xs
xsm
sm
md
lg

“ฐากูร” ฟาดกลับ “เป็กกี้” ไม่ได้นอนเฉยๆ ให้เลี้ยง! ท้านัดเคลียร์เงินในบัญชี ปากบอกอยากจบแบบผู้ดี แต่เหยียบไม่มีที่ยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ฐากูร” โต้กลับ “เป็กกี้” ลบ iCloud จริง แต่อ้างไม่ได้ตั้งใจทำลายงาน แจงเข้าถึงข้อมูลเพราะใช้ Apple ID ร่วมกัน ติดใจหาว่าเลี้ยงดูยันพ่อแม่ ลั่นทำงานหนักหาเงินเข้าบริษัทหลักล้าน แต่ให้เงินพ่อแม่แค่ 5 พันเท่านั้น ย้ำไม่ได้นอนเฉยๆ ให้อีกฝ่ายเลี้ยงดู ท้าเคลียร์เงินในบัญชีจะได้จบ จวกอยากจบแบบผู้ดีแต่พูดไม่หยุด จะเหยียบให้จมดิน?

ออกมาสวนทันควัน สำหรับ “ฐากูร ตะเภาพงษ์”หลังจากที่ “เป็กกี้ ศรีธัญญา” เผยผ่านรายการแฉว่าถูกอดีตผู้จัดการ ซึ่งก็คือฐากูร แฮก iCloud ลบทิ้งไม่เหลือ คิวงานหายเกลี้ยง ไอจี-เฟซบุ๊ก-ติ๊กต๊อก เครื่องมือทำมาหากินต้องใช้เวลากู้คืน ลั่นผ่านมาแล้ว แต่แว็บคิดถึงทีไรก็สาปแช่ง
 
โดยฐากูรได้เปิดใจกับรายการ APOP TODAY ยอมรับว่าเกิดจากมีปัญหาแล้วมีการดูโทรศัพท์กันไปมา ครั้งนี้ยอมรับว่าทำจริง เข้าไปเพื่อเข้ารหัสโทรศัพท์ของเขา แต่ดันไปกดลืมรหัส ซึ่งปกติใช้ Apple ID เดียวกันอยู่แล้ว จะเข้าไปเพื่อที่จะไปโทรศัพท์แล้วกดลืมรหัส มันก็เลยลบข้อมูลโทรศัพท์เขา อันนี้คือสิ่งที่ทำ แต่เจตนาไม่ได้จะทำลายงานเขา ซึ่งงานเขาจริงๆ ทั้งหมดอยู่ในเครื่องตน เพราะตนเป็นผู้จัดการเขา งานทั้งหมดถูกส่งต่อไปให้กับลูกสาวเขา เพื่อเป็นผู้จัดการต่อจากตน ตนได้เทรนเขาทุกอย่าง มองว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับเรื่องงานเลย เพราะงานต่อจากนั้นไปเขาก็ทำได้ปกติ คิวงานทั้งหมดอยู่ในมือที่ตนถืออยู่ เหตุการณ์นี้ก่อนเป็นข่าวประมาณ 2 เดือน เพราะตนได้แยกจากเขา และไปอยู่บ้านอีกหลังเดือนนึงก่อนออกมา

“เรื่องที่ผมติดใจคือต้องมาพูดด้วยเหรอว่าดูแลพ่อแม่ผม จริงๆ แล้วเราทำงานร่วมกันมา 11 ปี เราหากินมาตั้งแต่ยังไม่มีอะไร คอนโดก็ยังเช่าอยู่ รถก็ยังผ่อนอยู่ เราทำมาหากินจนมีทุกวันนี้ได้ เราช่วยกันนะครับ ไม่ใช่ผมนอนอยู่เฉยๆ ให้เขาเลี้ยงนะครับ แล้วเงินทุกบาททุกสตางค์ ผมหาเงินเข้าบริษัทเดือนนึงหลักหลายล้านนะครับ แล้วผมไม่มีสิทธิ์แบ่งให้ครอบครัวผม ให้พ่อแม่ผม เดือนละ 5 พันแค่นี้ผมก็มองว่าเป็นสิ่งที่ลูกคนนึงต้องดูแลพ่อแม่ มันก็แค่นั้นเอง ทำไมต้องเอามาพูดว่าเลี้ยงดูพ่อแม่เขา ดูแลครอบครัวเขา จริงๆ เราทำงานร่วมกันนะครับ อย่าหลงประเด็น นี่คือการทำงานร่วมกัน คือหุ้นส่วนชีวิตกันนะครับ

ผมเสียหายอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ออกมาพูด แต่ครั้งนี้ยิ่งเอาพ่อแม่ผมมาด้วย ผมรู้สึกไม่โอเค เพราะสิ่งที่ผมดูแลเขา สำหรับรายได้ขนาดนี้ ผมก็คิดว่าไม่ได้เยอะเลย เราหาเงินได้ขนาดนี้แต่เรากลับให้พ่อแม่แค่นี้ กับความเป็นอยู่ที่เราดูแลเขาได้ มันแค่นี้ แต่เขาก็มองว่าเขาเลี้ยงดูโน่นนี่ จริงๆ ไม่ใช่นะครับ มันคือการทำมาหากินร่วมกัน

ลองถามพี่ๆ ก็ได้ว่าเห็นผมทำอะไรบ้าง ผมทำเยอะมากๆ มากกว่าที่คนๆ นึงจะทำกับบริษัทได้ด้วยซ้ำ ทำทุกหน้าที่ แม้แต่วันที่ออกมาก็บอกเขาถึงเรื่องบัญชีการวางบิลการรับงาน ทุกอย่างจบที่ผมคนเดียว แล้วผมควรต้องมาโดนต่อว่าแบบนี้เหรอ ผมว่ามันไม่ถูกต้องแล้วเรื่องนี้จบไปนานแล้วด้วย ถ้าไม่พูดถึงผมขึ้นมา ผมก็คงไม่ออกมาพูด

มีแต่คนถามว่าทำไมต้องดึงกลับมาพูดอีก มันจบไปแล้ว ผมก็มีครอบครัวใหม่แล้วเขาก็มีคนใหม่แล้ว ทุกอย่างก็ไม่ควรต้องพูดถึงกัน ทั้งที่เขาเองเป็นคนบอกว่าอยากจบแบบผู้ดี จบแบบเงียบๆ แต่สุดท้ายก็ยังไม่หยุดพูด จริงๆ มันต้องมีการเคลียร์กันตั้งแต่แรก แต่มันไม่มีการเคลียร์เกิดขึ้นเลย ตั้งแต่ผมออกมา ผมออกมาแต่ตัว ผมไม่ได้เอาอะไรออกมา ไม่ได้แบ่งอะไรจากเขาออกมา

แต่วันนี้ถ้าจะมองว่าอันนี้เงินฉัน เงินเธอ งั้นเรานัดเคลียร์กันเลยไหมว่าเงินในบัญชีที่ฉันเคยมี กับบัญชีที่เธอเคยมี มันมีเท่าไหร่ เรานั่งเคลียร์กันเลยไหม กรรมสิทธิ์ร่วมที่เรามีด้วยกัน เราลองมาเปิดและเคลียร์กันเลยไหม จะได้ชัดเจนไปเลยจบ จะได้ไม่ต้องมานั่งพูดว่าเลี้ยงดูผม เลี้ยงดูพ่อแม่ผม ผมก็โดนแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นคู่ชีวิตกันมา ผมก็โดนมาตลอด แต่เลือกไม่แคร์มาตลอด ผมก็ทำงานในส่วนของผม แล้วผมก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่าผมทำอะไรบ้างวันๆ ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ผมทำ ทุกคนที่เคยเห็นก็คงได้เห็นกันอยู่ นี่ผมออกมาโดยไม่มีอะไร และผมสู้ชีวิตในแบบของผมเอง แล้วยังมาทำกับผมแบบนี้อีก ให้ผมไม่มีที่ยืนในสังคมอีก มันก็จะเหยียบกันไม่มีที่ยืนจริงๆ เหรอ

ต้องถูกการเคลียร์ครับ ผมไม่ได้รับการเคลียร์ ติดต่อไปก็ไม่ติดต่อกลับ ไม่คุย จริงๆ นัดคุย นัดเคลียร์ให้จบ ไม่ต้องออกไปพูดแซะผมให้เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องเราจบไปแล้ว ไม่มีใครอยากจะรู้หรอก นัดเคลียร์ให้จบไปเลย ก็ต้องดูตามกฎหมายว่าทำอะไรได้ แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าผมต้องไปทำร้ายอะไรเขา แค่ให้เราเคลียร์กันในส่วนที่เราต้องเคลียร์ เพราะเอาจริงๆ นะ เราทำงานมา เรารับงานตั้งแต่เขารับงานอยู่ 3 หมื่น จนเราค่อยๆ ทำวง ฟอร์มทีมรับงานหลักแสน มันก็ยากมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เชื่อว่ามันไม่ได้มาได้คนเดียวแน่นอน มันมีอีกหลายคน มีผม มีผู้มีพระคุณกับเขา ผมคิดว่าผมทำเต็มที่ในส่วนที่ผมเคยทำมา ผมไม่มีอะไรติดค้างเลย ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจบแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาให้ผมออกจากบ้าน สิ้นสุดก็คือจบ ผมก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ของผม”









กำลังโหลดความคิดเห็น