สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน สิ่งหนึ่งที่มักจะตามมาพร้อมกับรายได้คงหนีไม่พ้นเรื่อง "ภาษี" โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ใกล้ยื่นภาษีประจำปี หลายคนอาจเกิดคำถามและความสงสัยว่า "ใครบ้างที่ต้องเสียภาษี? รวมถึงมีเกณฑ์อะไรที่เราต้องรู้บ้าง?"
เพื่อช่วยให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนมือใหม่เข้าใจเรื่องภาษีเงินได้บุคคลให้มากขึ้น บทความนี้ได้รวมสิ่งที่คุณควรรู้มาให้แล้ว ไปติตตามกันเลย
ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา?
โดยหลักการแล้ว คำตอบของคำถามที่ว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษี สามารถตอบได้ว่า ทุกคนที่มีเงินได้พึงประเมิน (รายได้ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี) ตามที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ไม่ว่าจะมีภาษีที่ต้องชำระหรือไม่ก็ตาม
สำหรับมนุษย์เงินเดือน เงินได้พึงประเมินหลักๆ คือ "เงินเดือน" หรือเงินได้ประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการทำงานให้กับนายจ้าง แต่ยังรวมถึงรายได้อื่นๆ เช่น ค่าจ้าง ค่าตอบแทน โบนัส เบี้ยเลี้ยง ค่าล่วงเวลา หรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงาน
เกณฑ์สำคัญที่มนุษย์เงินเดือนควรรู้ว่าต้องยื่นภาษีหรือไม่ มีดังนี้
กรณีมีเงินได้จากแหล่งเดียว (มีนายจ้างคนเดียว)
มีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาทต่อปี: หากคุณได้รับเงินเดือนหรือรายได้อื่นๆ จากนายจ้างรวมกันตลอดทั้งปีภาษี (1 มกราคม - 31 ธันวาคม) แล้ว หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ แล้ว เหลือเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท คุณจะต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า
มีเงินได้รวมทั้งปีเกิน 120,000 บาท (แม้ไม่มีภาษีต้องชำระ): แม้ว่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว คุณจะไม่มีภาษีต้องชำระ (เช่น เงินได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาท) แต่หาก มีเงินได้รวมทั้งปี (ก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) เกิน 120,000 บาท คุณก็ยังมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเช่นกัน
มีเงินได้รวมทั้งปีเกิน 60,000 บาท (กรณีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินอื่นนอกเหนือจากเงินเดือน เช่น ค่าคอมมิชชั่น, ค่าที่ปรึกษา, ฯลฯ และคุณเป็นโสด)
กรณีมีเงินได้จากหลายแหล่ง (มีนายจ้างหลายคน หรือมีรายได้เสริม)
มีเงินได้รวมทั้งปีเกิน 60,000 บาท (กรณีโสด): หากคุณมีรายได้จากหลายทาง เช่น ทำงานประจำและรับงานฟรีแลนซ์เพิ่มเติม และมีรายได้รวมกันตลอดทั้งปีเกิน 60,000 บาท คุณมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี
มีเงินได้รวมทั้งปีเกิน 120,000 บาท (กรณีมีคู่สมรส): หากคุณมีสถานภาพสมรส และมีเงินได้รวมกันทั้งปีเกิน 120,000 บาท คุณมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี (โดยปกติคู่สมรสจะยื่นรวมกันหรือแยกยื่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม)
สรุปง่ายๆ ว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษี
ถ้าเงินเดือน/รายได้ทั้งปี ไม่เกิน 120,000 บาท (กรณีโสด) หรือ 220,000 บาท (กรณีมีคู่สมรส) ไม่ต้องยื่นภาษี (แต่กรณีมีเงินได้จากหลายแหล่ง อาจมีข้อยกเว้นบางกรณี)
ถ้าเงินเดือน/รายได้ทั้งปี เกิน 120,000 บาท (กรณีโสด) หรือ 220,000 บาท (กรณีมีคู่สมรส) ต้องยื่นภาษี (ถึงแม้จะไม่มีภาษีที่ต้องชำระก็ตาม)
