xs
xsm
sm
md
lg

"ครูน้อย" อัจฉริยะครูเพลงตำนานสุภาพบุรุษแอบรักข้างเดียว (แต่ทำไมเมีย 11 ลูก 12)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากพูดถึงนามสกุล "โทณะวณิก" หลายคนคงจะรู้สึกว่าคนที่มีนามสกุลนี้น่าจะเกิดมาพร้อมกับความเพรียบพร้อมสมบูรณ์ ทว่านั่นไม่ใช่กับผู้ชายที่ชื่อ "ครูน้อย" สุรพล โทณะวณิก แต่อย่างใด



ครูน้อยเป็นลูกของขุนประทนต์คดี หรือ หลี โทณะวณิก และน้อย โทณะวณิก ต้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนตั้งแต่อายุ 6 ขวบหลังการเสียชีวิตของมารดา ก่อนมีโอกาสได้ติดตามพระครูคุณรสศิริขันธ์ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ถึงได้เรียนจบชั้น ม.3

ครูน้อยเคยให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตยิ่งกว่าละครน้ำเน่าของตนเองที่ต้องอดมื้อกินมื้อ นอนตามข้างถนนว่า..."ผมเป็นเด็กกุ๊ยที่สะพานพระพุทธยอดฟ้า นอนในถังขยะ นอนในหัวเรือเอี่ยมจุ๊น ในวัดอนงคาราม ที่จอดเกยตื้นอยู่ในคลองตลาดบ้านสมเด็จฯ สมัยนั้น แล้วตอนสงครามโลก นอนในกองทราย ขุดทรายลึก ๆ แล้วก็นอน ถ้าผมไม่ได้หมา ผมก็ตายไปแล้ว ฉะนั้น หมามันก็รักผม กลางคืนหน้าหนาว กอดกับมันอุ่นกว่ากอดกับคนอีก"

ปี พ.ศ. 2492 ครูน้อยไปทำงานที่โรงละครแห่งหนึ่งย่านเวิ้งนครเขษม ตั้งแต่ขัดห้องน้ำ ยกฉาก ตัวประกอบ ได้รู้จักครูเพลง นักดนตรี นักแสดงหลายคน จนมีโอกาสได้แสดงความสามารถทางการเขียนของตนเองและเริ่มเป็นที่รู้จักทั้งในบทบาทนักเขียน นักข่าว และนักแต่งเพลง

นอกจากบทเพลงอมตะหลายต่อหลายเพลงที่แสดงถึงความเป็นอัจฉริยะของครูน้อยตั้งแต่เพลงแรกที่เขียนอย่างลาแล้วแก้วตา ตลอดจน ใครหนอ, ฟ้ามิอาจกั้น, บัวน้อยคอยรัก, ในโลกแห่งความฝัน, แม่เนื้ออุ่น, ลมรัก, อยากลืมกลับจำ, จูบ และอีกมากมายแล้ว เรื่องหนึ่งที่เป็นที่เลื่องลือของครูน้อยก็คือคนเจ้าชู้ที่รักเดียวใจเดียว?

ครูน้อยเคยเล่าว่ามีภรรยา 11 คนกับลูก 12 คนซึ่งเจ้าตัวบอกเหตุผลที่ยอมรับถึงเรื่องดังกล่าวว่า..."เราคบหมดทุกคนทุกประเภท สมัยผมหนุ่มๆ บางคนท้องใหญ่ แล้วไม่มีเงินจะออกลูก ผมก็พาไปโรงพยาบาล เสียเงินไปอีก แถมลูกออกมาไม่มีพ่อ ขอร้องให้เป็นพ่อ ผมดูแล้ว อ่อ ! ลูกผู้หญิง โอเค พวกสกุลโทณะวณิก เขาจะได้ไม่ว่าเอา โตขึ้นเป็นสาว แต่งงานไปก็เปลี่ยนนามสกุลแล้ว"

"พอผมช่วยเหลือ ก็กลายเป็นคนเจ้าชู้ ลูกมากตั้ง 12 คน เกิดจาก 11แม่ ไม่ได้ทำอะไรสักคน ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปยุ่งเลย เราสงสารเขา เพราะเราเป็นลูกกำพร้ามาก่อน"

