xs
xsm
sm
md
lg

ลูกสาวร่ำไห้ช็อก “พ่อเอ๋ ไพโรจน์” เสียชีวิตกะทันหัน ลิ้นแข็ง 3 อาทิตย์ก่อนจากไป สานต่อ “ย่าม่าน” หนังเรื่องสุดท้าย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เบส ปณิชา” ร่ำไห้สูญเสีย “พ่อเอ๋ ไพโรจน์” รับยังช็อก พ่อจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยภาวะแทรกซ้อน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ลั่นใส่ใจสุขภาพ การกิน การนอน ออกกำลังกาย ผิดปกติลิ้นแข็ง 3 อาทิตย์ก่อนจากไป เตรียมสานต่อภาพยนตร์ ย่าม่าน หนังเรื่องสุดท้ายตามเจตนารมณ์เดิมให้สำเร็จ ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่ซัปพอร์ตคุณพ่อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

จากกรณี "เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร" อดีตพระเอกยอดนิยมและผู้กำกับภาพยนตร์ละคร วัย 72 ปี เสียชีวิตกะทันหันกลางดึก ของวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ล่าสุดวันนี้ทางครอบครัวได้เคลื่อนร่างไปบำเพ็ญกุศล โดยมีพิธีรดน้ำศพและสวดอภิธรรม ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร ก่อนจะมีการฌาปนกิจในวันจันทร์ที่ 9 มิ.ย. 2568

ด้าน “เบส ปณิชา” ลูกสาว “เอ๋ ไพโรจน์” ได้ออกมาเปิดใจทั้งน้ำตาถึงการจากไปของคุณพ่อ โดยเจ้าตัวเผยว่า คุณพ่อเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน รับห่วงหนังยังสร้างไม่เสร็จ

“ทุกอย่างกะทันหันค่ะเพราะปกติพ่อจะแข็งแรงอยู่แล้ว พ่อเคยทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจตอนปี 2547 หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจ็บป่วยหรือเข้าโรงพยาบาลอะไรเลย แล้วก็ไปเรียนเรื่องการดูแลสุขภาพอาหารการกิน การออกกำลังกายเท่าไหนเหมาะสม การนอนแบบไหนดี ก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดแล้วก็ไม่มีอาการเจ็บป่วย แต่เพิ่งจะเริ่มมีอาการเมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้ว ที่รู้สึกว่าเวลาเขาพูดลิ้นจะแข็งๆ ตอนนั้นพ่อก็ไปหาคุณหมอแล้วทางคุณหมอก็ให้ยาขยายหลอดเลือดมา ซึ่งระหว่างที่ทานยาขยายหลอดเลือดอาการก็กลับมาปกติ ก็เลยคิดว่าการที่ทานยามาเรื่อยๆ มันควบคุมอาการได้ ก็ไม่ได้นึกถึงอะไรอย่างอื่นตอนแรกคิดว่าเป็นสโตรก (ภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบอุดตัน) อย่างที่บอกว่าอยู่ๆ ก็วูบ

คุณหมอให้ยาขยายหลอดเลือดคิดว่าหลอดเลือดมีปัญหา แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นจากสมองหรืออะไร ก่อนหน้านี้คุณพ่อก็แข็งแรงเวลาเจอเพื่อนก็จะให้กำลังใจเพื่อนทุกคน ก็บอกวิธีการกินการใช้ชีวิต ซึ่งพ่อก็ผู้อธิบายแนะนำคนอื่นได้อย่างดี”

บอกคุณพ่อเป็นคนแข็งแรกมาก ออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ
“จริงๆ แกใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้มีอะไรหักโหมมากขึ้นหรือน้อยลง คุณพ่อแข็งแรงมากค่ะ ทุกวันคุณพ่อก็จะเดินสายพาน ถ้าลูกโทรหรือเพื่อนโทร.ใครโทร.ไปตอนที่ออกกำลังกายเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวโทร.กลับเดี๋ยวขอออกกำลังกายก่อนเพราะคุณพ่อรู้สึกว่าต้องทำสิ่งนี้ให้จบก่อน

เขาออกกำลังกายตลอดเวลาค่ะ ตลอดเขาจะมีสายพานที่ห้องนอนเขาเลย เขาจะเดินทุกวันแล้วจะดูหนังทุกวันระหว่างเดิน ตอนที่คุณพ่อจะเสียก็ยังปกติ สัญญาณก็ไม่มีค่ะก็มีเท่าที่บอกประมาณ 3 อาทิตย์ คือถ้าเขารู้สึกไม่สบายหรือไม่ปกติเขาก็ไม่กล้าขับรถเอง เขาขับรถไปเองแล้วก็มีเพื่อนนั่งไปด้วยวันนั้น”

ยังไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ
“คือคุณพ่อมีเพื่อนที่มาจากใต้ด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็มีเพื่อนอีกส่วนหนึ่งทำงานมีโรงงานอยู่ที่โคราช เพื่อนอีกฝั่งนึงก็จะทำเกี่ยวกับอะไหล่เครื่องจักรโรงงาน เขาก็เลยนัดเพื่อนมาเจอกัน ก็เลยพาเพื่อนที่มาจากใต้ไปด้วย ก่อนที่พ่อเดินทางเราก็ยังอยู่ด้วยกัน เขาก็มีบอกกับเราว่าไปกับเพื่อน ก็บอกชื่อว่าไปกับคนนี้”

รับตกใจคุณพ่อจากไปกะทันหัน
“เท่าที่ทราบคือคุณพ่อมีทานข้าวกับเพื่อนหลายกลุ่ม เลิกจากกลุ่มนี้ 5 โมงก็ไปอีกกลุ่มนึง เท่าที่รู้ตอนช่วงดึกๆ ก็วูบไปทางที่พักที่โรงแรมก็นำส่งโรงพยาบาล คิดว่าตอนที่นำส่งโรงพยาบาลตอนนั้นน่าจะไม่ทันแล้ว คุณพ่อนอนอยู่คนเดียว (ตอนที่คุณพ่อวูบไปพนักงานไปเห็นหรือยัง?) อันนี้ไม่ทราบ เราไม่ได้เป็นคนที่รู้แรกๆ โทรศัพท์ตัวเองเข้าโหมดการนอนไว้ มีหลายคนที่โทร.มาในช่วงที่เกิดเหตุ มันก็เลยมีการบอกต่อกัน น้องชายก็เลยให้เพื่อนที่อยู่กรุงเทพฯ ช่วยมาบอกเราหน่อย แต่พอหลังจากที่เราไปโคราชเราก็ไม่ได้ไปไล่เรียงว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร เพราะเราโฟกัสแต่ว่าจะต้องนำคุณพ่อกลับมา

ตอนที่น้องมาบอกว่า พี่เบสทำใจดีๆ นะ คุยกับพี่เกรทหน่อย พี่เกรทคือน้องชาย คือพูดแค่นี้เราก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น (พอทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันทางครอบครัวตอนนี้ได้มีการวางแผนอะไรไว้บ้าง?) จริงๆไม่ได้วางแผนอะไรเลย ไปตามที่ควรจะเป็นในแต่ละวัน”

เผยผลงานภาพยนตร์ชิ้นสุดท้ายที่พ่อสร้างไว้ บอกเกือบเสร็จเหลือแค่ทำ CG
ของพ่อจะมีงานภาพยนตร์ที่ยังไม่เรียบร้อย ถ่ายทำเสร็จแล้ว โปสเตอร์ได้ประมาณสัก 80% เหลือเรื่องของ CG ภาพยนตร์ชื่อเรื่อง ย่าม่าน คือพ่อมีความตั้งใจกับสิ่งนี้เพราะว่างานภาพยนตร์เป็นงานที่เขารักอยู่แล้ว แต่เขารู้สึกว่าอีกส่วนหนึ่งเขาเติบโตมากับวงการนี้ เหมือนเข้าวงการตั้งแต่เป็นหนุ่ม แล้วก็อยู่กับวงการนี้แล้วเขารู้สึกว่าอยากตอบแทนอะไรบางอย่าง เขาก็เลยบอกว่าเขาอยากจะทำหนังที่เป็นการทำเพื่อสังคมโดยที่เขาไม่ได้คำนึงว่าเทรนตอนนี้เป็นยังไง

คือเขาไม่ได้สนใจตรงนั้น เขาสนใจแค่ว่าสิ่งที่เขาอยากจะทำคือสิ่งที่ปัจจุบันไม่ค่อยมีคือพูดเรื่องของการท่องเที่ยวคือเขาอยากส่งเสริมการท่องเที่ยววัฒนธรรม เขาก็เลยเขียนเรื่องราวขึ้นมาซึ่งฉากถ่ายทำเลือกเป็นจังหวัดน่าน ซึ่งความพิเศษของจังหวัดน่านก็คือมีชนเผ่าหลายๆ ชนเผ่า ซึ่งเขาไม่เคยขัดแย้งกันมีความกลมเกลียวที่จะอยู่ร่วมกัน มันก็เลยเป็นความเหมาะสมว่าทำไมถึงเป็นจังหวัดน่าน เรื่องของการท่องเที่ยว เรื่องของวัฒนธรรมที่มันประกอบกันได้

