xs
xsm
sm
md
lg

“หรั่ง รัฐธรรมนูญ” เปลี่ยนชื่อใหม่! พร้อมเปิดตัวลูกสาววัย 19 ปี แจงเหตุหายหน้าจากวงการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หรั่ง เพชรฎี” หรือ “หรั่ง รัฐธรรมนูญ” ควงลูกสาวคนสวย“น้องออมพลอย” ออกรายการครั้งแรก! เปิดใจชีวิตหลังหายหน้า พร้อมสาเหตุคัมแบ็กวงการบันเทิง เผยเรื่องราวความรักสุดอัศจรรย์กับภรรยา และความในใจที่มีต่อลูกสาว

ควงลูกสาวมาออกรายการครั้งแรก สำหรับ “หรั่ง เพชรฎี ศรีฤกษ์”หรือ “หรั่ง รัฐธรรมนูญ” ที่มาเปิดชีวิตหลังหายหน้าหายตาจากวงการ พร้อมเปิดตัวลูกสาวคนสวย “น้องออมพลอย” กับสาเหตุที่กลับมารับงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง ในรายการคุยแซ่บSHOW ทางช่อง one31 ที่มี ดีเจพุฒ พุฒิชัย และ เอส กันตพงศ์ รับหน้าที่เป็นพิธีกร

ในช่วงยุค 90 ละครที่พี่หรั่งเล่นมีเรื่องอะไรบ้าง?
หรั่ง เพชรฎี : ละครดังสร้างชื่อตอนนั้นคือตองหนึ่ง เรื่องต่อมาก็จะเป็นเงินเงินเงิน การะเกด แล้วก็จะมีเยอะมาก

พูดถึงชื่อเมื่อก่อนจะเป็น “หรั่ง รัฐธรรมนูญ” แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น “หรั่ง เพชรฎี” เปลี่ยนชื่อหรือยังหรือยังไง?
หรั่ง เพชรฎี : คือผมเป็นคนที่เกิดวันที่ 10 ธ.ค. ตรงกับวันรัฐธรรมนูญพอดี แต่เมื่อก่อนผมชื่อธรรมนูญเฉยๆ แต่มีวันนึงผมกลับไปบ้านที่คุณพ่ออยุธยาและก็ไปเล่นกับเพื่อนเพื่อนเตะฟุตบอลและพอดีผมไปสมัครประกวดไว้ แล้วเค้าก็โทรมาตาม และลิงก์สายที่วัดเค้าก็จะโทรตามว่าคุณหรั่ง รัฐธรรมนูญ รับสายหน่อย ก็เลยเก็ตขึ้นมาว่า เปลี่ยนชื่อนี้ก็น่าจะโอเคนะ

เปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว?
หรั่ง เพชรฎี : ใช่ครับ เปลี่ยนเป็น “หรั่ง เพชรฎี ศรีฤกษ์” เพราะรัฐธรรมนูญมันชอบเปลี่ยนไปเป็นมีฉบับเก่าและฉบับใหม่ มันไม่คงที่สักที ประเทศไทยชอบเปลี่ยนรัฐธรรมนูญตลอดเวลา เราก็เลยคิดว่าเปลี่ยนเป็นเพชรฎีดีกว่า จะได้มั่นคง คงทนถาวร พอเปลี่ยนแล้วก็ดีขึ้น

แล้วจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการบันเทิงคืออะไร?
หรั่ง เพชรฎี : ก็ประกวดเข้ามา ซึ่งก็มีดาราหลายคนที่ไปประกวดแล้วก็มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างที่สามารถ พยัคฆ์อรุณ พี่มอริสเค ก็ผ่านเวทีนี้มา แต่ผมเป็นรุ่นหลังๆ แล้ว

จากวันที่ประกวดใช้เวลาที่มีชื่อเสียงเยอะมากนานไหม?
หรั่ง เพชรฎี : หลังจากประกวดใช้เวลาเพียง 2 อาทิตย์เอง จากหน้ามือเป็นหลังมือ สถานีโทรทัศน์ช่องเจ็ดก็บอกว่าคนที่ได้รางวัลที่ 1-5 ต้องเข้าไปเทสหน้ากล้อง ผมก็เลยมีคอนแทคที่ช่อง ก็เลยได้เข้าไป ชีวิตก็จะหน้าหลังมือเลย

ชีวิตหลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง?
หรั่ง เพชรฎี : บางอาทิตย์คือเราต้องเข้าไปเรียนการแสดง แล้วก็เข้ามาเปิดกล้องเรื่องแรกเลยคือเรื่องตองหนึ่ง ฟีดแบ็กที่กลับมามันดีมากๆ ดีจนผมคิดว่าตัวผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ แฟนแฟนละครไปไหนมาไหนก็ตอบรับอย่างดีมาก เมื่อก่อนนี้จะมีจดหมายเค้าชอบ คลั่งไคล้เราเค้าก็ส่งจดหมายให้ ทุกวันทุกวันวันนึงไม่ต่ำกว่า 200- 300 ฉบับ อ่านไปประมาณ 90 ฉบับหลังจากนั้นก็ไม่ได้อ่าน แล้วก็ต้องมีทีมงานเตรียมไปรษณีย์ไว้ตอบกลับ

รู้สึกยังไงคุณพ่อเราดังขนาดนี้ และเคยดูผลงานของคุณพ่อไหม?
น้องออมพลอย : ก็รู้สึกประทับใจในงานคุณพ่อ คุณพ่อเป็นคนขยันเป็นคนจริงใจและสร้างผลงานดีๆ ไว้

ผลงานคุณพ่อที่ชอบดูมีอะไรมั้ย?
น้องออมพลอย : ก็เป็นละคร ละครจักรๆ วงศ์ๆ ค่ะช่วงเช้า ของช่องเจ็ดเพราะว่าหนูเกิดทัน ตอนนี้หนูอายุ 19 ปี ก็ยังทันละครอยู่ ได้ดูก็รู้สึกภูมิใจในตัวคุณพ่อ เห็นคุณพ่อทางทีวี

หลังจากที่ละครดังก็เห็นว่าหายไปเลยจากหน้าจอมันเกิดอะไรขึ้นชีวิตช่วงนั้น ?
หรั่ง เพชรฎี : ปัญหาสุขภาพครับช่วงนั้นเราถ่ายละครแทบจะไม่มีเวลา สุขภาพหัวเข่าผมจะไม่ค่อยดีมากๆ เลยเพราะผมเป็นคนชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เล็กๆ ชอบเล่นฟุตบอลตั้งแต่ตอนเล็กๆ ก็ไม่ได้นึกว่าตัวเองต้องมาถ่ายละคร เพราะฉะนั้นปัญหาหัวเข่ามันก็ค่อนข้างลามขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลต่อการทำงาน บางทีผู้กำกับให้เราทำอะไรบางทีเราก็ทำไม่ได้ เก็บไว้คนเดียว

เรื่องการนอนไม่หลับด้วยอีกสาเหตุ เราจะเป็นโรควิตกกังวลล่วงหน้า อย่างเช่นจะมีกองเปิดใหม่พรุ่งนี้ที่เราจะต้องไปเล่นเราจะต้องนอนพลิกไปพลิกมา ต้องไปเจอดาราใหม่ทีมงานใหม่ เป็นโรคที่คิดไปก่อน เมื่อก่อนเราก็คิดว่ามันเป็นแค่โรควิตกกังวลของตัวเราเอง แต่พอเวลาผ่านไปหลายปีหลายปีเราว่ามันเป็นโรคแล้วแหละ ที่แก้ไม่หายสักที ก็เลยเปลี่ยนตัวเองแก้ด้วยการที่นอนก็ปิดไฟ คาเฟอีนก็เบาลง เวลาทำกิจกรรมอื่นๆ เราก็จะเปลี่ยนท่าไม่อยู่ในท่าเดียว อย่างเช่นตัดหญ้าหน้าบ้าน ปกติเราตัดหญ้าเราก็จะได้อยู่แค่ท่าเดียวเพราะเวลาเราลุกขึ้นก็จะเหมือนฝืน

