วันที่ 8 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 14.00 น. ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์ไปในการพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” อดีตพระเอกภาพยนตร์แถวหน้าของวงการภาพยนตร์ไทย และศิลปินประติมากร ผู้บุกเบิกการปั้นหุ่นรูปเหมือนคนบันเทิง ที่เสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 ด้วยภาวะหัวใจขาดเลือด ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ สิริอายุ 82 ปี 8 เดือน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแก่ครอบครัวผู้วายชนม์
บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า โดยในช่วงเช้า เวลา 10.00 น. มีพิธีแสดงพระธรรมเทศนา สวดมาติกา บังสุกุล ถวายภัตตาหารเพล จากนั้นเวลา 12.30 น. ทำการเคลื่อนร่างไปยังเมรุ เพื่อประกอบพิธีเผาจริงในเวลา 14.30 น. ภายในงานมีครอบครัว ญาติสนิท รวมถึงคนในวงการบันเทิงเดินทางมาร่วมไว้อาลัยส่งดาวคืนฟ้าเป็นจำนวนมาก อาทิ รอง เค้ามูลคดี, กรุง ศรีวิไล, ก้อย ทาริกา ธิดาทิตย์, ครรชิต ขวัญประชา, อมรา อัศวนนท์, ธานินทร์ อินทรเทพ, ฤทธิ์ ลือชา, พิมพ์แข กุญชร ณ อยุธยา, กอบสุข จารุจินดา, ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา, ณัฐนี สิทธิสมาน ฯลฯ โดยครอบครัวได้นำหุ่นปั้นอายอดชายมาตั้งไว้ด้านหน้าเมรุด้วย
โดยลูกของ “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” ทั้ง 3 คน ได้แก่ โน้ต วรรธนศม เมฆสุวรรณ, หนุ่ม ชมวิชัย และ นนท์ วงศ์สมรรถ ได้เปิดใจกับสื่อมวลชน ถึงวันที่ต้องจากลาพ่อแล้วนิรันดร์
โน้ต : “ทางครอบครัวเมฆสุวรรณ ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ ที่ในหลวงท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษครับ ส่วนเราก็เต็มที่ตลอด 100 วันที่ผ่านมา ทั้งเรื่องหนังสือที่มีทั้งอีบุ๊กและตีพิมพ์ เราสรุปภาพรวมจากสิ่งที่คุณพ่อเคยบันทึกไว้ เป็นกิมมิคในชีวิตท่าน แล้วก็มีภาพประกอบด้วย
วันนี้ตอนเช้าพอพระท่านเทศน์เสร็จ เราก็นั่งดูรูปพ่อ อันนี้มันเป็นความคิดที่พ่อเคยบอกไว้ ตั้งแต่เราไปประทับนิ้วมือนิ้วเท้ากับคุณพ่อที่หอภาพยนตร์แห่งชาติปี 2552 พ่อเขาเขียนไว้ก่อนที่จะปั๊มมือ ว่าสักวันทุกอย่างก็จะกลายเป็นอดีต ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจ แต่พอถึงวันนี้เรารู้สึกเลยว่าพ่อคิดล่วงหน้าหลาย 10 ปี
พอเราได้ไปอ่านไดอารี่ของพ่อที่เขาเขียนตั้งแต่เด็ก เราก็รู้สึกว่าจริงๆ เขาคิดได้ตั้งแต่เขาอยู่วัดตอนเด็กๆ เลย เขาคิดว่าโลกนี้มันแป๊บเดียว ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่นอน ใครจะรู้ว่าพระเอกสองคน คุณเอ๋ ไพโรจน์ กับ ยอดชาย เมฆสุวรรณ จะมาอยู่ศาลาข้างๆ กัน ตอนนั้นอาเอ๋ยังมางานคุณพ่อ ยังนั่งคุยกันอยู่เลย คุณพ่อก็สอนเราให้รู้ว่ามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดา”
หนุ่ม : “ความรู้สึกตอนแรก ก็บอกตามตรงเลยว่าทำใจไม่ค่อยได้ แต่พอระยะเวลาผ่านไป เราก็มีภาพหลายๆ ภาพที่ย้อนเข้ามาในความคิด ตลอดในชีวิตคุณพ่อเขาทำบุญเยอะมาก เราก็เชื่อมั่นเหลือเกินในบุญกุศลของคุณพ่อ เราก็เลยไม่ห่วงท่านเลย”
โน้ต : “หลังๆ เราตระเวนทำบุญกัน ปล่อยปลา ปล่อยสัตว์ ถ้าทำบุญใหญ่คุณพ่อเขาก็ได้จะเชิญเพื่อนมา แล้วทุกคนที่ให้ซองมา เราก็เอาไปร่วมสร้างพระประทาน”
นนท์ : “ก็รู้สึกดีใจครับที่คุณพ่อได้ทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ประติมากรรมชิ้นสุดท้าย ผมก็ได้มีโอกาสช่วยคุณพ่อปั้นในส่วนของฐานด้วย”
โน้ต : “พิพิธภัณฑ์ของคุณพ่อ ตอนนี้เราก็ต้องช่วยกันดู เพราะคนเดียวไม่ไหว เพราะคุณพ่อเขาเป็นคนละเอียด ก็ภูมิใจที่คุณพ่อเป็นลูกผู้ชายตัวจริง มีสัจจะบารมีสูง พูดอะไรต้องทำให้ได้ อย่างพิพิธภัณฑ์นี้ที่มันเกิดขึ้น ก็เพราะเขาทั้งสัจจะไว้ เขาเคยป่วยหนัก แล้วฝันว่าท่านพยายมมาหา ในฝันพ่อเขาก็บอกว่าเขายังไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย ขอทำประโยชน์ก่อนแล้วค่อยมาเอาชีวิตเขาไปก็ได้ ก็อยากบอกว่าคุณพ่อว่าลูกทุกคนรักคุณพ่อ รักแบบไม่มีเงื่อนไข ชาติหน้าฉันใดได้เกิดมาเจอกัน ก็ขอตอบแทนบุญคุณที่พ่อทำให้เราทั้งสามคนครับ”
หนุ่ม : “ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อครับ รักคุณพ่อคุณแม่มากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะตอบแทนให้มากกว่านี้ในชาติหน้าครับ”