เรื่องนี้คุณพ่อเขียนบทเอง กำกับเอง เล่นเองด้วย ในบทของคุณพ่อก็ถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงใหม่ เขาก็มีเหตุผลของเขาในการใช้นักแสดงใหม่เพราะไม่อยากให้คนดูติดกับภาพจำสองคนนี้ว่ามีคาแรกเตอร์แบบไหน แล้วตัวละครของเขาแต่ละตัวเป็นเรื่องราวที่มาจากชีวิตจริงของคนที่อยู่ในน่าน ทุกอย่างมีสตอรี่ของตัวละคร (แสดงว่าผลงานเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสุดท้ายของคุณพ่อ?) ใช่ค่ะ ทิ้งไว้แต่ว่าเราต้องทำให้เสร็จก่อน เพราะคุณพ่อไปก่อน”

เผยเหลืออีก 20 เปอร์เซ็นต์ ในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้
“สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการทำงาน ขอให้มีความทุ่มเทและเขามีความกล้าในสิ่งที่เขาอยากจะทำ แม้จะมีคนจะบอกว่ามันเป็นหนังที่ไม่ใช่ตามกระแส เขาก็ยังกล้าที่จะทำเขาชัดเจนแล้วว่าจะทำเพื่ออะไร (อีกกี่เปอร์เซ็นต์?) ประมาณสัก 20 เปอร์เซ็นต์ในการสานต่อ ตอนนี้เหลือเรื่อง CG”

เผยคำสอนที่คุณพ่อฝากไว้ บอกจะไม่สอนด้วยคำพูด แต่จะสอนด้วยการกระทำ
“จะบอกว่าตั้งแต่เด็กเราไม่ได้สอนด้วยคำพูด ไม่มีอะไรที่เป็นคำพูดสอนลูกปกติ แต่มันเป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริงมากกว่าว่าสิ่งที่เขาทำมันได้อะไรบ้าง เพราะว่าตั้งแต่เด็กเราก็จะเห็นว่าถ่ายหนังถ่ายละคร สมัยก่อนภาพยนตร์ก็ยังเป็นฟิล์ม ยังไปนอนอยู่หลังห้องตัดต่อรอว่าเมื่อไหร่พ่อเสร็จ เราก็เห็นถึงความตั้งใจความพยายามความที่สู้ไม่ถอยของพ่อแม้ว่าใครจะว่ายังไงไม่ดีเขาคิดว่าเขาชัดเจนในเป้าหมาย

ถามว่าคุยอะไรกับคุณพ่อในช่วงเวลาสุดท้าย ถ้าเรื่องทั่วไปหรือเรื่องส่วนตัวแทบจะบอกไม่ได้ว่าโฟกัสไปเรื่องอะไร เพราะจริงๆ ชีวิตอยู่กับพ่อเกือบตลอด แล้วเราก็คุยกันแชร์กันตลอดแบบเรื่องนี้เราคิดยังไง ซึ่งเป็นเรื่องที่มันเหมือนเราแชร์กันมาโดยตลอดอยู่แล้ว มันก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าเรื่องอะไรที่คุยกันเป็นพิเศษก็จะเป็นเรื่องงานที่ว่าจะทำอะไรเราจะโปรโมตหนังแบบไหน”

ลั่นบั้นปลายชีวิตคุณพ่อทุ่มเทให้กับการทำงานวงการบันเทิง
“ก็มีแค่เรื่อง ย่าม่าน นี่แหละค่ะ ที่เขาก็กังวลว่าในเรื่องของการทำงานโปรดักชั่นคือชีวิตมันผ่านตรงนี้มาเยอะแล้ว แต่ว่าตัวเขาอาจจะไม่ได้เก่งเรื่องการตลาด เขาก็เลยกังวลเรื่องนี้อยู่ว่าการตลาดมันจะไปยังไง แล้วพอมันไม่ได้เป็นหนังกระแสจะได้รับความร่วมมือไหม”

ภูมิใจที่เกิดเป็นลูกพ่อเอ๋ ไพโรจน์
“ภูมิใจมากๆ แม้แต่เวลาคนมาคอมเมนต์จะอ่านทุกอัน แล้วก็พยายามตอบทุกคน ถึงแม้จะไม่ได้ตอบด้วยคำพูดแต่ก็กดหัวใจเพราะเราอยากให้รู้ว่าเราเห็นเขา แล้วเราก็ไม่เคยอ่านคอมเมนต์ที่ไม่ดีกับพ่อเลย ก็มีแต่คอมเมนต์ที่ดีๆ เคยเจอคุณอาที่โน่นที่นี่ ซึ่งเราก็ภูมิใจต่อให้เราไม่ได้เห็นคอมเมนต์คนอื่นการที่เราไปกับพ่อบ่อยๆ เราก็เห็นปฏิสัมพันธ์ของพ่อที่มีต่อคนรอบข้าง ไม่มีความเย่อหยิ่ง ยอมสละเวลาตัวเองทั้งๆที่คนอื่นไปไหนหมดแล้ว ยังยอมที่จะพูดเรื่องสุขภาพ โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าตัวเองต้องไปทำอะไรต่อ แต่คิดแค่ว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เขาพยายามจะบอก