อายุเท่าไหร่ที่เรามีปัญหาด้านสุขภาพ ?
หรั่ง เพชรฎี : ประมาณ 30 กว่า มันมาเร็วมากสาเหตุมาจากเราเล่นกีฬาหนัก บางทีมันเป็นช่วงเวลาของคน คนเราถ้าใช้ร่างกายหนัก และน้ำหนักมากเกินไปมันก็จะมาถึงเร็ว

เวลาเกิดการกังวลและนอนไม่หลับส่งผลสุขภาพยังไงบ้าง ?
หรั่ง เพชรฎี : ก็โทรม ดูเหมือนไม่ได้นอน ร่างกายซูบผอม ความจำจะไม่ค่อยดี เพราะเราไม่ได้นอนไม่ได้พักผ่อนหลายวันติดกัน ต้องหาวิธีแก้ไข

นี่เป็นการออกรายการครั้งแรกของพ่อลูกคู่กันเลย ?
หรั่ง เพชรฎี : ใช่ครับ (หัวเราะ)

แต่บางคนใช้คำว่าพระเอกตกอับกับเราที่เราหายไปจากวงการ?
หรั่ง เพชรฎี : ก็ไม่ทราบเลยเพิ่งมาทราบ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองเป็นเรื่องธรรมดา การที่เรามีอาชีพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอาชีพเรามองว่ามันดีนะ กับยุคสมัยปัจจุบันนี้ที่มันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก เราทำอะไรได้ก่อนเราก็ควรจะทำ

เรื่องเข่าและอาการวิตกกังวลสามารถกลับมาทำงานได้ ?
หรั่ง เพชรฎี : ครับ กลับมาทำงานได้แล้ว แต่ผมไม่ได้ผ่าตัดนะ เพราะคนเราถ้าปวดเข่าอยู่ดีดีจะไปผ่าตัดเลยไม่ได้นะ ต้องดูอาการ 123 ว่าควรจะผ่าไหม ผมก็เคยไปหาคุณหมอนะคือคุณหมอคนแรก เค้าก็เอาเครื่องประทินผิว มาจับๆ เรานิดเดียว เราก็หาย ผมกลับมาก็ทำตัวปกติแล้วก็เล่นกีฬาเหมือนเดิม ครั้งที่สองเพราะเป็นหนักเข้า เพราะว่าครั้งนั้นผมโยนลูกบอลปลายผมคิดว่าเพื่อนหนูเข้าแน่นอน ผมโยนปุ๊บมันรู้สึกเหมือนว่าหัวเข่าเราหลุด แรงที่ส่งไปหาเพื่อนมันเบามาก ผู้รักษาประตูออกมารับสบายมาก ทำให้ผมต้องตัดสินใจไปหาคุณหมออีกครั้ง ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าไม่เป็นไรสบายๆ ในใจเราก็ว่าสบายหรอแต่ก็ไม่ได้ผ่าตัดครั้งหนึ่ง ก็มารักษาตัวเองจนถึงทุกวันนี้

ลูกสาวเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้กลับมารักงานละคร?
หรั่ง เพชรฎี : ใช่ครับ

น้องออมพลอย : อยากเห็นคุณพ่อในจออีกครั้งค่ะ

หรั่ง เพชรฎี : ในช่วงที่ผมหายไป ได้ไปมีครอบครัว พอมีครอบครัวเป็นเขาขึ้นมา เค้าเรียนอนุบาลเข้าสังคม โรงเรียนทุกคนครูอาจารย์เค้าก็ก็จะถามว่าพ่อเป็นดาราเหรอไม่เห็นคุณพ่อเล่นละครเลย ก็ไปกดดันของผมมาหลายปี เพราะหลายปีเข้าผมก็รู้สึกว่าหรือจะกลับไปเล่นละครดีนะ อย่างน้อยลูกเราก็จะได้เห็นเราในโทรทัศน์ และเราก็จะจะได้ยืนยันให้ลูกเรารู้ด้วยว่าพ่อตัวจริง เป็นนักแสดงอย่างที่คนเขาพูด ผมก็เลยกลับไปเล่นละคร แล้วละครที่ผมเล่นผมก็เลือกบริษัทที่ผมเค้าได้ว่าผมอาจจะมาช้าหน่อยเพราะต้องไปรับ-ส่งลูก ขอกลับเร็วหน่อยก็ต้องขอบคุณบริษัท

