xs
xsm
sm
md
lg

วงฟลายเปิดใจดรามา “อี๊ด” ยันไม่เคยไล่ออก งงเก็บ 25 ปีทำร้ายตัวเอง ถ้ากลับมารวมตัวแบบฝืน อย่าทำเลย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สมาชิกวงฟลาย เปิดใจดรามา “อี๊ด วงฟลาย” ยันไม่เคยไล่ออกจากวง งง 25 ปีไม่เคยเล่า เก็บจนทำลายตัวเอง ทำร้ายทุกคน ยกเป็นบทเรียน ลั่นถ้าจะกลับมารวมตัวแล้วฝืน ก็อย่าทำเลย

“ถ้าจะมา ไม่มาทั้งใจ กลับไปเสียดีกว่า” นี่คือเป็นประโยคที่ออกจากปากของ “ชาลี สาลี่” มือกลองของ วงฟลาย ที่เปิดใจถึงกรณีดรามาหลังจาก “อี๊ด สำราญ ช่วยจำแนก” อดีตนักร้องนำของวง ได้ไปให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ป๋าเต็ดทอล์ก ถึงสาเหตุการลาออกจากวงฟลาย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นวงกำลังอยู่ในจุดพีกๆ พร้อมพูดความในใจที่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยได้ยิน รวมไปถึงเหล่าสมาชิกของวงก็อึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น

และนอกจาก “ชาลี” หนึ่งในสมาชิกที่โพสต์อธิบาย ทั้งเรื่องตั้งค่าย เรื่องแบ่งรายได้เข้ากองกลาง รวมไปถึงเรื่องการ “ลาออก” ของนักร้อง ก็ยังมีทั้ง คมจักร บุญรอด (กีต้าร์), อ๊อบ พันธ์วิวัฒน์ สโรบล (มือเบส), วิน ประวีณ เปี่ยมนิติกร (มือคีย์บอร์ด) ที่ออกมาอธิบายเห็นเรื่องราวในวันนั้น จนผ่านมา 25 ปีถึงวันนี้ กลายเป็นเรื่องอีกครั้ง เหมือนหนังคนละม้วน พร้อมกับคำถามว่าแท้จริงแล้ว “วงฟลาย” ต้องปิดตำนานเพราะอะไร?

ชาลี : หลังจาก ได้พูดคุยกัน ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ส่วนตัวผม ไม่ได้เก็บมาคิด เก็บมาแค้น จากการที่ได้พูดคุยกัน มันก็ดี

แจ็ค : แต่ที่ผมรู้สึกก็คือว่า การได้คุย การได้เคลียร์ มันเป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็ได้รู้เรื่องอะไร ที่เราไม่เคยรู้ ก็เพิ่งมารู้วันนี้ ซึ่งบางเรื่องมันก็เกี่ยวกับผมโดยตรง บอกว่าผมพูดถึงโปรดิวเซอร์อีกมุมหนึ่ง ผมก็งงว่าผมไปพูดตอนไหนก่อน ซึ่งมันอยู่ในจิตสำนึกของคนนิสัยอย่างเรา ผมเป็นคนไม่ว่าคุณอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นคนพูดจาแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เอาจริงๆ เราเป็นคนอยากทำงานกับโปรดิวเซอร์คนนี้มาก ไปจีบแก มาชวนแกมาช่วยทำงานจะตาย ซึ่งฉากนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับฉากที่บอกว่าเราจะตั้งค่าย เขาบอกว่ามีโต๊ะเอ็มดี มีโต๊ะ Exclusive โปรดิวเซอร์ รวมไปถึงบอกว่าผมได้เงินเดือนเป็นแสน ซึ่งถ้าพูดมาขนาดนี้ มันก็ต้องมีนโยบายออกมาแล้ว ขอถามกลับว่าห้องไหนก่อน