จริงๆ ก็ยังต้องเข้มแข็งเพราะเรายังมีคนรอบข้าง มีคุณแม่ มีน้อง แล้วยังมีหลายๆ คนที่รักพ่อ อย่างเมื่อวานทุกคนก็โทร.มาร้องไห้ ซึ่งเป็นแบบนี้ 80% ซึ่งเรารู้สึกว่าเรามีหน้าที่ปลอบดูแลเขา มันเลยรู้สึกว่ามันไม่ได้มีวินาทีที่จะต้องรู้สึกอ่อนแอ คุณแม่ก็จะมีความเข้มแข็งเหมือนๆ กัน แต่จะมีความเซนซิทีฟในคำพูดของคนที่เรารู้สึกซาบซึ้ง”

สานต่อภาพยนตร์ ย่าม่าน
“คือคิดว่าพ่อน่าจะรู้ใจอยู่แล้ว ต่อให้พ่อไม่อยู่แล้วก็ทำต่อได้ ก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นห่วงตัวเราเอง เป็นห่วงงานในส่วนที่คิดว่ามันจะไปต่อในจุดไหนในเรื่องการโปรโมตมากกว่า จุดที่ว่าจะทำหนังให้เสร็จมันทำได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่ เพราะว่าตัวเองก็ไม่ได้เก่งในเรื่องการตลาด”

บอกไม่ต้องเป็นห่วงกับการเดินทางครั้งนี้
“ก็บอกว่าไม่ต้องห่วงแล้วกัน มันเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของเขาแล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นการเดินทางที่อีกสเต็ปที่มันดีกว่านี้ ไม่ต้องห่วงเมื่อไหร่ที่เดินทางก็เต็มที่ จะต้องไปตรงไหนยังไงก็เต็มที่ไม่ต้องห่วง”

เตรียมลอยอังคารคุณพ่อที่สมุทรปราการ
“วันจันทร์ที่ 9 จะเป็นฌาปนกิจตอน 17.00 น. ลอยอังคารคิดว่าน่าจะเป็น 11 แต่ว่าเรื่องสถานที่ยังไม่ชัวร์ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นสมุทรปราการ เพราะส่วนหนึ่งคุณพ่อพักอาศัยอยู่ที่สมุทรปราการ แต่อีกส่วนหนึ่งตัวเองเคยไปลอยอังคารอาที่สัตหีบ ความรู้สึกที่เราเข้าไปลอยอังคารรู้สึกมันเหงามันวังเวงมันเงียบเราก็คิดว่าบรรยากาศแบบนี้พ่อไม่น่าสนุก เราก็เลยคิดว่าถ้าพ่อไปอยู่สมุทรปราการก็มีเพื่อนเยอะ เขาเรียกว่ามันมีพลังงานอะไรที่มันเคลื่อนไหว ตรงนั้นมันอาจจะนิ่งๆ ไม่ใช่ตัวพ่อเท่าไหร่”

ขอบคุณทุกคนที่ซัปพอร์ตคุณพ่อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
จริงๆ ต้องขอบคุณทุกอย่าง (ร้องไห้) เพราะว่าพ่อมาถึงวันนี้ได้เพราะแฟนๆ ทุกคน คือตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในเส้นทางนี้ ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มยังเป็นวัยรุ่นจนมาถึงอายุ 72 ปี มันไม่ง่าย ก็เลยคิดว่าต้องขอบคุณทุกคนที่ซัปพอร์ตคุณพ่อ และสิ่งที่ทุกคนให้มามันทำให้ชีวิตตัวเองได้เรียนรู้สิ่งที่เราเห็นมาตลอดว่าพ่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน สังคม มันคือการเรียนรู้ที่ผ่านเรื่องราวชีวิตพ่อ ก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในเรื่องของความรู้สึก สำหรับตัวเองความสุขมันสำคัญกว่าทุกอย่าง เลยคิดว่าสิ่งที่ทุกคนให้แค่ความสุขระหว่างพ่อกับผู้ชมกับแฟนคลับ แต่มันคือความสุขของเราด้วย”















กำลังโหลดความคิดเห็น