xs
xsm
sm
md
lg

ร่างทองของ “เจเล่ โชติกา” จากธิดาช้าง สู่เวทีนางสาวไทย เล่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้ลดหุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คนเดียวกัน แต่สวยคนละแบบ “เจเล่ โชติกา” จากเจ้าของตำแหน่ง “ธิดาช้างไทยแลนด์ 2022” ปัจจุบันเผยร่างทอง สู่การเป็นตัวแทน “นางสาวไทย นครราชสีมา” เพื่อเข้าประกวดเวที “นางสาวไทย 2568” พร้อมเล่าที่มาตัดกระเพาะ ไม่ใช่เพราะความสวย แต่เพื่อสุขภาพ ไม่อยากให้เรียกว่าเป็นวิธีผอมทางลัด แต่เป็นการรักษาโรคอ้วน

ทำเอาหลายคนฮือฮากับความสวย หลังสาว “เจเล่ โชติกา ดอกแก้วกลาง” เจ้าของตำแหน่ง “ธิดาช้างไทยแลนด์ 2022” ที่ปัจจุบันเผยร่างทองเป็นสาวผอมหุ่นเป๊ะแทบจำไม่ได้ หลังตัดสินใจผ่าตัดกระเพาะอาหาร ล่าสุดเจเล่ได้เป็นตัวแทน “นางสาวไทย นครราชสีมา” เพื่อเข้าประกวดเวที “นางสาวไทย 2568” โดยเจ้าตัวได้เปิดใจถึงเรื่องราวของตัวเองในอดีตที่เคยอ้วนฉุ แต่น้ำหนักไม่เป็นหากับชีวิต รู้สึกมีความสุขกับรูปร่างพลัสไซซ์ แต่สุดท้ายเมื่อน้ำหนักพุ่งขึ้นสูงถึง 115 กิโลกรัม ปัญหาสุขภาพก็มาเยือน จนรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ต้องลดหุ่น

“ตอนประกวดธิดาช้าง เจเป็นคนมีรูปร่างพลัสไซซ์ หลังเรียนจบก็มีความสุขกับการกิน จนน้ำหนัก 90 กิโลกรัม แล้วรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยก็ชวนไปประกวด เลยเป็นจุดเริ่มต้นค่ะ แล้วเราเป็นคนชอบประกวด เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการชาเลนจ์และพัฒนาตัวเอง ทำให้เราได้ฝึกพูด ฝึกเดิน เวทีแรกเริ่มต้นจาก 90 กิโลกรัมค่ะ เวทีธิดาช้างเมืองย่า ที่โคราช หลังจากนั้นก็ประกวดมาเรื่อยๆ ที่จังหวัดอื่นๆ จนมาเป็นเวทีใหญ่ ธิดาช้างไทยแลนด์”

อ้วนขึ้นหลังเรียนจบ เพราะมีความสุขกับการกิน
“จริงๆ หนูผอมๆ อวบๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ตอนเรียนจบก็หนักแค่ 60 กิโล แต่หลังเรียนจบเอ็นจอยกับการกินมากไป คิดว่าแค่อยากกิน เพราะไม่รู้ว่าจะตายวันไหน แค่นั้นเลย เลยทำให้มันไปไกลเรื่อยๆ ยิ่งพอได้ประกวด เหมือนมันทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าไม่ว่าหุ่นแบบไหนหนูก็มั่นใจในตัวเอง เลยไม่ได้โฟกัสเรื่องน้ำหนัก พอเวทีแรกหนัก 95 ก็ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบ 115 กิโลฯค่ะ ชาเย็นหวานร้อยวันละ 3 แก้ว บุฟเฟต์ก็เลือกกินแต่แป้ง เบเกอรี่ ขนมปัง”

น้ำหนักไม่ได้เป็นปัญหา เพราะมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
“พอหนูเริ่มกินหนูก็แฮปปี้ เราไม่ได้สนใจตัวเอง พอได้ประกวดก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจ น้ำหนักมันไม่ได้เป็นปัญหากับหนูเลย ไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหน หนูก็เป็นกระบอกเสียงให้สาวพลัสไซซ์ให้รัก ให้มั่นใจ และเห็นคุณค่าในตัวเอง มันเลยทำให้เราปล่อยจอยไปเรื่อยๆ ถึงจะหุ่นพลัสไซซ์แต่หนูแต่งตัวสนุกมาก มันเลยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้นเลย ความมั่นใจเกินร้อยด้วยซ้ำ เพราะทุกเวทีหนูได้พูดให้คนหันกลับมามั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหนไม่สำคัญ ขอแค่รักและเห็นคุณค่าในตัวเองพอแล้ว หนูบอกทุกคนเสมอว่าอย่างบูลลี่เรื่องรูปร่างกัน ทุกคนมีความสามารถ มีศักยภาพของตัวเองค่ะ”

ยึดความสุขของตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้สนใจคอมเมนต์ แต่มาเจอจุดเปลี่ยนเพราะเรื่องสุขภาพ
“ใช่ค่ะ ไม่สนใจเลย แค่คิดว่าฉันมั่นใจในตัวเอง แล้วฉันแฮปปี้กับการกิน อยากกิน นี่มันปากท้องฉัน แล้วเราก็รู้สึกว่าเราจะเป็นคนอ้วนที่แข็งแรง มีคนบอกตลอดว่าถ้าผอมแล้วจะสวย แต่เราก็ไม่ได้สนใจเลย จนมามีจุดเปลี่ยนที่รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว คือเรื่องสุขภาพค่ะ เพราะน้ำหนักเยอะทำให้มีปัญหาเรื่องการนอน เราจะนอนกรน แค่งีบสั้นๆ ก็ได้จะได้ยินเสียงกรนตัวเอง แล้วก็สะดุ้งตื่นนอนกลางคืน แล้วก็มีเรื่องภาวะรองช้ำ ปวดเท้า เดินก็ไม่ได้

