ในช่วงต้นปี 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศนโยบายภาษี 100% ต่อภาพยนตร์ที่ผลิตนอกสหรัฐอเมริกา พร้อมแต่งตั้งนักแสดงชื่อดังอย่าง เมล กิ๊บสัน, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และจอน วอยต์ เป็น "ทูตพิเศษ" เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศ
การแต่งตั้งดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภาพยนตร์ในสหรัฐฯ และลดการพึ่งพาการถ่ายทำในต่างประเทศ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะจากโรเบิร์ต เดอ นีโร ที่กล่าวถึงทรัมป์ว่าเป็น "ศัตรูของศิลปะ" และวิจารณ์นโยบายภาษีดังกล่าวว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพทางศิลปะ .
แม้จะมีเสียงคัดค้าน แต่จอน วอยต์ หนึ่งในทูตพิเศษ ได้ออกมาปกป้องนโยบายนี้ โดยระบุว่าจำเป็นต้องมีการดำเนินการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ
ในขณะที่เมล กิ๊บสัน ได้รับมอบหมายให้เป็นทูตพิเศษด้านภาพยนตร์ในอิตาลี เพื่อส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ในสหรัฐฯ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ก็มีบทบาทในการส่งเสริมการผลิตภาพยนตร์ภายในประเทศ โดยเน้นการสร้างงานและฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ
"จอน วอยต์" เป็นนักแสดงระดับตำนานของฮอลลีวูด ผู้คว้ารางวัลออสการ์จากบทบาทใน Coming Home (1978) และเป็นที่รู้จักจากผลงานมากมาย อาทิ Midnight Cowboy, Deliverance และ Heat เขายังเป็นบิดาของนักแสดงชื่อดัง "แองเจลินา โจลี" แม้เคยมีจุดแตกหักในครอบครัว แต่ภายหลังก็คืนดี ด้วยอาชีพการแสดงอันยาวนานและโดดเด่น วอยต์จึงถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทั้งในวงการภาพยนตร์และสังคมอเมริกัน
จอน วอยต์เป็นหนึ่งในนักแสดงฮอลลีวูดเพียงไม่กี่คนที่แสดงจุดยืนสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์อย่างเปิดเผย เขามักออกแถลงการณ์หรือคลิปวิดีโอแสดงความเชื่อมั่นในตัวทรัมป์ว่าเป็นผู้นำที่ "พระเจ้าส่งมา" เพื่อกอบกู้อเมริกา และยังวิจารณ์กลุ่มเสรีนิยมในฮอลลีวูดว่าเป็นภัยต่อค่านิยมดั้งเดิมของประเทศ จุดยืนที่แข็งกร้าวของวอยต์สะท้อนมุมมองอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน และทำให้เขากลายเป็นตัวแทน "เสียงตรงข้าม" ภายในวงการที่มักเอนเอียงไปทางเสรีนิยมอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์หลายคนมองว่านโยบายภาษี 100% อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ เนื่องจากอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ในขณะที่การถ่ายทำภาพยนตร์ในต่างประเทศมักมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่านโยบายดังกล่าวอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ และจำกัดการแลกเปลี่ยนทางศิลปะ
ในขณะที่ทรัมป์มองว่าภาพยนตร์ต่างประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ นักวิจารณ์หลายคนมองว่านี่เป็นการใช้วาทกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าการปกป้องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ .
ในที่สุด นโยบายภาษี 100% ต่อภาพยนตร์ต่างประเทศของทรัมป์ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง และยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ ได้หรือไม่
สิ่งที่แน่นอนคือ นโยบายนี้ได้จุดประกายการถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และเสรีภาพทางศิลปะในยุคปัจจุบัน
