xs
xsm
sm
md
lg

“ดี้ ปัทมา” ร่ำไห้ ยังติดค้าง “เอ๋ ไพโรจน์” ไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ดี้ ปัทมา” รับเสียใจยังไม่ทันตอบแทนบุญคุณ “เอ๋ ไพโรจน์” ที่มอบโอกาสพาเข้าสู่วงการบันเทิง เผยเหตุการณ์ครั้งนี้สะเทือนใจเหมือนคุณพ่อเสียชีวิต ลั่นหลังจากนี้จะไม่คิดลังเลที่จะตอบแทนบุญคุณใครอีกแล้ว พร้อมช่วยเหลือครอบครัวเต็มที่

เป็นอีกหนึ่งความสูญเสียของวงการบันเทิง หลังจากที่อดีตพระเอกชื่อดัง “เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร” เสียชีวิตกะทันหัน จากภาวะแทรกซ้อน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน สิริอายุ 72 ปี สร้างความโศกเศร้าแก่คนบันเทิงและแฟนคลับเป็นอย่างมาก

ด้าน “ดี้ ปัทมา ปานทอง” ที่มาร่วมรดน้ำศพ อาลัยรักครั้งสุดท้าย ถึงขั้นหลั่งน้ำตา ยกเป็นบุคคลที่มีบุญคุณเป็นผู้ที่ให้โอกาสตนได้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก เสียใจที่สุดไม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ

“เราก็ได้บอกพี่เอ๋ไปว่า เราได้มาส่งพี่เอ๋มารดน้ำทำความเคารพแล้ว ก็มาขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านมา ที่เคยมีกระทบกระทั่งกันก็เลยมาอโหสิกรรมให้กันในวันสุดท้าย”

ขอบคุณ เอ๋ ไพโรจน์ ที่มอบโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิง เสียใจไม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ
“คือถ้าไม่มีพี่เอ๋ในวงการก็คงไม่มี ปัทมา ปานทอง ชื่อนี้จริงๆ เต็มๆ ของเราชื่อว่า ปัทมาวดี แล้วตอนหนังใกล้ๆ จะฉาย พี่เอ๋เขาพูดว่าปัทมาวดีมันยาวไป มันเชยมันเหมือนนางเอกลิเก ก็เลยตัดวดีออก เหลือแต่ปัทมา ก็รู้สึกสำนึกในบุญคุณนี้ตลอดเวลา แล้วเราก็มักจะบอกทุกคนว่าถ้าไม่มีพี่เอ๋ ไพโรจน์ ที่ให้โอกาสเราถึง 2 ครั้ง ในวัยที่เราประมาณ 9 ขวบ 1 ครั้ง 

อีกครั้งหนึ่งพี่เอ๋ทำหนังใหญ่เอง พี่เอ๋ก็มาตามเรากลับไปเล่นเป็นนางเอก เราก็ไม่รู้จะเรียกบุญคุณนี้ว่าอะไร มันเหมือนพ่อแม่เราคนนึงที่กำเนิดเรามา โอเคในช่วงกลางทางอาจจะไม่ได้เจอกันเพราะทุกคนก็มีภาระ มีชีวิตของตัวเองที่จะต้องไปสู้รบ แต่พอเราเหมือนชีวิตเริ่มผ่อนแล้ว เราก็เริ่มสบายขึ้นก็เริ่มมีเวลาให้คนรอบข้าง ให้ครู ให้อาจารย์ ให้เพื่อน ให้อะไรมากขึ้น แต่พี่เอ๋กลับไม่รอ พี่เอ๋ก็หนีสบายไปก่อนแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าเรายังติดค้างบุญคุณนี้อยู่

เราถือว่าเราโชคดีที่ได้โอกาสนั้นถึง 2 ครั้ง มันหายากมากนะการที่เราจะอยู่จะได้เป็นดาราเลยมันเหมือนฝันมากกว่า พี่เอ๋สอนทุกอย่าง สอนการแสดง แล้วให้ภรรยาคือพี่ปอนด์พาไปลดความอ้วน ซื้อเสื้อผ้า คือแบบถ้าพ่อแม่ให้กำเนิดเรา พี่เอกกับพี่ปอนด์ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเรา อย่างน้องเบสก็อุ้มมาตั้งแต่แบเบาะ พอเราเลิกเรียนตอนเย็นเราก็ต้องนั่งรถไปที่บ้านพี่ปอนด์ไปเรียนการแสดง ไปลดความอ้วนอะไรแบบนี้”

