับสิ่งที่เขาได้ทำแม้กระทั่งตัวผู้หญิงเองเรายังบอกเลยบอกว่าจะได้เกิดหรือเปล่า จะไปอยู่ตรงจุดไหนก่อน เพราะตอนนี้แม้กระทั่งเขาเหยียบอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ โลกใบนี้เขาจะมองหน้าคนได้ยังไง แต่คิดว่าเขาคงไม่สะทกสะท้าน

ลั่นบวชแล้วไม่สงบควรสึก ออกเที่ยวเลย บาปจะได้น้อย
“เราใส่บาตรตอนนี้เขายังบอกเลยนะว่าอย่าไปเลือกปฏิบัติอย่าเลือกพระ การที่เราใส่บาตรเขาคือสมมติสงฆ์ให้เราได้ทำใจเราคิดว่านี่คือพระสงฆ์ แล้วก็ดำเนินการตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าให้ใส่บาตรคือการให้ทาน เราได้ทานอนามัยยังไงจิตของเรา เราได้ แต่ถ้าเราโชคดีในวันนั้นเราไปเจอพระที่ดีแล้วเราได้กราบได้ไหว้มันก็จะกลายเป็นอานิสงส์ที่เราได้เพิ่มพูนไป

แต่ถ้าเกิดว่าเราไปเจอพระที่ศีลขาดบ้างไม่ครบบ้างแต่อย่างน้อยๆ เราได้ให้ทาน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปยึดติดสมมติว่าเราไหว้ไปแล้วเราให้ไปแล้ว เราจะไปกลัวว่าจะเอาเงินฉันไปทำอะไร จะเอาข้าวฉันไปให้ใครหรือเปล่าอะไรแบบนี้ อันนั้นคุณก็ไม่ได้ต้องให้ด้วยจิตเรา เรากราบผ้าเหลืองเรากราบสมมติสงฆ์เรากราบคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรากลัวจริงๆ กลัวว่ามันหมดแล้ว มันหมดในยุคของผ้าเหลืองแล้วจริงๆ เพราะข่าวมันแรงขนาดนี้คนที่ศรัทธาที่จะเข้าวัดพาพ่อแม่ไปทำบุญมันก็อย่าไปเลยเห็นไหมข่าวเป็นแบบนี้ แต่จริงๆ ถ้าพ่อแม่จะไปอย่าขัดศรัทธาท่านนะครับ เพราะว่าเราไปในวัดไม่ได้มีแค่พระสงฆ์ที่ให้เราไปกราบ แต่ยังมีการให้ทานอาหารปลา หรือไปฟังเทศน์หรือไปกราบพระพุทธรูปในโบสถ์ไปเถอะครับอย่าเลือกปฏิบัติ

เราถึงบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอกครับแล้วก็ไม่ต้องไปตัดสินท่าน ไม่ต้องไปถามท่านเพราะท่านรู้แก่ใจว่าได้อะไรกับการกระทำในครั้งนี้ ถ้ามีคนที่พูดบอกว่าถ้ามันไม่ไหวจริงๆ สึกก่อน สึกก่อนออกเที่ยวเลยจบ บาปก็จะน้อย สึกเลยเหอะเพราะว่าเรารู้จิตเราแล้ว จิตเราไปแล้วเราไม่อยู่ในผ้าเหลืองแล้ว เพราะว่าถ้าใส่ไปอย่างนั้นก็ออกเถอะออกจากผ้าเหลืองมาเป็นฆราวาส มีเงินแล้วด้วยเที่ยวเลย

พระที่ดีๆ ก็ยังมี พูดจริงๆ หลวงปู่หลวงตาบางรูปถ้ามันโดนกิเลสพวกนี้ยั่วยุทำไมท่านถึงได้ทนได้ เพราะว่าท่านปลงแล้วนั่นคือสังขาร ท่านปลงแล้วแต่ทำไมท่านถึงได้อยู่ได้ยังปฏิบัติได้แล้วก็ยังมีลูกศิษย์ลูกหาเชื่อมั่น เราว่ากราบในบารมีท่านมากกว่า บารมีท่านทำให้เราเชื่อ

ถามว่ามีไหมกับสิ่งที่เราสัมผัสได้เองรู้สึกเป็นแบบนั้น มีครับเพราะว่าเราไปทำงานต่างจังหวัด เราบอกจริงๆ นะว่าการทำบุญของเรา อันนี้ตัวเรานะครับแล้วก็ไม่เอ่ยนามไม่เอ่ยสถานที่แต่บอกเลยว่ามันมีข้อเปรียบเทียบอยู่ 2 ที่ด้วยกัน ระหว่างที่เราเข้าไปในวัดมีทุกสิ่งทุกอย่างรโหฐานมากมีพร้อมทุกอย่าง เราได้ไปทำบุญหนึ่งที่ กับอีกที่ที่ไปโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ผ่านแล้วทีมงานบอกว่าแวะทำบุญวัดดูน่าสงสารจังเลย เข้าไปในโบสถ์ที่ไม่มีอะไรเลยแล้วก็ไปกราบแล้วมันก็ได้ความสงบแล้วร่มเย็น มันแว็บเข้ามาเองในใจเราคิดว่าเหมือนวันนี้เราปีติจังเลย เราเหมือนเราได้บุญเต็มๆ แล้วสงบเงียบมาก

คนต่างจังหวัดอย่างเราไปมาวัดที่อยู่ทางภาคอีสานหรือวัดทางเหนือ ชาวบ้านเดินกันเป็นระเบียบเรียบร้อยเขาไม่พูดไม่คุยกันเลย เขาไปด้วยความสงบแบบนั้นเราชอบ กับการที่ตอนนี้วัดเราที่เคยไปเล่นลิเกเราบอกจริงๆ เลยว่าเมื่อก่อนมีโรงลิเกในวัดแต่ตอนนี้ไม่มีเลยมีแต่ปูนมีแต่โบสถ์และวิหาร ซึ่งเราบอกเลยว่าเหมือนที่แพรรี่ (ไพรวัลย์ วรรณบุตร) พูดเอาไว้ เขาพูดความจริงหมดเลยว่าเกินความจำเป็นไหม หลักพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าเราท่านเสด็จออกมาจากพระราชวังมาอยู่ป่า แต่ที่จะเห็นว่าทำไมท่านอยู่วัดหลังใหญ่โตมโหฬารเพราะว่าพระเจ้าพิมพิสารท่านสร้างถวาย แปลว่าเราจะเดินตามรอยอะไรกันเราก็ไม่รู้ ถึงได้บอกว่ามีพระที่ทำบุญก็ได้ครับ แต่ศรัทธาเรารู้ไงว่า... แค่นี้ วันนี้วันพระ(ยกมือไหว้)”



















กำลังโหลดความคิดเห็น