ถ้าเงินได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อน) เกิน 150,000 บาท ต้องเสียภาษี
ข้อกำหนดและสิ่งควรรู้สำหรับมนุษย์เงินเดือน
เมื่อได้รู้แล้วว่าใครบ้างที่ต้องยื่นภาษีและอาจต้องเสียภาษี สิ่งสำคัญถัดมาคือการทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
รอบระยะเวลาบัญชีภาษี: ปีภาษีของบุคคลธรรมดาคือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของทุกปี
กำหนดเวลายื่นภาษี:
ยื่นแบบกระดาษ: ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป
ยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร: ภายในวันที่ 8 เมษายน ของปีถัดไป (มักจะขยายเวลาให้ถึง 8 เมษายน)
การยื่นภาษีล่าช้า: จะมีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย
เงินได้พึงประเมิน (มาตรา 40): เงินได้ที่ต้องนำมายื่นภาษีแบ่งเป็น 8 ประเภท มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จะมีเงินได้ประเภทที่ 1 (เงินเดือน, ค่าจ้าง, โบนัส) แต่หากมีรายได้เสริมอื่นๆ เช่น ค่าเช่า (ประเภทที่ 5), เงินปันผล (ประเภทที่ 4), หรือเงินได้จากวิชาชีพอิสระ (ประเภทที่ 6) ก็ต้องนำมารวมคำนวณด้วย
ค่าใช้จ่าย: กฎหมายอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามประเภทของเงินได้ สำหรับเงินเดือนจะหักได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อน: เป็นสิทธิที่ช่วยลดหย่อนภาระภาษี แบ่งเป็นหมวดหมู่หลักๆ ดังนี้:
ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส: 60,000 บาท (กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่รวมยื่นและเงินได้ไม่เกิน 60,000 บาท)
ค่าลดหย่อนบุตร: บุตรคนที่ 1 และ 2 หักได้คนละ 30,000 บาท บุตรคนที่ 3 เป็นต้นไป หักได้คนละ 60,000 บาท (มีเงื่อนไขเรื่องอายุและการศึกษา)
ค่าลดหย่อนบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท (มีเงื่อนไขเรื่องอายุและรายได้ของบิดามารดา)
เบี้ยประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ: สูงสุด 100,000 บาท (เบี้ยประกันสุขภาพสูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน/ประกันสังคม: ตามที่จ่ายจริง
เงินบริจาค: หักได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ (มีประเภทที่หักได้ 2 เท่า หรือ 1.5 เท่า)
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย: ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 90,000 บาท
ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ: เช่น ช้อปดีมีคืน (มีเป็นบางปีตามนโยบายภาครัฐ)
เอกสารสำคัญ:
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ): เอกสารสำคัญที่นายจ้างออกให้ เพื่อแสดงรายได้ที่ได้รับและภาษีที่ถูกหักไปแล้วตลอดทั้งปี
เอกสารประกอบค่าลดหย่อนต่างๆ: เช่น ใบเสร็จค่าเบี้ยประกัน, ใบรับรองการบริจาค, หลักฐานการกู้ซื้อบ้าน
ช่องทางการยื่นภาษี:
ออนไลน์: ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) สะดวก รวดเร็ว และมักจะมีการขยายเวลายื่น
ยื่นด้วยตนเอง: ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา
ยื่นผ่านตัวแทน: เช่น ผู้ทำบัญชี หรือสำนักงานบัญชี (มีค่าธรรมเนียม)
การทำความเข้าใจเรื่องภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนมือใหม่รู้ว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษี จะได้วางแผนการใช้เงินได้อย่างถูกต้อง และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เพื่อลดภาระภาษีให้มากที่สุด