ชาลี : เหมือนว่าเขาไม่รู้คิดมาจากไหน

แจ็ค : ทุกเรื่องที่เขาพูดมา บางเรื่องที่เขาพูดมา ผมยังงงว่าเขาเอามาจากไหน

ชาลี : เขาไปสัมภาษณ์ และพาดพิงมาที่เรา มี 3 ประเด็นหลักๆ ซึ่งผมได้โพสต์ไปแล้ว แล้วก็บอกว่าอย่างเรื่องค่าย ซึ่งมันไม่มี ส่วนเรื่องรายได้ ซึ่งอธิบายไปแล้วว่ามันก็ไม่มี แล้วก็สาเหตุของการออกจากวง ซึ่งจากที่ฟังเขาพูด เขาก็ยืนยันว่าพูดตอนที่กำลังจะตั้งค่าย แต่ข้างในมันไม่มีค่ายไง และตอนที่เขาจะมาขอออกจากวง เขาเป็นคนนัดมาเอง แล้วไปเจอกันที่
Jamjam

แจ็ค : คือเริ่มต้น พี่อี๊ดเป็นคนนัดมาเองว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ก็เลยบอกไปว่าตอนนี้ทุกคนอยู่ที่ร้าน jamjam มาได้เลย เพราะว่าทุกคนทำร้านอยู่ เขาก็เปิดเลยว่า เราคงไปต่อไม่ได้ เราไม่อยากร้องเพลงแล้ว เราเบื่อแล้ว เขาพูดว่าเขาเต็มที่ เขาอิ่มแล้ว เราก็เข้าใจได้ในความที่เป็นร็อกซินโดรมของแก เราก็พยามยื้อ แต่ก็ยื้อไม่ได้ เขาจะย้ายไปอยู่กับครอบครัว สุดท้ายก็สรุปว่าเก็บงานที่รับไปก่อนหน้านี้ให้มันจบกันไป แล้วงานครั้งสุดท้าย เป็นงานวันเกิดผม จัดที่วัดของหลวงพ่อวราห์ ก็มีการร่ำลาตามปกติ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วเป็นความทรงจำ แต่พอมาได้ยินตอนที่เขาไปพูดในรายการของป๋าเต็ด มันคนละเรื่อง

ชาลี : ซึ่งมันก็มากระทบกับสมาชิกที่เหลือ กลายเป็นว่าพวกเราไม่ดี เราก็ต้องออกแก้ในสิ่งที่แกพูดไป

แจ็ค : ก็เหมือนที่เขาพูด เหมือนว่าพวกเราไปทำร้ายเขา ผมกำลังมานั่งคิดว่า มันมีมุมนี้มาได้ยังไง คือเขาเก็บมาเรื่อยๆ อย่างที่อ๊อฟพูด ถ้าพี่อี๊ดพูดเมื่อตั้งแต่ตอน 25 ปีที่แล้ว มันจะไม่มีวันนี้ แล้วมาพูดอะไรตอนนี้

บอกย้อนกลับไป การทำงานของวงไม่เคยถกเถียง เพราะระหว่างทางไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ชาลี : ก็ระหว่างทางมันไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งเขาเก็บ เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไร

วิน : ปกติเรื่องส่วนตัวในวง เราก็คุยกันหมด นอนก็นอนด้วยกัน โตมาพร้อมกัน ทุกเรื่องเราก็จะโหวต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่

แจ็ค : ทุกอย่างหารเท่ากันเท่ากันหมด ซึ่งตอนนั้นมันก็ไม่ได้เป็นอะไร

ชาลี : ถามว่าเขาอาจไม่พอใจ หรือน้อยใจตั้งแต่ตอนนั้นไหม ตั้งแต่ที่เราบอกว่า ถ้าไปรายการ ถ้าไม่ใช่รายการเพลง ขอหักครึ่งหนึ่งเข้ากองกลาง ทุกอย่างมันก็เริ่มแล้ว แต่อันนี้เราเข้าใจได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่เราจะไปเกาะเอาเงินเขา แต่เรากันไม่ให้เขาไปรายการตลก ตามที่พี่เต๋อ(เรวัต พุทธินันทน์) เคยบอกไว้ และมันก็เห็นชัดเจน ว่าเราไปหักเงินเขา แล้วเขาก็มีอาการ แต่เราก็เข้าใจได้ เราก็เลยยกเลิกกฎนั้นไป เรารู้สึกว่าเขาไม่โอเค ทั้งที่ตอนโหวต เขาโอเค
ชาลี : ระหว่างทางความอึดอัดมันน้อยมาก ไม่ค่อยมีหรอก

