“ตูมตาม ยุทธนา” เปิดแผลในใจ พ่อแม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ยอมลำบากให้ลูกสุขสบาย แต่กลายเป็นปมชีวิตลูกนั่งมองพ่อแม่ลำบากเพื่อตัวเอง จนกลายเป็นคนที่ไม่ภูมิใจในตัวเอง ขอเป็นครอบครัวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ไม่อยากให้ลูกรู้สึกแบบตน
ผ่านการเป็นคุณพ่อลูกอ่อนเข้าสู่เลเวลคุณพ่อลูกเล็กมาแล้วสำหรับ “ตูมตาม ยุทธนา เปื้องกลาง” ซึ่ง ตูมตาม ได้มารีวิวประสบการณ์การเป็นคุณพ่อของตนเอง และเมื่อถามถึงการเลือกโรงเรียนให้กับลูก เจ้าตัวก็คลี่ปมในใจตัวเองออกมาเล่า ชีวิตเคยโทษตัวเองตลอด ตัวเองอยู่จุดที่สบายอยู่คนเดียว แต่พ่อแม่ลำบาก
“การเป็นพ่อลูกอ่อน ก็เป็นบทบาทใหม่ในชีวิตที่ถือว่าหนัก แต่สนุก มีชาเลนจ์อะไรใหม่ๆให้ทำตลอด ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตอีกครั้งที่สนุกส่วนใหญ่แล้วผมกับภรรยาก็จะเลี้ยงลูกกันเอง ไม่มีพี่เลี้ยง 100% ทั้งคู่ วันไหนทำงานก็สลับกันเลี้ยง เราเลี้ยงเขาในกรอบให้เขาแฮปปี้ อารมณ์ดี
เราเป็นพ่อแม่มือใหม่ก็จริง แต่เราเองก็มีบาดแผลจากการเติบโตมาเป็นเราในวันนี้ที่การเลี้ยงดูมันไม่ได้ถูกตกผลึก ถูกวิเคราะห์ออกมาเป็นเรื่องราวทางการแพทย์ ซึ่งทุกวันนี้ทางการแพทย์มีหลักการเลี้ยงเด็กให้พ่อแม่มือใหม่แบบเราพอจะได้ศึกษาและทำความเข้าใจในการเลี้ยงลูกว่าต้องพัฒนาที่อะไร อะไรต้องแข็งแรงก่อน ก่อนที่ร่างกายจะแข็งแรงจิตใจต้องแข็งแรงก่อน เราจึงเลี้ยงลูกให้มีจิตใจที่เข้มแข็งก่อน แค่เลี้ยงดูตามพัฒนาการ ตามสถานการณ์ของลูก เราไม่ต้องไปอยากให้ลูกเป็นแบบไหนตามความคิดเรา”
เมื่อถามถึงการเลือกโรงเรียนลูก “ตูมตาม” เล่าปมชีวิตเคยโทษตัวเองตลอด อยู่จุดที่สบายอยู่คนเดียว แต่พ่อแม่ลำบาก พอมีครอบครัวจึงตั้งใจร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ลั่นถ้าพ่อแม่ลำบากลูกก็ต้องลำบากไปด้วยกัน
“มันเป็นประสบการณ์จากการเลือกสังคม เลือกโรงเรียนให้ลูกของครอบครัวผม ความเป็นพ่อแม่ก็จะเอาโรงเรียนดีๆ ไปเลย เดี๋ยวหาเงินให้ อย่าลืมว่าบางทีลูกไปอยู่ในจุดที่ดี๊ดี แต่กลายเป็นว่าคนเป็นลูกอย่างผม เรารู้สึกโทษตัวเองมาตลอดที่พ่อแม่รักเราเหลือเกิน พยายามจะให้เราได้ไปอยู่ในจุดที่มันสบายและดีตลอดเวลา ในทางกลับกันพ่อแม่เรากลับอยู่ในจุดที่ทุกข์ยากลำบากตลอดเวลา
