“อเล็กซานดร้า ธิดาวัลย์” อดีตนางเอกดัง ปล่อยเพลงใหม่ “ต้มอึ่งไข่” หวนคืนวงการในรอบ 10 ปี บอกสาเหตุหายหน้าไปเพราะอยากใช้ชีวิตอิสระออกจากนอกกรอบที่พ่อแม่ตั้ง รับช็อกกับโลกแห่งความเป็นจริง มรสุมชีวิต 7 ปี เจอคุณไสย ร่างพัง ชีวิตตกต่ำ สูญเสียพ่อและคนรัก จนต้องพึ่งธรรมะ
หลังจากที่แฟนๆ บ่นคิดถึงกันมานานกว่า 10 ปี อดีตนางเอกลูกครึ่งลาว-บัลแกเรีย “อเล็กซานดร้า ธิดาวัลย์ บุญช่วย” ซึ่งโด่งดังจากละคร “เพลงรักริมฝั่งโขง” ที่เคยประกบคู่กับพระเอกหนุ่ม “เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ” จนเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ ล่าสุดเจ้าตัวก็ขอคัมแบ็กหวนคืนวงการในรอบทศวรรษอีกครั้ง
โดย “อเล็กซานดร้า” ได้เปิดใจถึงการหวนคืนวงการเพลง ด้วยการเปิดตัวซิงเกิลใหม่ล่าสุดในชื่อ “ต้มอึ่งไข่” พร้อมทั้งเล่ามรสุมชีวิตเจอทำคุณไสยจนร่างกายและจิตใจตกต่ำมานานกว่า 7 ปี สูญเสียทั้งพ่อและคนรัก จนต้องหันพึ่งธรรมะ
“ชีวิตตอนนี้ดี ตื่นเต้นเพราะว่ากำลังเตรียมเพลงใหม่มาโปรโมตอยู่ที่ประเทศไทย เพลง ต้มอึ่งไข่ เพลงออกสไตล์ลูกทุ่งมีจังหวะหมอลำซิ่ง แล้วเนื้อหาทั้งเพลงคืออยากกินต้มอึ่ง ซึ่งเพลงนี้ได้ บอย เขมราฐ แต่งให้ เพราะเห็นอเล็กซานดร้าหน้าลูกครึ่งหน้าฝรั่งแล้วมากินต้มอึ่งน่าสนใจของแปลก
ตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอึ่งคืออะไร อึ่งมันคือกบหรือเขียด คือมันคนละอย่างกันหมดเลย แล้วอึ่งก็ยังมีมาหลายสายพันธุ์อีกจึงได้เรียนรู้ว่าตัวอึ่งเป็นแบบนี้นี่เอง เคยกินไหม ไม่เคยเลย ตั้งแต่ตอนนั้นไม่เคย แต่ตอนหลังที่มาเห็นเพลงนี้ออกมา ก็ได้ลองชิมนิดนึง เนื้อมันจะเป็นแบบเด้งๆ มีไข่มันๆ มีกระดูกเล็กๆ มันก็เป็นรสชาติแบบแปลกๆ กินแล้วมันอิ่มไว”
บอกฟังเดโมครั้งแรกรู้สึกชอบเพลงนี้เลย
“ตอนแรกที่เขาแต่งเพลงนี้มาเราไม่รู้จัก ไม่รู้จักไม่เคยกินด้วย ตอนฟังเดโมมันเป็นทำนองที่เป็นจังหวะหมอลำซิ่งอยู่แล้ว ตั้งใจอยากทำจังหวะแบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยโอเคเอาเลย หลังจากนั้นเขาได้มาอธิบายว่าอึ่งไม่ใช่กบ อึ่งเพ้า อึ่งยาง มันเป็นสายพันธุ์ของอึ่ง อึ่งเพ้าจะแซบที่สุดประมาณนี้แหละที่เขาอธิบายมา ก็ได้ทำการบ้านนิดนึง เริ่มรู้วิธีจับอึ่งแล้วต้องไปกลางคืนหลังจากที่ฝนตกแล้วไปส่องตามทุ่งนา
ก็เลยได้มาเป็นเพลงอึ่ง อยากออกเป็นเพลงสนุกสนานลูกทุ่งที่มันเข้าถึงคนได้ง่าย เพราะว่าในอนาคตก็อยากทำออกมาหลายๆ เพลง เพื่อให้เราได้จัดคอนเสิร์ตแล้วก็ได้ออนทัวร์ไปในหลายๆ ที่ ได้สร้างความสุขเพราะเพลงนี้สามารถเปิดในวันเทศกาลในงานสังสรรค์ต่างๆ แสดงว่าตอนฟังเดโมครั้งแรกก็คือชอบเลย เอาเลย ก็ยังมีทำเพลงอีกเพราะตั้งใจให้เป็นอัลบั้มออกมาเลย แล้วเพลงต่อไปก็จะเป็นเพลงอีกแบบเลยจะเป็นตัวตนแท้ๆ ของอเล็กซานดร้า เป็นเพลงที่เราแต่งเอง ซึ่งเป็นเพลงแรกในชีวิตที่เราแต่งเอง”
