”บังโต“ เผยเหตุผลหันหลังให้ดนตรีเพราะขัดกับศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะชีวิตในบ้านหรือธุรกิจก็จะไม่มีเสียงเพลงเข้ามาในชีวิตอีกต่อไปแล้ว รู้เพลงที่ตนร้องยังมีคนเปิดกันอยู่ ไม่งั้นพัฟไก่ธุรกิจคงขายไม่ได้เยอะ
กลายเป็นเจ้าของธุรกิจแบบเต็มตัว สำหรับ “โต วีรชน ศรัทธายิ่ง” หรือที่รู้จักกันในนามอดีตนักร้องดัง โต Silly Fools (ซิลลี่ ฟูลส์) ที่ปัจจุบันหันหลังให้กับการร้องเพลงผันตัวมาทำธุรกิจเนื้อและร้านอาหารชื่อดัง จนหลายคนเรียกติดปากกันว่า บังโต ซึ่งที่ผ่านมา บังโต ได้ปฎิเสธการร้องเพลงมาตลอด แม้ปัจจุบันเพลงของ Silly Fools ยังคงเปิด มีคนรู้จักและร้องกันได้ก็ตาม แต่ บังโต ก็ปฎิเสธ
ไม่ใช่แค่ปฎิเสธแค่ตัวเอง แต่ในธุรกิจเนื้อแท้ เองก็ไม่มีแผนทำมิวสิคมาเก็ตติ้ง เพื่อการตลาด เรียกว่าชีวิตตัดขาดจากเสียงเพลง ซึ่ง บังโต เผยว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ดนตรี ขัดกับวิถีศาสนาอิสลาม
“ไม่ได้เลยครับ มันผิดหลักการศาสนา ที่ผมเลิกเพราะมันผิดหลักการศาสนา ไม่งั้นผมก็ยังจะดังอยู่(บางเจ้าเขาอาศัยเพลงเป็นภาพจำแบรนด์?) แล้วแต่สไตล์ครับ ผมไม่มีดนตรีครับ และที่ผมทำมาทั้งหมดก็แทบจะไม่ซื้อโฆษณาเลย ถ้ามีสินค้าใหม่ก็มีนิดหน่อยเพื่อให้คนรู้จัก แต่มันก็ไวรัลของมันไปหมด ผมไม่ค่อยได้มีค่าใช้จ่ายตรงนี้เท่าไหร่
ตอนนี้ก็แต่งตัว CEO มาแทนผมท่านนึงแล้ว ผมไม่ได้เป็น CEO เป็นแค่เจ้าของกิจการ ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง พอมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็คงต้องส่งต่อให้คนที่เป็นธุรกิจจริงๆ ผมแค่เริ่มต้นได้ แต่ยังไงเขาก็จะมาทำเพลง มีมิวสิคมาเก็ตติ้งไม่ได้ เขารู้กฎกติกาดี ผมไม่ได้บริหาร แต่ผมยังดูอยู่”
ยืนยันไม่ร้องเพลงแล้ว ขอเคร่งครัดหลักศาสนาไม่ว่าจะธุรกิจ เรื่องที่บ้าน
“แก่ขนาดนี้ไม่มีแล้ว ลูกผมก็ไม่ร้อง ลูกผมยังไม่เคยฟังเพลงผมเลย เขาไม่รู้ว่าผมเป็นนักร้อง ตอนนี้ก็พอเริ่มรู้มั้ง มีมาถามว่าทำไมเขาถึงเรียกพ่อว่าซิลลี่ฟูล เขามาเล่าว่าสวนเพื่อนไปว่ามาด่าพ่อกูทำไม เขาก็เลยมาถามผมว่าทำไมคนเรียกพ่อว่าซิลลี่ฟูล ก็เล่าให้เขาฟัง แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนหน้านี้ ด้วยโรงเรียนที่เขาอยู่ก็เป็นโรงเรียนกึ่งศาสนา เขาจะมีความคิดเหมือนผม จะไม่มีการฟังเพลง ถึงเขาจะได้ยินเพลงที่ผมเคยร้อง เขาก็ไม่รู้เรื่องเพลง ไม่ได้ฟังเพลง ก็รู้แหละว่าเพลงผมยังมีเปิดอยู่ ไม่งั้นพัฟไก่ผมก็คงขายไม่ได้เยอะ
ถ้าลูกจะมาขอร้องเพลงก็ไม่ได้ อะไรที่ผิดหลักศาสนาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะธุรกิจ ในบ้าน ต้องเป็นไปตามหลักศาสนา ผมเลิกดนตรีเพราะผมทำตามหลักการศาสนา วิถีชีวิตของผมก็ยังเป็นอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ เรื่องของความถูกต้องในทุกๆอย่าง แม้แต่การโปรโมตผมต้องชอบ ต้องโอเคถึงจะปล่อย ถ้าผมไม่ชอบ ไม่โอเคแล้วปล่อยไป ผมจะเลิกเหมือนที่ผมเลิกดนตรี ไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นโกหกชาวบ้านว่ามันคือของดีนะ ผมต้องมานั่งพูดต่างๆนานา ผมไม่เอา ไม่ได้ มันหลอกลวงคน นี่คือหลักการศาสนาและผมก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าจะปล่อยออกมาแปลว่าผมต้องโอเค คนที่ซื้อของผมไปเขาจะมีความไว้ใจ อย่างน้อย 80% ว่าต้องโดนแนวเดียวกัน มันไม่ต้องคุยเยอะ นี่คือวิธีการของผม ผมเป็นแบบนี้ ต้องชัด ไม่ชวนเชื่อ”
ชีวิตไม่มีเป้าหมายแล้วแต่พระเจ้าจะกำหนดให้ ยังไปได้ก็ไปต่อ
“ไม่เคยคิดว่ามันจะไปไกลแค่ไหน ผมทำมันให้ดีที่สุด มันไปถึงไหนก็ถึงนั้น ผมไม่มีเป้า ผมไม่มีฝัน ผมจะดังระดับโลก มันก็เป็นไปตามนั้นที่พระเจ้ากำหนด ไม่ได้คิดว่าจะไปถึงไหน ผมทุ่มเท ไปได้ก็ไปอีก ขอให้ผมมีความสุข แล้วก็อย่าหาว่าผมเป็นตนต้มตุ๋น โกง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ”
