ในขณะที่ บรูซ สปริงส์ทีน กำลังเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต "Land of Hope and Dreams" ที่ยุโรป และมีกำหนดจบทัวร์ในเมืองมิลาน 1 วันก่อนวันชาติสหรัฐฯ (4 กรกฎาคม) ตำนานร็อกวัย 75 ปีอาจรู้สึกว่าไม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากฝั่งบ้านเกิดนัก หลังเปิดศึกวาจาร้อนแรงกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งล่าสุดได้ออกมาโจมตีศิลปินชื่อดังรายนี้แบบไม่ไว้หน้า
เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ สปริงส์ทีนกล่าวเปิดคอนเสิร์ตโดยใช้เวทีเป็นพื้นที่โจมตีรัฐบาลทรัมป์ว่าเป็น “รัฐบาลทุจริต ไร้ความสามารถ และทรยศต่อประเทศ” พร้อมชวนผู้ชม “เปล่งเสียงต่อต้านเผด็จการ และปล่อยเสียงแห่งเสรีภาพดังกึกก้อง!”
ในช่วงท้ายของคืนนั้น เขาได้พูดโจมตีเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์และช่อง YouTube ของตัวเอง โดยกล่าวว่า:
“รัฐบาลนี้กำลังเล่นงานประชาชนเพียงเพราะใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็น พวกเขากำลังถอยหลังจากกฎหมายสิทธิพลเมืองที่เคยทำให้สังคมมีความยุติธรรมมากขึ้น พวกเขาทอดทิ้งพันธมิตรของเรา และหันไปจับมือกับเผด็จการ พวกเขาตัดงบสนับสนุนมหาวิทยาลัยอเมริกันที่ไม่ยอมโอนอ่อนทางอุดมการณ์ พวกเขาขับไล่ประชาชนออกจากถนนโดยไม่มีการดำเนินคดีอย่างชอบธรรม และเนรเทศไปยังศูนย์กักกันในต่างประเทศ”
เขายังไม่ลืมโจมตีทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตว่า “ล้มเหลวในการปกป้องประชาชนจากรัฐบาลที่ไม่เหมาะสมและไม่ชอบธรรม”
อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่า “อเมริกาที่ผมร้องเพลงถึงมาตลอด 50 ปีนั้นมีอยู่จริง แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ยังเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ และมีประชาชนที่ยิ่งใหญ่ เราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้”
ทำเนียบขาวสวนกลับทันควัน โดยแถลงผ่านสื่อว่า “บรูซเป็นคนดังที่หลุดโลกและไม่เข้าใจประชาชนทั่วไป” พร้อมประชดว่า “เขาอยู่ยุโรปไปก็ได้ ในขณะที่คนอเมริกันกำลังเพลิดเพลินกับพรมแดนที่ปลอดภัยและเงินเฟ้อที่ลดลง ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์”
ทรัมป์สวนแรงผ่าน Truth Social ในเช้าวันศุกร์ ระหว่างเดินทางกลับจากตะวันออกกลาง ทรัมป์เขียนว่า:
“เห็นว่าไอ้บรูซ สปริงส์ทีน ที่ ‘ถูกยกย่องเกินจริง’ ไปประเทศนอกเพื่อด่าประธานาธิบดีสหรัฐ ผมไม่เคยชอบมัน ไม่ชอบเพลงมัน ไม่ชอบการเมืองฝั่งซ้ายสุดโต่งของมัน และที่สำคัญ มันไม่ใช่คนมีพรสวรรค์อะไรเลย — แค่คนจู้จี้ เสียงดัง และน่ารำคาญ ที่คลั่งไบเดนจนหน้ามืด”
ทรัมป์ยังเหน็บแรงว่า “ร็อกเกอร์เหี่ยว (ผิวเหี่ยวหมดแล้ว!) คนนี้ควรปิดปากจนกว่าจะกลับเข้าอเมริกา นี่มันเป็นเรื่องพื้นฐาน แล้วเดี๋ยวเราจะได้เห็นกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมัน!”
คำพูดปลายเปิดของทรัมป์ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจ ว่ากำลังเป็นการขู่คุกคามเสรีภาพของศิลปินหรือไม่ สมาคมนักดนตรีแห่งอเมริกาและแคนาดา (AFM) รีบออกแถลงการณ์ประณามทันที โดยระบุว่า “ศิลปินมีสิทธิ์ในการแสดงออกทางความคิดเห็น”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สปริงส์ทีนโจมตีทรัมป์ — เขาเคยเรียกทรัมป์ว่า “นาร์ซิซิสต์ตัวร้าย” ตั้งแต่ช่วงหาเสียงปี 2016 และมักแสดงตัวสนับสนุนเดโมแครตมาตลอด เช่น การขึ้นเวทีในแคมเปญต่าง ๆ ของพรรค
เพลงฮิต “Born in the U.S.A.” (1984) ของเขา ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สงครามเวียดนามและการทอดทิ้งทหารผ่านศึก เคยถูกประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเข้าใจผิดว่าเป็นเพลงรักชาติ และนำไปใช้ในการหาเสียง
ปัจจุบัน สปริงส์ทีนอายุ 75 ปี และแม้จะไม่ได้มีผลงานเพลงใหม่ที่สร้างปรากฏการณ์เท่าในอดีต แต่กำลังจะออกอัลบั้มรวมบ็อกซ์เซ็ต “Tracks II: The Lost Albums” ซึ่งรวมผลงาน 7 อัลบั้มที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ส่วนใหญ่บันทึกเสียงไว้ตั้งแต่ก่อนปี 2000
สุดท้าย ในขณะที่กระแสโต้เดือดกับสปริงส์ทีนยังไม่ทันจบ ทรัมป์ก็เปลี่ยนไปโจมตี เทย์เลอร์ สวิฟต์ โดยโพสต์ว่า: “มีใครสังเกตมั้ย ตั้งแต่ผมบอกว่า ‘ผมเกลียดเทย์เลอร์ สวิฟต์’ เธอก็ไม่ดังแล้ว?”
ข้อกล่าวอ้างนี้ถูกวิจารณ์ทันทีว่าไร้สาระ เพราะเทย์เลอร์เพิ่งจบ Eras Tour ทัวร์ทำลายสถิติโลกเมื่อเดือนธันวาคม และยังคงเป็นศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดของปี 2024
แม้หลายคนมองว่า สปริงส์ทีนอาจตั้งใจ “ล่อให้ทรัมป์ตอบโต้” เพื่อเรียกความสนใจกลับมาในช่วงเปิดตัวอัลบั้มใหม่ แต่เขาก็แสดงความจริงใจในสิ่งที่พูด และได้รับเสียงชื่นชมจากแฟน ๆ ทั่วโลกผ่านโซเชียลมีเดีย ว่าเป็นคำปราศรัย “ที่ต้องดูให้ได้” ในยุคที่ศิลปินจำนวนมากเลือกความปลอดภัยเหนือความกล้า