เตรียมปล่อยเพลงแรกที่แต่งเองในชีวิต
“เพลงที่จะปล่อยตามมาคือพูดถึงเรื่องวัฒนธรรมของ 2 วัฒนธรรม แม่เป็นคนบัลแกเรีย พ่อเป็นคนลาว แล้วเราเติบโตอยู่ที่ประเทศลาว เราเติบโตมาจากวัฒนธรรมลาว เพราะฉะนั้นเรายังรักษาความเป็นลาวอยู่ แต่ด้วยเราเติบโตมากับแม่ๆ อยู่อย่างนั้นมาตลอด เราก็จะมีรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาด้วย แต่คือเราสามารถรับวัฒนธรรมตะวันตกได้มีความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล ก็จะมีความเป็นอินเตอร์ พื้นฐานของเราสไตล์คลาสสิกมิวสิกเนอะ เราเริ่มกับเปียโนกับไวโอลินเพราะฉะนั้นแล้วเรามาฟังเพลงพวกเพลงป๊อป เพลง R&B แล้วพื้นฐานเราจะไปแบบนั้น แต่เผอิญเรามาทำเพลงแบบหมอลำลูกทุ่ง เพลงแต่ละเพลงก็จะต้องมีความผสมผสานระหว่าง 2 สไตล์เข้ามา
ในอัลบั้มที่เราทำค่อนข้างหลากหลาย แล้วน้ำเสียงเราเป็นคนเสียงเบา เสียงนิ่ม ส่วนใหญ่จะร้องเพลงเศร้า แต่เดี๋ยวนี้พยายามอยากร้องเพลงที่มันเป็นจังหวะไม่ได้ถึงขั้นแดนซ์ เป็นเพลงที่อยู่ระหว่างกลางเป็น R&B ผสมกับป๊อป บางเพลงก็เอาเป็นจังหวะหมอลำซิ่งแดนซ์ไปเลยแบบตี๊ดๆ
อยากเปิดตัวเพลงสไตล์นี้เพราะว่า เราคิดว่ามันอาจจะเข้าถึงคนได้ง่าย อีกอย่างเราสามารถทำตัวเป็นลุคสไตล์สาวบ้านนา ด้วยภาพคนจดจำเราในลุคแบบนั้น นางจำปา วันนี้เราก็ตั้งใจแต่งตัวมาแบบนั้นให้คนจดจำเรา แต่ในอนาคตก็จะมีการเปลี่ยนเรื่องการแต่งตัวก็แบบจะสลับไปสลับมา เราอยากให้มันมีหลากหลายสไตล์”
หวนจับไมค์ในรอบ 10 ปี
“ก่อนที่จะปล่อยเพลงก็มีคนคอมเมนต์เข้ามาหลายทางทั้งแฟนคลับชาวลาวและแฟนคลับชาวไทย บอกว่าคิดถึงละคร จะมีผลงานละครไหมอยากติดตามชมประมาณนี้ ณ ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดที่จะปล่อยเพลง แต่หลังจากนี้เราตั้งใจที่จะคัมแบ็กทำเพลงแล้วก็จะทำงานอื่นๆ หลากหลายสไตล์ ทั้งงานทีวี งานการแสดง
กลับมาปล่อยเพลง ก็หวังว่าทุกคนจะเปิดใจรับเราในลุคแบบนี้ เพราะว่าเป็นผลงานซิงเกิลแรกที่เราห่างหายไปเกือบ 10 ปี แล้วได้มีโอกาสกลับมาทำเพลงใหม่ ตั้งใจที่จะคัมแบ็กก็อยากให้ติดตามเพลงนี้เพราะยังจะมีอีกหลายๆ เพลงที่ตามมา”
อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา
“ตอนนั้นจำได้ว่าถ่ายละครพอปิดกล้อง เราต้องนั่งรถตู้ไปด่านสะพานมิตรภาพไทยลาวหนองคาย พ่อมารอรับอยู่ตรงนั้นตอน 7 โมงเช้า กลับบ้านแล้ว พอตอน 11 โมง บินไปเรียนต่อเลย ไปแบบงงๆ ไม่ได้บอกลา อยู่ๆ ก็หายไปเลย แล้วช่วงละครออนแอร์ตอนไหนเรายังไม่รู้เลย แล้วช่วงนั้นไม่มีโซเชียลมีเดียอีก เราก็ไม่ค่อยได้ติดโซเชียล ถ้ามีก็จะเล่นแต่เฟซบุ๊กส่วนตัวแล้วเราไม่ค่อยได้โพสต์อะไร