รู้สึกอย่างไรบ้างคุณพ่อมีผลงานหน้าจอ ?
น้องออมพลอย : รู้สึกดีค่ะที่เห็นคุณพ่อในจอ นั่นพ่อเรานะอยู่ในจอด้วย เวลาเราดูทีวีก็จะดูพร้อมกันกับคุณย่า ก็ขำบทบาทที่คุณพ่อเล่น พ่อก็บอกว่า ทำไปเพราะเงินทั้งนั้น

ลูกสาวมีแววที่จะเข้าวงการบันเทิงไหม ?
น้องออมพลอย : ถ้ามีโอกาสหนูก็อยากเข้าวงการบันเทิงค่ะ แต่ตอนนี้หนูยังรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อยากจะขอเวลาพัฒนาตัวเองก่อน

ถ้าลูกสาวอยากเข้าวงการบันเทิงพร้อมที่จะสนับสนุนมั้ย ?
หรั่ง เพชรฎี : ก็ต้องดูความพร้อมของเค้าว่าเค้าพร้อมหรือยัง ไม่อยากให้เป็นภาระของวงการ ไม่ปิดโอกาส ผมจะนำเสนอเขาตลอดว่าคุณมีความสุขกับอะไรถ้ามีความสุขกันอย่างนั้นก็คือทำไปเลย ขอให้อยู่ในกรอบอยู่ในสังคมที่ยอมรับได้พอ

เลี้ยงลูกมีกฎต้องมีเหตุผล ต้องมีวินัย?
หรั่ง เพชรฎี : ก็ไม่เคยถามใครเหมือนกัน

คุณพ่อดุยังไงบ้าง ?
น้องออมพลอย : โห.. ก็ให้กลับบ้านไม่เกินหนึ่งทุ่มเวลาไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อนพ่อก็จะไปรับไปส่งตลอดตั้งแต่อนุบาลจนถึงตอนนี้ เวลาไปไหนก็ต้องส่งโลเกชั่นให้คุณพ่อว่าอยู่ที่ไหน ก็จะโทรตามกับคุณแม่ตลอดว่าอยู่ที่ไหน

ทำไมถึงทำเป็นห่วงหรือว่ายังไง ?
หรั่ง เพชรฎี : เราก็เป็นคนอย่างนี้แหละ เป็นตรงไปตรงมาจริงใจต้องการความเป็นระเบียบ รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองควรจะรับผิดชอบแค่นั้นพอ ถ้าเกิดว่าเค้ารับปากกับผมว่า อย่างนี้โอเคอย่างนี้โอเคถ้าเกิดเวลาผมก็ต้องโทรไปเช็กแค่นั้นเอง

น้องออมพลอย : เราก็เคยต่อรองตลอดค่ะ กลับเลยเวลาได้ไหม คุณพ่อก็จะโกรธ ก็จะบอกว่าให้เวลาแค่นั้นไม่ใช่หรอ ทำไมถึงช้าอีกก็ต้องขอเหตุผล เราก็แค่อยากใช้ชีวิตวัยรุ่นกับเพื่อนบ้างแค่นั้น

หรั่ง เพชรฎี : พอเค้าพูดเหตุผลแบบนี้กลับมาเราก็จะเถียงไม่ออกเพราะเมื่อก่อนเราก็เป็น แต่ถ้าเค้าไม่พูดเราก็จะใส่เยอะหน่อย

ถ้าผิดกฎคุณพ่อมีงอนด้วย เราง้อยังไง?
น้องออมพลอย : ก็ซื้อขนมให้คุณพ่อค่ะ คุณพ่อต้องง้อด้วยขนม คุณพ่อจะอารมณ์ดีขึ้น อาหารมาล่อก็จะอารมณ์ดีขึ้น

กลัวลูกงอนแล้วไม่เข้าใจเราบ้างไหม ?
หรั่ง เพชรฎี : ไม่กลัวเลยครับ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยกลัว ตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่นผมก็เริ่มเซฟคำพูดของตัวเองบ้างแล้ว เพราะเราก็เข้าใจอารมณ์ของวัยรุ่นถ้าเค้าเซนซิทีฟกับคำพูดคำ เค้าอาจจะเตลิดไปไหนก็ได้ก็เลยเบาลงเบาลง แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของความดุที่เราคุมไว้ ในกฎระเบียบ

