xs
xsm
sm
md
lg

ดรามา “ไฮโซน้ำหวาน” ประจานคนอื่นระวังเข้าตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ



เป็นประเด็นร้อนทีเดียวหลัง “ไฮโซน้ำหวาน” ภรรยา “นาวิน ต้าร์” มีการโพสต์ข้อความต่อว่าไปยังผู้หญิงอายุประมาณ 23-25 ปีโดยระบุว่าทำพฤติกรรมไม่ดีใส่ลูกๆ ซึ่งข้อความบางส่วนระบุว่า...

"ปกติน้ำหวานจะพาลูกๆ ทั้ง 3 คนออกไปนั่งร้านแกแฟและทานขนมนอกบ้าน ด้วยความที่เด็ก 3 คนของเรา เคยชินกับการไปร้านกาแฟเจ้าประจำ ในความเป็นเด็กมีคุยกันร้องเพลง ซึ่งอาจจะมีเสียงรบกวนบ้าง แต่เราดูแลลูกเป็นอย่างดี ไม่ได้ทำให้รบกวนใครจนเกินไป มีลูกค้าทุกโต๊ะนั่งยิ้ม และหลายท่านทักทายคุยกับเด็กๆ"

"แต่ในความสนุกนั้น กับมีสายตาคู่นึงนั่งค้อนน้องและหันมามองลูกทั้ง 3 เหมือนจะกินลูกน้ำหวานทั้ง 3 คนเข้าไปในท้อง ด้วยความที่อาจจะมานั่งทำวิทยานิพนธ์ ต้องการความเงียบแบบไร้เสียง ซึ่งส่วนตัวแนะนำว่าคุณควรนั่งทำที่ห้องเงียบๆ เพราะร้านกาแฟเสียงเครื่องปั่นก็ดังมาก ทุกโต๊ะก็นั่งกันเป็นครอบครัวบ้าง คุยสนุกกับเพื่อนๆ บ้าง โดยรวมดูอบอุ่น"

"น้ำหวานได้พูดตรงโต๊ะนั้นไปว่า การที่ผู้ใหญ่แสดงปฏิกิริยาแบบนี้ต่อเด็ก มันแย่กว่าสิ่งที่เด็กเสียงดังเยอะมากค่ะ ซึ่งน้ำหวานก็รอเค้าที่จะคุยโต้ตอบ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบคำพูดใดๆ"

อันที่จริงปัญหา "ลูกเราไม่ได้น่ารักกับทุกคน" เป็นเรื่องที่มีให้เห็นเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งพ่อแม่แต่ละคนต่างก็มีวิธีจัดการแตกต่างกันไป บางคนเลือกที่จะเอาเรื่องคู่กรณี บางคนเลือกที่จะใช้คำขอโทษนำหน้า บางคนเลือกตำหนิเด็กตนเอง ฯ

สำหรับกรณีนี้แม้บางส่วนจะเห็นด้วยกับวิธีการของไฮโซน้ำหวาน แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่กลับมองตรงกันข้าม โดยหลายคนเชื่อว่าการที่เจ้าตัวโพสต์ต่อว่าคนอื่นโดยใช้คำว่า "ทำไมต้องเจอสายตาแบบนี้กับผู้ใหญ่ ที่ไร้ความคิด ไร้คุณธรรมเช่นนี้" มันเป็นการด่าคู่กรณีชัดๆ

ไม่ใช่ความตั้งใจที่จะนำเรื่องมาเล่าเพื่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว

หรือแม้กระทั่งวิธีการพูดกับลูกที่บอกว่า "ไม่ต้องกลัวนะลูก หนูไม่ได้ทำอะไรผิด" ก็ดูจะเป็นการพูดที่ผิดวิธี ในเมื่อก่อนหน้ามันมีประโยคที่ว่า "ในความเป็นเด็กมีคุยกันร้องเพลง ซึ่งอาจจะมีเสียงรบกวนบ้าง" รวมถึง "อาการหันมามองเด็กๆ ด้วยสายตาแย่ๆ ถึง 3-4 ครั้ง ทำให้เด็กตกใจ และเค้ายังไม่รู้ว่าเค้าผิดยังไง"

ที่ถูกที่ควรมันน่าจะคุยกับลูกตัวเองเชิงตั้งเป็นคำถำว่าแล้วลูกคิดว่าทำไมเค้าถึงมองแบบนั้นล่ะ? ซึ่งน่าจะทำให้เด็กได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการพุ่งเข้าไปโอ๋ปลอบประโลมจนดูเป็นการให้ท้ายหรือไม่

เช่นเดียวกับวิธีที่แซะอีกฝ่ายว่าถ้าต้องการความเงียบก็ให้นั่งทำอยู่ที่ห้องอันนี้ก็ใช่ที่ เพราะอีกฝ่ายก็อาจจะคิดในใจได้ว่าถ้าป้าจะมานั่งกินกาแฟปล่อยลูกร้องเพลงเล่นเสียงดังแบบนี้ชงกินอยู่บ้านดีกว่ามั้ย

มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะเจอะเจอกับคนอื่นๆ ที่ต้องพึงระลึกก็คือความพอดีของเรามันอาจจะไม่ตรงกับของคนอื่นๆ

ที่สำคัญการนำเอาเรื่องที่เจอะเจอมาบอกเล่ามันควรจะเป็นไปในแนวของการชวนวิพากษ์วิจารณ์ชวนคิดมากกว่า ไม่ใช่มั่นแต่ความคิดที่ว่าตนเองต้องถูก ต้องดี ต้องเจ๋ง มุ่งประจานคนอื่น เพราะบางครั้งมันก็อาจจะกลับกลายเป็นการประจานสติและความคิดของตัวเองแทนแบบไม่รู้ตัว



กำลังโหลดความคิดเห็น