ความตั้งใจเราเพราะว่าเราทำงานมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ 14 ปีแล้ว ณ ตอนนั้นเรารู้สึกอิ่มตัว เหนื่อยกับการทำงานตลอดเวลา ต้องบินไปทั่วคอนเสิร์ตอเมริกา เดี๋ยวอยู่ไทย เดี๋ยวอยู่ลาว คือเราเหนื่อยเราเป็นเด็ก 16-17 ปี ก็เลยขอไปใช้ชีวิตทางโลกเป็นคนทั่วไป กลับไปใหม่ๆ ก็เป็นคนแปลกเพราะเข้าหาคนไม่เป็น คือที่ผ่านมาเราถูกโพรเทคจากพ่อแม่แบบอยู่ในกรอบตลอด แล้วพอมาสังกัดอยู่เวิร์คพอยท์ เขามีผู้จัดการดูแลเรา ทำทุกอย่างวางคิวให้เรา ซึ่งเราไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้เลย คิวงานยาวมากไม่มีเวลาไปทำอะไรเลย
เจอคนแรกๆ ทำตัวไม่ถูก ทำตัวไม่ถูกเลย ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา ก็มีคนเข้ามาหาเราตลอด แต่เราจะมีแบบระยะห่างกับคนผู้นั้นตลอด ใหม่ๆ เราก็ใช้เวลานานพอสมควรที่จะปรับตัว กลายเป็นคนแปลกไปเลย”
พ่อหวงมากทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบ
“พ่อหวงตอนนั้นคือถึงไม่ได้ไปไหน พ่อก็ไม่ให้ไปหาเพื่อน คือถ้าไปแล้วต้องให้แม่ประกบ แล้วก็ไม่ค่อยอนุญาตให้ไปไหน เราบอกพ่ออยากไปกินหมูกระทะกับเพื่อนวันเกิด พ่อเขาถามว่าไปทำอะไรเอาแม่ไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป น้อยใจเพราะว่าเด็กๆ ก็อยากไปกับเพื่อน แต่ด้วยว่าพ่อเป็นห่วงมากก็เลยไม่ได้มีสังคม
พอไปเรียนใช้ชีวิตคนเดียวที่เป็นคนธรรมดาต้องเริ่มจากการปรับตัว ตอนนั้นเท่าที่จำได้คือเรางงแบบช็อกวัฒนธรรมนิดนึง รู้สึกทำตัวไม่ถูก รู้สึกเศร้าข้างในเพราะว่าเราช็อก แล้วพอบินไปที่ญี่ปุ่นวันแรกคือทุกอย่างเงียบ ทุกอย่างมันคือหยุด เราคือไม่มีคิว ไม่มีงาน ไม่มีอะไร ไปนั่นไปนี่แบบไม่มีจุดหมายปลายทางเลย ก็ทำตามเขาทุกอย่างไปพักอยู่เมโทรโพลิสประมาณ 6 เดือน ก็ไม่ไหวเพราะว่าเพื่อนปาร์ตี้กันเยอะ กลางคืนมาเคาะประตู เคาะอยู่แบบนั้นเป็นครึ่งชั่วโมง ก็เลยได้ย้ายออกมาอยู่อพาร์ตเมนต์ ก็ค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ แล้วเพื่อนหลายคนก็น้อยใจที่ว่าวันเกิดเราเขาจะรอเราให้กลับมาเขามีของขวัญให้ แล้วอยากไปกินข้าวด้วยกัน แล้วเรายังอยู่ชิบูย่า ยังลองใช้ชีวิตของเราแบบไม่แคร์ มีคิวก็ไม่สนใจลืม
ก็คือใช้ชีวิตให้สุด สุดเพราะว่าคิดไม่เป็น เพื่อนก็น้อยใจ ครั้งแรกที่ใช้ชีวิตแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนคือ กินแอลกอฮอล์ สมัยตอนที่อยู่ที่บ้านไม่เคยกินเลย แม้แต่น้ำอัดลมหรือน้ำแข็งไม่เคยกินเลยเพราะว่าต้องรักษาเสียง ทุกวันนี้ก็ยังกินน้ำอัดลมไม่เป็น คือถ้ากินแล้วรู้สึกว่าเหมือนมันมีอะไรกัดคอ น้ำแข็งกินแล้วมันจะเป็นไข้ก็เลยไม่ค่อยได้กิน แต่แอลกอฮอล์ตอนนั้นกินยังไม่เก่ง คือไปหาเพื่อนแล้วเพื่อนชอบกินหลายขวดเขาก็ไม่เป็นอะไรคือไม่เมา แต่เรากินไป 2-3 คำ คือหลุดโลกไปแล้ว”