ขอบคุณให้โอกาสโดยการแนะนำให้ค่ายหนังไฟว์สตาร์ชวนไปร่วมงาน
“ตอนนั้นฝากเข้าวงการ มันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก ตอนนั้นพี่เอ๋ดังมากด้วย อลวน รักอุตลุด แล้วเราก็วิ่งไปดูดารา พี่เอ๋เอารถมาซ่อมแถวบริเวณที่แม่เราขายของ แล้วเราก็ได้ยินเขาตะโกนกันว่าไพโรจน์ มาๆ เราก็วิ่งไปดู ด้วยความที่คนจนก็รู้สึกว่าแม่คงพูดไปแบบไม่ได้คาดคิดว่ามันจะได้ แม่บอกว่าพอพี่เอ๋เดินผ่านหน้าร้าน แม่ก็บอกว่าคุณไพโรจน์คะฝากน้องเล่นหนังด้วยคน พี่เอ๋เขาก็หยุดมอง เราอาจจะโชคดีเพราะเราเป็นเด็กหน้าตาออกฝรั่งๆ แก้มยุ้ยๆ แดงๆ พี่เอ๋ก็ถามเราว่าเล่นได้เหรอ เราก็บอกว่าเล่นได้ค่ะ เป็นเด็กไม่กลัวคน พี่เอ๋ก็บอกโอเค แล้วพี่เอ๋ก็ไป เราก็คิดว่าทุกอย่างมันคือจบ

เราก็เรียนหนังสือช่วยแม่ขายของไปตามชีวิตเรา ผ่านไปไม่นานจริงๆ ค่ายหนังไฟว์สตาร์ส่งคนมาตรงที่แม่ขายของแล้วก็ให้เราไปเทสหน้ากล้อง ตอนนั้นเราประมาณ 8-9 ขวบ เราก็แบบอะไรเทสหน้ากล้องไม่รู้จัก แต่ก็ไป เขาให้ทำอะไรเราก็ทำ สรุปก็คือได้เล่น เราเองก็ไม่ได้เจอพี่เอ๋อีกเลย เพราะพี่เอ๋ก็คือทำงานของพี่เอ๋ ส่วนเราก็ทำงานของเรา แล้วเราก็เด็กมากไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับสิ่งนี้

เหมือนพี่เอ๋ไปบอกกับไฟว์สตาร์ว่ามีเด็กอย่างนี้ๆ อยู่ตรงนี้ น่าสนใจ ไปพามาดูสิ เพราะรูปถ่ายก็ไม่มีไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีมือถือ เราก็โอเคไปเทสหน้ากล้องแล้วได้เล่น เล่นหนังเรื่องแรกเสร็จเราก็กลับไปเรียนหนังสือต่อก็จบ ซึ่งเราก็คิดว่าจบแต่มันไม่จบพอผ่านไปอีก 5 ปี พี่เอ๋กลับมาตามที่เดิม ให้ไปเทสหน้ากล้องเล่น เด็ดหนวดพ่อตา เป็นหนังเรื่องแรกของพี่เอ๋”

บอกพอทราบถึงอาการป่วยมาบ้าง
“คือตอนที่เราถ่ายละครกับพี่เอ๋ของช่อง 7 เรื่อง มาดามบ้านนา ก็พอจะทราบว่าพี่เอ๋ทำบายพาสหัวใจมาแล้ว คือเราเข้าใจว่าทำบายพาสแล้วมันก็ดีแล้วเนาะ แล้วพอหลังๆ ไม่ได้คุยกันเรื่องเจ็บป่วยเลย คือในความเป็นเรากับพี่เอ๋มันจะมีความเคารพที่มากมายอยู่ เราจะไม่กล้าพูดเล่นเหมือนเพื่อนดารา เราจะรู้สึกเกรงใจเราจะเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า”

เหตุการณ์ครั้งนี้สะเทือนใจเหมือนคุณพ่อเสียชีวิต
“เหมือนพ่อเสียชีวิตเพราะอ่านไลน์แล้วก็คือร้องไห้และก็คิดว่าไม่จริงหรอก เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวปลอมมันเยอะ ก็เลยโทร.หาเบส เบส (ลูกสาวเอ๋ ไพโรจน์) บอกจริงเมื่อวานทั้งวัน (ทำท่านิ่งๆ) มันก็คงเป็นอะไรไม่ได้ เราก็ต้องรับรู้ เรามีชีวิตอยู่ตอนนี้เหมือนพี่เอ๋เป็นตัวอย่างให้ทุกคนว่า อย่าดูว่าร่างกายเราแข็งแรงภายนอก เราก็ต้องดูแลภายในร่างกายของเราด้วย แล้วก็อย่าประมาทเพราะว่า หัวใจมันสามารถเสียได้ทุกนาทีจริงๆ”