ประเด็นคือเราเห็นอยู่ตลอดเวลาด้วยว่าเขาลำบากขนาดไหน มีเราที่สบายอยู่คนเดียว วันนึงเรามีความคิด เราโตแล้ว เรามานั่งโทษตัวเองว่าเราไปริดรอนความฝันชีวิตพ่อแม่เรา เขาแทบจะไม่ได้นึกถึงตัวเองเลย พอเรามีครอบครัวเราไม่อยากจะเป็นพ่อแม่แบบนั้นแล้ว ผมจะไม่เลี้ยงลูกให้ตัวเองทุกข์ เพราะผมไม่อยากจะโยนภาระแผลในใจให้ลูก เมื่อเขามองย้อนกลับมาเห็นแต่พ่อแม่นั่งเครียด เหนื่อย ท้อ ป่วย แล้วลูกสบายอยู่คนเดียว ได้เรียนโรงเรียนดี มีเงินไปกินขนม มีเงินใช้สุขสบาย อยากได้อะไรก็ได้ แต่พ่อแม่กลับใส่แต่เสื้อผ้าขาดๆ มันคือแผลในใจของผมเลย
พอผมมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ผมบอกกับภรรยาเสมอ ถ้าพ่อแม่ลำบากลูกก็ต้องลำบาก เราจะลำบากไปด้วยกัน เราจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกันและแก้ปัญหาไปด้วยกัน ถ้าเราดีเราไปดัวยกัน เราจะไม่ปล่อยให้ใครโดดเดี่ยวบนความสบายหรือโดดเดี่ยวบนความทุกข์ เราจะไปด้วยกัน เข้าใจตรงกัน เพราะเราเป็นทีมเวิร์ก เราจะแบ่งรับแบ่งสู้ไปด้วยกัน ครอบครัวเราจะรักกันแบบนี้ ภรรยาผมเองก็โอเค เราจะไปด้วยกัน เราจะใช้ชีวิตตามจริงไปด้วยกัน”
ภรรยาเข้าใจและเห็นตรงกันว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เพื่อทลายปมในใจ ไม่อยากให้ลูกไม่ภูมิใจในตัวเองเหมือนที่ตนเคยเป็น
“กับภรรยาผมก็อธิบายให้เขาฟังว่าเราอยู่ร่วมกัน เราจะไม่ขี่หลังกัน เราจะเดินด้วยขาของตัวเอง แต่เราพยุงกันได้ เราจะช่วยเหลือกัน เราจะรับรู้ไปด้วยกัน ผมค่อนข้างซีเรียสอยู่เรื่องนึง คนที่ชีวิตมีเรื่องให้ภาคภูมิใจมากมายหลายสิ่งไม่ใช่คนที่สุขสบาย แต่เป็นคนที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ผ่านทุกเรื่องราวด้วยตัวเอง แก้ไขด้วยตัวเอง เขาเลยได้ภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ อะไรที่เป็นผลลัพธ์ในชีวิตเขามันคือสิ่งที่น่าภูมิใจทั้งหมดเพราะเขารู้ว่ามันมาได้ยังไง ไม่ว่าภรรยาหรือลูก ถ้าเขาทุกข์เดี๋ยวผมจะทุกข์ด้วย แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน ในวันที่มันดีขึ้นเราจะรู้ว่าเราผ่านอะไรกันมาบ้างและวันนี้เรามีความสุขด้วยกัน เราขอบคุณกับมันได้จริงๆ ลูกก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
นี่คือการแก้ปมในชีวิตในตัวผมเหมือนกันนะ ผมไม่อยากให้ลูกเป็นคนที่ไม่รู้จักภูมิใจในตัวเอง เพราะตอนเด็กๆ ผมก็เป็นแบบนั้น ผมเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เราตามหาสิ่งที่จะทำให้เรามั่นใจในช่วงชีวิตหนึ่ง แล้วเราก็ได้แก้ไขมัน ผมได้เข้าใจสิ่งนี้แล้ว ผมเลยรู้สึกว่าผมจะไม่ปล่อยให้ลูกผมเป็นแบบนั้น แบบที่ผมเคยเป็นมาก่อน และผมจะไม่ปล่อยให้ใครก็ตามที่ผมรักเป็นแบบนี้”