ใช้ชีวิตสุดโต่งหลังได้อิสระ
“เราไม่ค่อยได้ติดต่อทางบ้านเลยเพราะว่าเรากำลังหลงกับทางโลกอยู่ หลงกับสังคมก็ไม่ค่อยได้ติดต่อทางบ้าน แม่โทร.มาเราก็บอกแม่ไม่ต้องโทร.ทุกวันก็ได้ ตอนนั้นแม่น่าจะน้อยใจ ส่วนพ่อปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่ไป
สำหรับเราที่อยู่ในกรอบตลอดเวลา และทำงานอยู่ตลอด แต่พอวันนึงไม่มีงานไปมหาวิทยาลัยเจอสังคม ไปเจอเพื่อนมันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรามันเป็นของแปลก ตอนนั้นมันเป็นจุดเปลี่ยนพลิกผันชีวิตของเรา ปาร์ตี้มีตลอดเพราะว่าเด็กมหาวิทยาลัยเนอะ แต่ว่าเราไม่ได้หลงไปกับมัน แต่สิ่งที่เราหลงไปก็คือความเป็นอิสระ เราได้อิสระของชีวิตมา อยากไปไหนก็ได้ไป ไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครรู้จักเราสบาย
ไปญี่ปุ่นคนเดียว ไปเรียนต่อเป็นเด็กทุน 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสาเหตุที่แม่ไม่ตามไปด้วย ถ้าแม่ตามมาก็ไม่มีอะไรให้แม่ทำ ซึ่งเราก็อยากไปใช้ชีวิตของเราเอง คือแม่ดูแลเราตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วพอเราไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องไปเรียนรู้กับโลกสังคม ที่ผ่านมาตัวติดกับแม่ตลอดเวลา แม่ทำทุกอย่างให้เลย เลือกเองเลยใช่ไหมว่าจะไป พ่อแม่ซัปพอร์ตเพราะว่าพ่อแม่ก็บอกตลอด ปลูกฝังในหัวว่างานในวงการบันเทิงมันเป็นแค่ชั่วคราว การศึกษาสำคัญที่สุด แล้วเราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้กินแรงอะไรเลยที่ว่าเราไปเรียนต่อ บอกว่าเราได้กำไรทางการศึกษา แล้วก็ได้เรียนรู้ที่จะอยู่แบบคนธรรมดา ซึ่งตรงนี้สำคัญที่เราได้เรียนรู้จุดนั้นแล้ว”
โลกนี้ไม่ได้สวยงามตามจินตนาการ
“ชีวิตคนธรรมดากับคนดังต่างกัน ชีวิตคนดังตอนเราเติบโตมามีชื่อเสียงแต่เราอยู่ในกรอบ มีคนโพรเทคเราตลอดเวลาเพราะฉะนั้นพอเราเติบโตมา เราไม่รู้ว่าคนที่โพรเทคเราจะคิดดีกับเราหรือไม่ คนใกล้ตัวเราแม้แต่เพื่อนต่างๆ จะคิดดีกับเราหรือไม่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักที่จะเข้าใจโลกความเป็นจริงเนอะว่า โลกนี้ไม่ได้สวยงามตลอดเวลา ที่ผ่านมาแล้วเราไม่รู้ เราคิดตลอดว่าเอ๊ะทุกคนรักกันโลกนี้เป็นสีชมพู
ตอนที่ออกมาใช้ชีวิตครั้งแรกรู้สึก Culture Shock (ความตื่นตระหนกกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง) จนจะช็อกแล้วสภาพจิตใจตอนนั้นของเราคือเศร้ามาก ได้เรียนรู้ว่าคนใกล้ชิดเราบางคนเขาก็ไม่ได้หวังดีกับเรา เราเจอทุกรูปแบบเลย ตอนเราไม่สบายแล้วเราเข้าโรงพยาบาล แล้วพอเราออกจากโรงพยาบาลก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเราทุกคนทิ้งเราไปเลย แล้วตั้งแต่นั้นมาคำพูดแม่มันโดนใจเราว่า เราไม่มีเพื่อนเนอะเพื่อนที่แท้จริง คนนึงก็ไม่มาเยี่ยมเราตอนอยู่บ้าน