หลังจากนี้จะไม่คิดลังเลที่จะตอบแทนบุญคุณใคร
“เรารู้สึกว่าในระหว่างทาง เวลาพี่เอ๋ทำละครเราก็จะได้ไปเล่นไปช่วย แต่ว่าเป้าหมายจริงๆ ของเรา เราตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะต้องไปสวัสดีปีใหม่พี่เอ๋ จะโทร.ไปพูดว่าอะไรดี ทำนองพี่เอ๋คะก็ไม่กล้า ก็เลยแบบเอ๊ะเขาอยู่ไหน ก็รู้สึกผิดไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ก็ไปไหว้พี่ปอนด์ภรรยาพี่เอ๋แทนได้ ก็คือดูแลน้องๆ ไป

บอกตัวเองเลยว่าจากวันนี้ จะไม่รออะไรอีกแล้ว ถ้าอยากทำอะไรต้องทำ จะไม่รู้สึกว่าอย่าเลยเกรงใจ ไม่อย่างนั้นมันคาใจมากจริงๆ รอไปไหว้คนตั้งเยอะตั้งแยะ เรามีความสามารถเราเดินได้เราขับรถได้ แต่เราแค่ไม่มีความกล้าที่เราจะไปบอกว่าพี่เอ๋คะวันนี้อยู่ไหนคะจะเข้าไปสวัสดีปีใหม่ มันไม่กล้ามันฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อ เหมือนเราโตมากับพี่เอ๋ พี่เอ๋จะเป็นคนเงียบๆ สมัยก่อนจะไม่ค่อยคุยเล่น เราก็จะคุยเล่นกับพี่ปอนด์เราก็จะกลัวและเกรงมากกว่า

ขนาดตอนเรากลับมาเล่นละครกับพี่เอ๋เรื่องแรก ผ่านไปเป็น 10 ปีแล้ว แรกๆ ก็คือแบบพูดบทไม่ได้ มันเหมือนเราเกร็งอาจารย์เกร็งบารมีเกร็งไปหมด ผ่านไปคิวแรกคิวที่ 2 ก็เริ่มดีขึ้น แต่ระหว่างวันก็ไม่ได้คุยเล่น แค่เข้าไปสวัสดีค่ะ มันเป็นความเคารพรักมากกว่า ความสนิทแบบหยอกเอิน”

ยก เอ๋ ไพโรจน์ เป็นตัวอย่างที่ดีในการให้โอกาสคน จากนี้หากมีโอกาสที่จะสามารถมอบให้ใครก็จะทำ
“พี่เอ๋เป็นต้นแบบของความพยายาม พี่เอ๋พยายามทำทุกอย่างตั้งใจทำทุกอย่าง แล้วสิ่งที่เราได้มาจากพี่เอ๋เลย แบบร้อยเปอร์เซ็นต์คือโอกาสเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคน เมื่อไหร่ถ้าเรามีโอกาสเราจะให้โอกาสกับคนอื่น เหมือนที่เราเองก็เคยได้รับจากพี่เอ๋ มันสำคัญที่สุดต่อให้เรามีฝีมือ แต่เมื่อไหร่ที่เราไม่เคยมีโอกาสเราจะไม่ได้แสดงมันออกมา

จริงๆ ต้องบอกว่าพี่เอ๋สบายไปแล้ว เมื่อกี้ก็คุยกับเบสว่า มีอะไรที่เราช่วยได้บอกเรา เราจะช่วยอย่างเต็มที่ถ้าเราช่วยได้ ก็ไม่ต้องเกรงใจเพราะว่าเราก็รู้สึกว่าเราก็ได้จากพี่เอ๋มาเยอะ หมายถึงว่าการให้อาชีพคนมันดีกว่าให้เงิน มันดีกว่าให้ของรางวัลอะไรมาก ถ้าเราได้ช่วยอะไรน้องหรือเป็นประโยชน์กับครอบครัวพี่เอ๋ได้เราก็อยากจะทำ”















กำลังโหลดความคิดเห็น