บอกอี๊ดแสดงท่าทีน้อยใจก่อนขอลาออก
ชาลี : ก็มีช่วงท้ายๆ ก่อนที่เขาจะมาขอลาออก

วิน : ก็ไม่เคยรู้เลย ผ่านไป 25 ปี เพิ่งมารู้พร้อมกันทั้งโลกนี่แหละ

ชาลี : ก็มีช่วงท้ายๆ ก่อนที่แกจะออก ก็เริ่มมีอาการตึงๆ แยกไป ไม่ไปซ้อมพร้อมกัน หรือตอนไปเล่นที่อเมริกา ก็แยกกันไป เริ่มมีสัญญาณ แต่เป็นช่วงท้ายๆ แล้ว ตอนที่ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุยุบวง ก็ตามที่พี่บอกเรา ว่าเขาจะย้ายไปอยู่อเมริกา

วิน : ถ้าจำได้ ก็คือพี่อี๊ดจะไปอเมริกา สองพวกเราอิ่มตัว ต่างคนก็ต่างไปเดินเส้นทางของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เราคุยกันบ่อยๆ เวลาเราไลฟ์

แจงเหตุการณ์ปีก่อน จะมีคอนเสิร์ตแต่อยู่ดีๆ ก็เงียบ ลั่นเล่นแบบฝืนหรือจำใจ คงออกมาไม่ดี
วิน : ก็มีสื่อพยายามจะถามพี่อี๊ด ว่าพี่อี๊ดโกรธอะไรเพื่อนๆ ในวงหรือเปล่า และผมก็เป็นคนตอบเองว่า ก็ไม่ได้โกรธพี่อี๊ดนะ ก็อยากจะช่วยเขา ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าโดนกดดัน

ชาลี : การที่เรากลับมารวมตัวกันในวันนั้น คือเราทุกคนอยากเล่น เราก็อยากเล่นกับพี่อี๊ด ถามว่าเราอยากรียูนียนอยู่ไหม ไม่ต่อยอยาก

อ๊อบ : ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้ามันเป็นไปได้ มันคงเป็นไปตั้งนานแล้ว

ชาลี : คือวงดนตรีมันต้องเป็นหนึ่งเดียว และถ้าการมาเล่น แล้วต้องมีใครที่ฝืน หรือเล่นเพราะเกรงใจ มาเล่นเพราะจำใจ มันไม่เป็นหนึ่งเดียว มันออกมาไม่ดีหรอก มันไม่สนุกหรอก

แจ็ค : คือที่ผมนั่งเงียบไปแป๊บนึง ผมกำลังคิดว่า เรื่องที่ผมไปว่าโปรดิวเซอร์ ผมพูดตอนไหน เพราะว่าเขาเป็นคนเก่งมาก โปรดิวเซอร์คนนี้เก่งมาก ทำงานกับเรามาตลอด เขาเป็นโปรดิวเซอร์คู่บุญของวงฟลายมาโดยตลอด ผมเลยงงว่าทำไมมีคำๆ นี้ ออกมาจากปากผม แล้วผมมั่นใจว่าพี่อี๊ดก็เอาไปพูดกับโปรดิวเซอร์ท่านนี้ แต่ผมก็ยังกินข้าวกับเขา(โปรดิวเซอร์)อยู่นะ อย่างที่บอกว่างง ว่าทำไมพี่อี๊ดมีเรื่องแบบนี้ออกมาพูด

ชาลี : ผมก็อยากรู้ เพราะอยากรู้ว่าบุคคลท่านไหนที่มีอำนาจอนุมัติให้วงฟลายไปทำค่ายเพลง จนออกมาเป็นแบบแผนที่พี่อี๊ดพูด ให้เขาไปไล่เช็ก
อ๊อบ : แต่ถ้าเราไปทำแบบนั้น มันก็ต้องหาว่าใครผิดใครถูกอีก แล้วมันจะไม่จบ

ชาลี : ไม่ได้อยากจะมาเอาชนะ หรือว่าอะไร อย่างที่บอกว่าสิ่งที่เราพูดออกมาวันนี้ มันคือความทรงจำของเราที่เป็นแบบนี้ เรายืนยันว่ามันไม่ใช่