ก็เลยพิสูจน์ว่าใครรักเราจริงตอนที่เราป่วย ตอนนั้นมันมืด เราเปิดหูเปิดตา โอ้โลกนี้มันมีทั้งสีขาวทั้งสีดำ ตอนนั้นรู้สึกเศร้า เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า เจ็บปวดนิดนึง มันคือความเป็นจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนั้นอายุ 27 ปี คือไม่ได้อายุน้อยๆ เลย เรียนจบมาแล้วด้วย”
มรสุมชีวิตเจอทำคุณไสย สูญเสียพ่อ-คนรัก
“ตอนนั้นคือมรสุมชีวิตมันเข้ามาหมดเลย ทั้งป่วย ทั้งเสียพ่อเสาหลัก ทั้งเสียแฟน หนึ่งปีก่อนพ่อเสีย หลังจากนั้นสภาพจิตใจเราก็เหมือนใช้กำลังเกินขนาด ออกไปปาร์ตี้ทุกวันไม่ได้พักเลย เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่ามีโรคประจำตัวขึ้นมา โอเคเราก็เลยตัดสินใจคัดคนออกจากชีวิตไปเลย จนกระทั่งอายุ 33 ปี ก็ยังไม่สบายก็ยังทรมานอยู่ ทั้งสภาพจิตใจด้วยเราว่ามันหลายองค์ประกอบผสมกัน จนได้มาเจอกับพระพุทธศาสนา เราก็ได้ฝึกจิตฝึกสมาธิฝึกสติแล้วฝึกอีกหลายๆ อย่าง แล้วก็ทำความเข้าใจกับโลกมากขึ้น มันก็เลยค่อยๆ ดีจนหายสนิทเลย
เราทรมานมา 7 ปี ทางกายมันนอนไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ ใจสั่น รู้ว่าใครทำ มีหลายคนอยู่ ถามว่าคนที่เขาทำกับเราเป็นคนที่เราไว้ใจไหม ใช่ มีทั้งคนใกล้ชิดกับคนที่อยู่สายเดียวกัน 7 ปี ที่เราอยู่กับการเวทนาทางกายตัวเอง
สภาพจิตเหมือนถูกบีบคั้นตลอดเวลาแบบเราไม่ได้พักเลย ความกังวลมันเกิดขึ้นโดยที่มีแนวองค์ประกอบทางข้างนอกบีบตลอด ไม่ได้พักผ่อน อันนี้มันเป็นอาการทางกาย ซึ่งร่างกายก็ล้าเพราะเรากินอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้พักผ่อนมันส่งผลต่อสภาพจิตต่างๆ มันก็เกิดความกังวลเวลาอาการใจสั่น หรือเวลาที่เรารู้สึกวูบ เราคิดตลอดว่าเรากำลังเป็นอะไร สองเราก็ไม่อยากให้ใครรู้ เราไม่อยากให้อาการมันไปกำเริบต่อหน้าคนอื่น ก็งงว่าอาการนี้พอมันเป็นเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน พยายามเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ไม่เคยเห็น
บีบคั้นตัวเองเหมือนจิตเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หยิกตัวเองสัมผัสตัวเองแบบยังรู้สึกไหมสติ แล้วเราก็ได้ล้มกันต่อหน้ามันวูบไปคือเราไม่รู้ตัว แล้วหลายคนทักว่าคือเราไม่เป็นตัวเองเลย เราก็ยังไม่รู้ว่าเราเป็นใครคือคำถามว่าเอ๊ะเราเป็นใครเรามาทำอะไรในโลกนี้ มันเกิดขึ้นตลอดเวลาในหัวของเรา เป้าหมายชีวิตมันเป็นหยังอยู่กับความทุกข์แบบนี้ เรามีทุกอย่างแล้วแต่ว่าเป็นหยังมันคือทุกข์แท้ ก็เลยค้นหาคำตอบเรื่อยๆ ไปโรงพยาบาลก็ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียค่าครูแล้วแพงอีกเพราะว่าเราไปทั่วแล้วก็หาคำตอบแต่ไม่เจอ แต่เรามาเจอคำตอบอยู่ที่วัด”