แต่คนที่เป็นรักแรกและรักเดียวของครูน้อยตามที่รู้ๆ กันก็คือ "เชอรี่" สวลี ผกาพันธุ์"

ครูน้อยเจอสวลีสาวมัธยมระหว่างที่ตนเป็นลูกน้องร้านขายเครื่องดื่มอยู่หน้าโรงเรียนมหาพฤฒาราม แต่ก็ไม่กล้าจีบ ด้วยรู้ดีถึงความต่ำต้อยของตนเองที่ไม่มีฐานะอะไรจะไปคู่ควรสาวลูกครึ่งผิวพรรณดีคนนี้เลย

พอทั้งสองพบกันอีกครั้งในฐานะคนแต่งเพลงกับนักร้อง ครูน้อยจึงลองจีบด้วยการเขียนเพลงชื่อ "ใครหนอ" ที่เริ่มต้นด้วย "ใครหนอรักเราเท่าชีวี" ให้สวลีร้อง แต่เธอไม่ยอมร้องเพราะรู้เจตนาของครูน้อย จนครูน้อยต้องไปเพิ่มส่วนเนื้อร้องที่ว่า "คุณพ่อคุณแม่" ถึงจะทำให้เธอยอมร้องเพลงดังกล่าวจนได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน

มีหลายบทเพลงที่ซุกซ่อนความรู้สึกที่ครูน้อยมีต่อสวลีแต่ที่เด่นๆ ก็คงจะเป็นเพลง "รักไม่รู้ดับ" ที่สวลีเป็นคนร้องกับเนื้อเพลงบางช่วงบางตอนที่ว่า..."ถึงจะสิ้น วิญญาณกี่ครั้ง ฉันก็ยัง รักเธอฝังใจ แม้จะสิ้น ดวงจันทร์ไฉไล ไม่เป็นไร เพราะยังมีเธอ..."

หรือจะเป็น “ในโลกแห่งความเป็นจริง เธออาจเป็นหญิงของใครไม่หวั่น แต่ในโลกแห่งความฝัน เธอเป็นของฉัน ทั้งกายและใจ” ซึ่งเป็นเนื้อเพลง "ในโลกแห่งความฝัน" ร้องโดยสุเทพ วงศ์กำแหง

ยังมีเพลง "จูบ" (จูบ คุณคิดว่าไม่สำคัญ แต่เมื่อคุณจูบฉัน..ทำไมฉันสั่นไปถึงหัวใจ) อีกเพลงที่ครูน้อยแต่งให้สวลี แต่คราวนี้ยังไงสวลีก็ไม่ยอมร้องก่อนเป็น "พิทยา บุณยรัตพันธุ์" ที่ได้ร้องเพลงนี้

ครูน้อยมักจะเล่าถึงความรักของตนเองว่าเป็นการ "แอบรักข้างเดียว" ไม่ต้องการครอบครอง จนเมื่อ "สวลี" จากไปในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ครูน้อยก็ได้โพสต์อาลัยเธออย่างลึกซึ้งว่า "แด่คุณเชอรี่ สวลี ผกาพันธุ์ ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง จากคนที่เคยรักข้างเดียวเสมอมา ตราบกระทั่งวันนี้"

6 โมงเช้าของวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ครูน้อยในวัย 99 ปีได้จากโลกนี้ไป เชื่อว่าคงจะไม่มีประโยคไหนอีกแล้วที่จะเป็นคำอาลัยเพื่ออวยพรดวงวิญญาณของบรมครูเพลงอัจฉริยะศิลปินแห่งชาติชายที่มีแต่ความรักข้างเดียวต่อหญิงอันเป็นที่รักคนนี้ได้ดีไปกว่าท่อนสุดท้ายของเพลง "รักไม่รู้ดับ" ที่ว่า..."ถึงโลกแตก แหลกราญสิบครั้ง ฉันก็ยัง หวังใจรอคอย แม้นจะสิ้น วิญญาณเลื่อนลอย ก็จะคอย พบเธอชาติอื่นเอย..."



กำลังโหลดความคิดเห็น