บอกอี๊ดพูดสวนทางการกระทำ ทุกคนยังไม่ได้ว่าอะไรเลย แต่คงมูฟออน เพราะอี๊ดคงไม่อยากกลับมาอยู่แล้ว
แจ็ค : ก็อย่างที่พี่อี๊ดบอก เขาก็บอกว่าให้มูฟออนเถอะ เพราะเท่าที่ผมรู้จักพี่อี๊ดมานาน ผมมองว่าแกไม่อยากกลับมาอยู่แล้ว แต่วันนี้ที่เขาพูด เขาจะพยายามพูดว่าเขาไม่ได้ไปเพราะว่าเขาดังแล้วแยกวง แต่จริงๆ ภาษาพูดเป็นแบบนี้ แต่การกระทำมันสวนทาง ซึ่งเราไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย

ไม่เคยคิดเปลี่ยนนักร้องนำ
แจ็ค : จะไปเปลี่ยนทำไม

ชาลี : พี่อี๊ดเป็นคนเก่งมากนะ

แจ็ค : การเปลี่ยนอะไรสักอย่าง อะไรในวง มันเหมือนการเปลี่ยนอวัยวะ ทั้งๆ ที่ทุกอวัยวะสร้างความแข็งแกร่งอยู่ตลอด ซึ่งผมอยากจะถามว่าผมไปไล่เขาตอนไหน ยังหันมาถามเพื่อนๆ ว่ากูไปไล่เขาตอนไหนวะ มีเหตุการณ์ไหนที่เกิดขึ้น ผมเนี่ยเป็นคนซัปพอร์ตเขามาก เหมือนสายเปย์ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เขามาคิดว่าผมไม่ดูแลเขา เพราะทุกคนก็ดูแลเขาหมด

ไม่เข้าใจทำไมสัมภาษณ์ออกทะเลไปไกล ทั้งที่รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว เก็บ 25 ปีจนทำลายตัวเอง
แจ็ค : ที่ผ่านมา เรื่องที่ไม่ดีน้อยมาก แต่พอที่เขาให้สัมภาษณ์ไป เรายังคิดเลยว่าทำไมออกทะเลไปไกลขนาดนั้น

อ๊อบ : มันมีหลายเรื่อง ที่ไม่รู้จะพูดออกไปทำไม ทั้งๆ ที่เราก็รู้ด้วยกันทั้งหมด 6 คน แล้วมันก็ผ่านมา 25 ปีแล้ว เรารู้ไส้พุงกันหมด

ชาลี : เรื่องดีๆ มันก็ยังมีอยู่ มันไม่เคยลบนะ

วิน : เขาเป็นคนที่รักเพื่อนจริงๆ เป็นคนจริงใจ ผมกับพี่เขา ทุกวันหยุดของการเล่นดนตรี ผมไปกินข้าวกับพี่อี๊ดเป็นประจำ ไปกินสุกี้ที่สยาม ทุกอาทิตย์ แล้วก็ไปซื้อเสื้อผ้า ซึ่งแกก็ไม่ได้ไปซื้ออะไรมากหรอก ซึ่งจริงๆ เขาเป็นคนที่มีความสุขเวลาอยู่กับพวกเรา แต่อย่างที่บอกว่าแปลกใจมากว่าทำไมพี่ถึงออกมาพูดแบบนี้ พี่เก็บเอาไว้ 25 ปี พี่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย พี่เก็บไว้จนพี่ทำลายตัวเอง และนอกจากทำร้ายตัวเองกับเรื่องราวที่เก็บไว้ ตอนนี้มันทำร้ายทุกคนเลย

อ๊อบ : ต่อไปร่วมงานกันได้เลย สบาย ผมสแตนบายรอ

วิน : ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ

ชาลี : คือถ้าจะมาไม่มาทั้งใจ ก็กลับไปเสียดีกว่า แต่ถ้ามาด้วยใจ มันโอบกอดอยู่แล้ว ซึ่งถ้ากลับมา มันต่อกันติดอยู่แล้ว เพราะเราเป็นคนดนตรี แต่ถ้าต้องฝืน หรือเกรงใจใคร กลับมามันก็ไม่สนุก