จิตใจตกต่ำมานานกว่า 7 ปี
“มีหาหมอไสยศาสตร์ คือได้หาทั้ง 2 ทาง แต่ว่าหลังจากที่เราแก้ตรงนี้แล้ว เราก็ต้องทำบุญเพื่อดัน เพื่อให้เราสร้างบารมีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งพวกนี้จะได้ไม่ใกล้เรา ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ทำบุญไม่เคยเข้าวัดยังกราบพระไม่เป็น เป็นคริสต์แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปโบสถ์อีกไม่ค่อยได้ไปปฏิบัติ ไม่ได้เรียนฝึกสติฝึกอะไรเลย (จนได้ไปวัดไปด้วยตัวเองด้วย?) ไปด้วยตัวเองแล้วก็ได้ไปฟังเกี่ยวกับฟังเทศนา เราก็ไม่รู้ว่าอยู่ๆ จริตเรามันก็คลิกไปเลย แล้ว 3 เดือนผ่านไป ครูบาอาจารย์ที่ไปบวชอยากนุ่มขาวห่มขาว
ก่อนเข้าพุทธก็คิดว่าเอ๊ะชุดสีขาวนี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่รู้ว่าการสมาทานศีล 8 เป็นยังไง แต่ว่าอุ้ยอยากใส่แต่มันคืออะไรไม่รู้ ก็ได้มีการแบบไหว้พระสวดมนต์ ไม่เคยไหว้พระ ไหว้พระแบบไหนก็ไม่รู้ เริ่มต้นแบบไหนไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลังจากนั้นแผ่เมตตาคืออะไร กรวดน้ำคืออะไรไม่รู้ แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้มา หลังจากบวชกลับมาก็ไหว้พระทุกวัน
7 ปีก็คือของยังอยู่กับเรา มันไม่ได้หายทันที คือเราค่อยๆ ทำบุญไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ฝึกสติชำระล้างจิตใจ มันหลายองค์ประกอบแล้วก็ได้ถอนพิษในทางกาย เพราะว่าทางกายมันมีพิษร้าย เพราะตอนช่วงที่เราป่วยเราก็กินยาแก้ปวด ยากระเพาะ ยาลำไส้ ซึ่งมันเป็นแค่เจ็บฟรีมันไม่ได้มีอาการมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก็ได้ถอนออกทุกอย่างเลย พวกเคมียาต่างๆ อาหารทุกวันนี้มีพิษหลายอย่างไม่ว่าจะในเนื้อสัตว์ ในผัก ก็ถอดพิษรักษาสุขภาพมาเรื่อยๆ มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ว่าที่สำคัญมันเป็นโรคทางสภาพจิตใจมันหายไปเลย เราเลยรู้ว่าเราไม่ได้ป่วยจิต มันเป็นอย่างอื่นที่มันกระทบและไปกระตุ้นให้เรารู้สึกไม่สบายตัวแบบไม่มีเหตุผล มันทำให้เรากังวลว่าอาการทำไมรู้สึกแปลกๆ กลายเป็นคล้ายๆ เป็นทุกโรคไปเลย”
อโหสิคนทำคุณไสยใส่
“เราก็ไม่รู้ก็ไม่อยากไปพาดพิงหรือซ้ำเติม เพราะว่าการที่เขาสร้างเขารับผลนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการอโหสิกรรม ให้อภัยไม่โกรธแค้นเพราะว่าให้มันจบชาตินี้ ถามว่าเขาทำเพื่ออะไร มีหลายๆ อย่างมันเป็นเหตุผลส่วนตัวของพวกเขา เราไม่รู้ว่าอดีตเราเคยไปทำอะไรให้พวกเขา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่แล้วเจตนาหรือไม่เจตนาเราไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่อยากไปจองเวรกลับ