คบกับภรรยามา 21 ปีแล้ว มันคือความลับหรือเป็นเรื่องที่คนไม่รู้?
หรั่ง เพชรฎี : โดยนิสัยผมถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็จะทำตัวปกติไม่บอกใคร ถือว่าเป็นเรื่องปกติของผม ก็การคบกับภรรยาก็เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ ที่ไม่มีใครทราบ จนมีลูกก็ยังไม่มีใครทราบ อาจจะมีคนเคยเห็นหน้าแว็บๆ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่าการที่ผมคบกับภรรยา ก่อนหน้านี้ผมเคยนอนคิดนอนนึกเหมือนคนหนุ่มทั่วไป ว่าภรรยาของเราจะหน้าตาเป็นยังไง จนผมมาอยู่ในวงการผมก็ลืมเลือนไปแล้ว

มีอยู่วันนึงพอผมเข้ามาเป็นดารา รับงานไว้ที่ตรงดอนเมืองพอไปถึงก็เหมือนงานแกรนด์โอเพนนิ่ง เปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นผู้หญิงคนนี้ได้ทำงานอยู่ ลุกหน้าที่ผมเห็นครั้งแรกผมรู้สึกว่า เออ ใช่เลย เหมือนคนที่เราจินตนาการไว้เลย แล้ววันนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยโชว์ตัวไม่ได้เลย แค่อยากจะไปเจอหน้าเขาให้ชัดๆ ว่าเหมือนในความฝันผมไหม

ผมไม่เคยเล่าให้เค้าฟังเลยมีแค่เกริ่นๆ แล้วพอผ่านไป 3-4 ปี ก็โทรมาว่าไปกินข้าวกับผมหน่อยผมรู้จักสาวสวยอยู่สองคน คนที่มากินข้าวคือผู้หญิงคนนี้ แต่ผมก็ยังจำเขาไม่ได้นะจนผมมาอยู่กินกับเขา 3-4 ปีถึงจะรู้ วันนึงผมได้ทานข้าวอยู่ แล้วเค้านั่งอยู่หน้ากระจก ผมก็บอกว่าเธอฉันชอบเธอเพราะอะไรไม่รู้ แต่ใบหน้าเธอคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน เคยไปแถวดอนเมืองไหม เค้าก็หยิบรูปในลิ้นชักที่เค้าถ่ายรูปคู่กับดารามาว่าเค้าเคยทำงานอยู่ที่นั่นซึ่งมันก็ตรงเป๊ะเลยซึ่งเราก็เล่าให้เค้าฟังเค้าก็อายแบบนี้

วันนี้เห็นว่ามีเรื่องอยากบอกภรรยาและลูกสาวด้วย ?

หรั่ง เพชรฎี : ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนและอยู่เป็นแฟน เป็นลูกสาวของผมมาทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้ผมอาจจะไม่ดีพอ ที่เลี้ยงดูเขาไม่ดีแฟนอย่างผมมีบาดหมางกันบ้าง ก่อนหน้านี้ลูกสาวนั่งรถกับผมมาเขาพูดคำนึงผมรู้สึกเสียใจมาก เค้าบอกว่าป๊าเป็นดาราแต่ป๊าทำไมดูจนจังแล้วรถมันกำลังขับมาจอดอยู่หน้าบ้านพอดีเขาพูดคำนี้มันก็เลยจี๊ดขึ้นมาที่หัวใจผมเลยว่าเอ๊ะทำไมเราไม่พร้อมพอที่จะมีสิ่งมีชีวิตขึ้นมาแล้วก็เลี้ยงดูเขาให้ดี ก็อยากจะขอโทษเขาที่พ่อไม่พร้อมพอที่จะมีหนู แต่พอมีหนูขึ้นมาแล้วพ่อก็อย่างนี้แหละ ถ้าพ่อเลือกที่จะห่างหายจากวงการบันเทิงไปหนูก็จะไม่เจอพ่อแบบนี้

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama











กำลังโหลดความคิดเห็น