วิน : เส้นทางของพวกเรามันไม่ใช่เริ่มต้น 30 ปี แต่มันมีเรื่องราวก่อนหน้านั้นอีก ตั้งแต่วันแรกทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน อยากจะทำอัลบั้ม ซึ่งมันเป็นความฝันของนักดนตรีในตอนนั้นเกือบทุกวง อยากมีงานเป็นของตัวเอง

อ๊อบ : แค่อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง รวยไม่รวยไม่เกี่ยว ขอแค่อยากได้ทำตามในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทอง แต่มันก็ดัง มันเลยทำให้มีเรื่องเงินเรื่องทองเข้ามา ถ้าไม่ดัง มันจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า

ชาลี : ถ้าไม่ดังจะรักกันมาก เพราะตอนนั้นเรารักกันมาก ขนาดมีเรื่องมีราวขนาดนี้ ผมก็ไม่ได้โกรธพี่เขาเลย แต่แค่รู้สึกว่าพี่เอาเรื่องอะไรออกมาพูด ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นมันไม่มีอยู่

แจ็ค : ผมกำลังมองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแนวเดียวกันหมด มันไม่มีตัวตน ทั้งเรื่องค่าย ทั้งเรื่องเงินค่าตัวผม เหมือนเป็นการพูดสลับกันไปมา มันเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราไม่เคยคุ้นเคยกับชีวิตเลย ง่ายๆ เลยนะ พี่อี๊ดให้อภัยไหม ให้อภัยก็กลับมาเล่นดนตรีกัน แฟนเพลงรออยู่
ยกเป็นบทเรียน มีอะไรต้องพูดกันตรงๆ
ชาลี : ก็คือมีอะไรก็ต้องพูด เพราะการที่เขาเก็บไว้ ทุกคนก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไร อาจจะงอนคนนั้นนิดนึง งอนคนนี้นิดนึง และเอามาเก็บไว้ที่ตัวเองคนเดียว เขาก็แย่ เหมือนเขาต้องแบกรับคนเดียว เขาก็แก้ไม่ได้ อันนี้สำคัญเลย

แจ๊ค : ซึ่งเขาได้พูดว่าเขาขอโทษ ขอโทษที่เขาเซนซิทีฟ ซึ่งมันก็ต้องแก้ไขตรงนี้ ซึ่งเรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องคิดซับซ้อน มีอะไรก็พูดตรงๆ เพราะเราทำงานร่วมกัน เพื่อนไม่ได้โกรธคุณ ทุกคนมีอะไรก็คุยกันอยู่แล้ว

ชาลี : ทุกๆ อย่างที่เวลาเราเสนอกันในวง มันคือเรื่องงาน แล้วถ้างานมันออกมาแล้วไม่ถูกใจใคร มันสามารถปรับกันได้ แต่เราก็ต้องวางเป้าหมายว่าจะไปทิศทางไหน เราไม่เคยทะเลาะกัน ขนาดขึ้นเสียงกันยังแทบไม่เคย

วิน : พี่อี๊ด แทบจะไม่เคยขึ้นมึงขึ้นกู

อ๊อบ : เขาจะแทนตัวเองว่าเราตลอด

ชาลี : เขาไม่เคยขึ้นเสียงกับใครเลยในวง

แจ็ค : เขาแทบจะไม่เคยพูดตะคอก หรือพูดคำว่ากู ก็ไม่ได้รุนแรง

รับเคลียร์ใจคลี่คลายระดับหนึ่ง
แจ็ค : หลังจากที่เราได้คุย ถามว่ามันคลี่คลายไหม มันก็ในระดับหนึ่ง แต่ในตัวของพี่อี๊ดเอง เขาไม่ได้อยากกลับมา อันนี้คือเรื่องหนึ่ง แต่เราก็ได้รู้เพิ่มเติมว่าเขาเกิดอะไรขึ้น เขาคิดอะไรอยู่ เราก็พยามจะเคลียร์ทุกอย่าง เรารู้เหตุผลแล้ว ฉะนั้นแล้ว อยู่ตรงไหนที่เป็นสุข ก็อยู่ตรงนั้น แต่ถ้าพี่อี๊ดจะกลับมา





กำลังโหลดความคิดเห็น