ทุกวันนี้ยังเจอเขาปกติ ก็เป็นเพื่อนกันธรรมดา มองหน้าก็ไม่ได้เกลียด เราปล่อยเต็มที่ เอาตรงๆ เรารู้สึกเมตตา เพราะว่าจิตใจคนมันต้องชำระล้าง ตราบใดที่เราไม่ชำระล้างมันก็จะมีกรรมตามสนองมาเรื่อยๆ ก็ให้ได้แต่ความเมตตาแล้วก็ความหวังดี แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ไม่ง่าย แต่ว่าพยายามที่สุดแล้วพอมันเห็นผลแล้วมันคนละอย่างคือเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งไปเลย”
7 ปีที่ผ่านมาเราสูญเสียทั้งเงิน-ร่างพัง หันหน้าพึ่งธรรมะ
“ไม่อยากทำงานหาเงินเลย ไม่อยากเจอสังคม แต่ว่าสังคมสำหรับเรามองว่าอาจจะเป็นความอิ่มตัวกับสิ่งที่เราพบเจอ สังคมสมัยนี้เป็นอะไรทำไมคนถึงโหดร้าย คิดแบบผิวเผินบางคนเห็นทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ แต่มันไม่ใช่ทุกอย่างบางคนก็เป็นเพื่อนที่ดีสามารถส่งผลให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ต่างๆ ตามมาก็ได้ แต่สำหรับเราแล้วเรารู้สึกว่าตรงนี้มันมีน้อยมากในยุคนี้
หลังจากหลุดพ้นก็เริ่มต้นเซ็ตความคิดเป็นศูนย์ เริ่มต้นใหม่ ตอนนี้รู้สึกเหมือนเกิดใหม่เพราะว่า ในหัวของเราไม่ได้รู้สึกไปยึดต่อสิ่งใดแล้ว พอเราจะเริ่มรู้สึกเอ๊ะกังวลเนอะ ล่าสุดก่อนมาเมืองไทยเราเห็นหมาน้อยเกิดอยู่ที่วัดแล้วมันสั่น มันเป็นโรคไข่เห็บ เราคิดว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้มันอาจจะตาย เพราะมันน่าจะเดือนเดียวก็เลยเอาไปหาหมอเลย
เรารู้สึกกังวลเพราะเป็นห่วงเหตุผลที่ว่าหมาที่เราเอามาจากญี่ปุ่นมันตายแล้ว หลังจากนั้นเราก็ไม่เลี้ยงเลยเพราะไม่อยากผูกจิตกับใคร ไม่อยากสูญเสีย แต่พอเราเห็นหมาน้อยตัวนี้ เราได้เริ่มเทคแคร์มัน มันเป็นห่วงเรามาไทยแล้วเราไม่ได้ไปหามัน แต่ทันทีเลยจิตเรามันฟ้องขึ้นมาว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อันนี้คืออีกอันนึงจิตหนึ่งที่มันบอกเราภายในหัวอกว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามกรรมต่างๆ อะไรที่เราทำได้เราก็ทำไปแล้ว คุณงามความดีเราสร้างไปแล้ว หลังจากนั้นเราไม่ได้มีโอกาสที่จะเกิดความกังวลแบบประสาทเสียเลย คือมันดับทันทีเลย
ตอนนี้ปล่อยวางแล้ว คือมันมีแนวฟ้องว่า ตรงนี้แหละอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ซึ่งเราก็เข้าใจแล้วมันก็ปล่อยไปเอง แต่ก็ยังห่วงยังแชตถามทั้งวันว่าวันนี้น้องกินข้าวไหม อาการเป็นยังไงบ้าง แต่มันอยู่ในลิมิตและไม่กระทบเรา ชีวิตใหม่ขอบอกว่ามันดีมากๆ คุ้มใน 4 ปีที่เราปฏิบัติฝึกจิตมามันคุ้มมากๆ”
