เมื่อพูดถึงช่วงเวลาแปลกประหลาดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของอเมริกา ไม่มีภาพใดจะฝังอยู่ในใจผู้ชมได้เท่ากับภาพของ ทอม ครูซ กระโดดโลดเต้นอยู่บนโซฟาของโอปราห์ วินฟรีย์ ในปี 2005 เพื่อแสดงความรักที่มีต่อเคที่ โฮล์มส์ เขาดูมีความสุข... บางคนบอกว่า "เกินไป" จนกลายเป็นมุกล้อเลียนในรายการทีวี หนังสือพิมพ์ และโลกอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้นของมีม
หลายคนในฮอลลีวูดเริ่มสงสัยว่า เส้นทางอาชีพของซูเปอร์สตาร์ผู้เคยเปล่งประกายจาก Top Gun, Rain Man, Jerry Maguire กำลังจะดับวูบไปหรือไม่?
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คือ “Mission: Impossible” จะกลายเป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์แอ็กชันชื่อดัง มันกลายเป็นเครื่องช่วยชีวิต มันคือภารกิจพิชิตใจคนดูใหม่อีกครั้งของทอม ครูซ — และเขาก็ทำสำเร็จ
ในปี 2005 ทอม ครูซอยู่ในช่วงโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง “War of the Worlds” และเขาได้ไปออกรายการ The Oprah Winfrey Show ซึ่งควรจะเป็นโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์… แต่กลายเป็นฝันร้าย
การที่เขา "เต้นแรงเต้นกา" บนโซฟา เพื่อแสดงความรักที่มีต่อแฟนสาวหน้าใหม่ เคที่ โฮล์มส์ อาจดูจริงใจ แต่ก็สร้างความอึดอัด และกลายเป็นที่เยาะเย้ยอย่างรวดเร็ว หลายคนบอกว่าเขาดู "เสียสติ" บ้างก็ว่า "แกล้งบ้า" เพื่อเรียกกระแส PR
ปัญหาไม่หยุดแค่นั้น: ภาพลักษณ์ของเขาในฐานะสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ไซเอนโทโลจี (Scientology) ยิ่งทำให้สื่อจับตามอง และยิ่งทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า เขายังเป็นคนที่ “ปกติ” พอจะเป็นดารานำของหนังฟอร์มยักษ์อีกหรือไม่?
หลังเหตุการณ์ “โซฟาโอปราห์” คะแนนนิยมของทอม ครูซ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชมทั่วไป ซึ่งเคยชื่นชอบเขาในฐานะพระเอกคลาสสิกที่ทั้งหล่อ ฉลาด และมีเสน่ห์แบบ All-American
สื่อเริ่มมองเขาเป็น "คนแปลกประหลาด" และบทความหลายฉบับใน Vanity Fair, Entertainment Weekly และ Rolling Stone วิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างเปิดเผย
แม้ว่า “War of the Worlds” จะทำรายได้มหาศาล แต่ก็เต็มไปด้วยการวิจารณ์เชิงลบต่อพฤติกรรมของครูซในช่วงโปรโมท บางสตูดิโอเริ่มลังเลที่จะทำงานกับเขา
ปี 2006 Paramount Pictures ถึงกับ “ตัดสัมพันธ์” กับเขา โดยซีอีโอบริษัทออกมาบอกว่า "พฤติกรรมของเขาทำให้แบรนด์ของเขามีปัญหา" นั่นคือจุดตกต่ำที่สุดของทอม ครูซ
ในช่วงเวลาที่หลายคนคิดว่าอาชีพของทอม ครูซ อาจไม่มีวันเหมือนเดิม “Mission: Impossible” กลับกลายเป็นความหวังสุดท้ายของเขา — และเขาก็พร้อมจะเดิมพันทุกอย่างกับมัน
หลังจากความสำเร็จระดับกลางของ Mission: Impossible III (2006) เขาตัดสินใจว่า ถ้าจะรอดในวงการ เขาต้อง “ควบคุมเกม” ด้วยตัวเอง
นั่นทำให้เขาตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ชื่อ United Artists และเริ่มมีบทบาทเบื้องหลังมากขึ้น ทว่า โปรเจกต์ที่ทำให้เขากลับมาอย่างเต็มตัว คือ Mission: Impossible – Ghost Protocol (2011)
Ghost Protocol ไม่ใช่แค่หนังภาคต่อธรรมดา แต่มันเป็นการรีแบรนด์ตัวตนของทอม ครูซ เขาไม่ได้มาแค่แสดง เขา “เล่นจริง” โดยเฉพาะฉากที่เขาปีนตึก Burj Khalifa — ตึกที่สูงที่สุดในโลก
สื่อเริ่มเปลี่ยนมุมมอง จากที่เคยมองว่าเขา “บ้า” ก็เริ่มบอกว่า “เขากล้าบ้าบิ่น”
ความทุ่มเทในกายภาพของเขากลายเป็นจุดขายใหม่ที่แตกต่างจากดาราคนอื่น ไม่มีใครทำแบบนี้จริงๆ — นอกจากทอม ครูซ
ผลลัพธ์? Ghost Protocol ทำรายได้กว่า 690 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก และเสียงชื่นชมว่า “เป็นหนังที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์” จนถึงตอนนั้น
ความสำเร็จของ Ghost Protocol ทำให้แฟรนไชส์ Mission: Impossible กลายเป็นมากกว่าหนังบู๊ มันเป็นสัญลักษณ์ของ “การเอาชนะอดีต”
ทอม ครูซ กลับมาเป็นดาราที่คนทั้งโลกยอมรับอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในฐานะ “เจ้าชายฮอลลีวูด” เหมือนยุค 90 เขาเป็น “นักสู้” แห่งวงการ ที่พร้อมจะทุ่มสุดตัว เพื่อให้คนดูได้ประสบการณ์ที่แท้จริง
และเขาก็ไม่หยุดแค่ภาคเดียว...
ในวัยกว่า 60 ปี ทอม ครูซ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความทุ่มเทเหนือขีดจำกัด” ผู้ชมไม่เห็นเขาเป็นพระเอกหวานซึ้งอีกต่อไป แต่เป็นนักแสดงที่ “กล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้า”