ที่หนักที่สุดคือเรื่องของน้ำตาลค่ะ น้ำตาลสูงเข้าข่ายการเป็นเบาหวานแล้ว เลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว มันลำบากกับชีวิต แต่ก่อนหน้าที่จะไปผ่าตัดกระเพาะ หนูก็กลัวว่าจะดมยาสลบแล้วไม่ฟื้น แต่ก็คุยกับตัวเองว่าถ้าปล่อยไป มันจะเหมือนตายทั้งเป็น เพราะสุขภาพย่ำแย่ เดินก็เหนื่อย”

เปลี่ยนตัวเองเพราะเรื่องสุขภาพ ไม่ใช่เพราะอยากสวย
“ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะตอนอ้วนหนูก็สวย เรื่องตัดกระเพาะหนูศึกษาอย่างละเอียดเลย เพราะก่อนหน้านี้หนูแอนตี้ รู้สึกว่าทำไมต้องทำ เลยพยายามไปออกกำลังกาย แต่กลายเป็นว่าจะเดินบนลู่เราก็มีภาวะรองช้ำ แต่หนูไม่ได้สนับสนุนว่าทุกคนต้องไปผ่าตัดกระเพาะนะ แต่อยากให้ทุกคนหันกลับมาดูแลตัวเองไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม การผ่าตัดกระเพาะไม่ใช่ผ่าได้เลย มันต้องมีกระบวนการ ต้องไปเข้าคอร์สปรับทัศนคติ ปรับลดด้วยตัวเองก่อนประมาณ 6 เดือนค่ะ คนที่จะผ่าตัดได้ เขาจะต้องคำนวณจากค่า BMI ค่ะ อยู่ที่ประมาณ 37 ซึ่งตอนที่เจผ่าตัดอยู่ที่ 39 เกินเกณฑ์ไปแล้ว และมีภาวะเบาหวาน คุณหมอก็ให้ไปควบคุมของหวาน เจก็หักดิบเลย ก่อนผ่าตัดก็ลดไป 2-3 กิโลฯค่ะ

หลังผ่าตัดมาช่วงแรก กินไปแค่ 1-2 คำก็อิ่มแล้ว จิ๊บน้ำก็อิ่ม ด้วยความที่กระเพาะเล็กลง ถ้าจำไม่ผิดเป็นแบบนี้ประมาณ 2 เดือน ก็เริ่มกลับมากินได้หลายคำมากขึ้น แล้วแต่คนด้วย แต่มันสามารถขยายกลับมาอ้วนได้ค่ะ ถ้าเราไม่มีวินัย ตัวหนูเองถ้าแม้ว่าคุณหมอจะช่วยมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังออกกำลังกาย เพราะน้ำหนักลดลงเร็ว มันทำให้หุ่นไม่กระชับ ก็ไปยกเวท เข้าฟิตเนสวันละ 2 ชั่วโมง แล้วก็ควบคุมอาหารด้วย

ช่วงนั้นก็มีเอฟเฟกต์หลายอย่าง เรื่องของเรี่ยวแรงที่หายไป แล้วก็เรื่องของอารมณ์ เพราะมันไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แล้วก็ผมร่วง แต่เราก็สู้ค่ะ เพื่อสุขภาพ และผลพลอยได้จากการที่รักและดูแลตัวเอง มันทำให้เจได้มายืนอยู่บนเวทีนางสาวไทยในวันนี้ค่ะ ไม่อยากให้เรียกว่าเป็นวิธีผอมทางลัด แต่อยากให้เรียกว่าเป็นการรักษาโรคอ้วน มันไม่ใช่การศัลยกรรมเพื่อความงาม แต่มันเป็นวิธีสุดท้าย ทางเลือกสุดท้ายสำหรับคนที่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ซึ่งเจก็ผ่านการพยายามมาแล้วประมาณ 1 ปี”

ผ่าตัดมาได้ 1 ปี มีเป้าหมายคืออยากหุ่นเฟิร์ม
“ผ่าตัดมาได้ 1 ปีแล้วค่ะ เริ่มกลับมาทานได้เยอะขึ้น แต่ก็ยังไม่เหมือนก่อนผ่าค่ะ จานหนึ่งอาจจะยังเหลือๆ ส่วนใหญ่หนูจะเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตค่ะ ก็แรงดี มีแรงไปออกกำลังกายปกติ ใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ จริงๆ ตอนนี้มีเป้าหมายอยากมีหุ่นที่เฟิร์มมากกว่านี้ค่ะ ไม่ได้อยากโฟกัสเลขบนตาชั่งแล้ว แต่อยากโฟกัสที่รูปร่างตัวเองมากกว่า อยากให้เฟิร์มที่สุด อยากให้เป็นหุ่นที่ลีน และดูสุขภาพแข็งแรงค่ะ น้ำหนักตอนนี้อยู่ที่ 64 กิโลฯ เป้าหมายคือ 58 กิโลฯค่ะ”

หวังคว้ามงกุฎนางสาวไทย 2568 เพราะอยากสร้างแรงบันดาลใจ
“การมาประกวดนางสาวไทย มันเหมือนเป็นโอกาสในชีวิต ที่เราได้มีผู้ใหญ่ใจดีให้โอกาส ได้แต่งตั้งเราให้เป็นตัวแทนจังหวัด แล้วเจคิดว่าเมื่อโอกาสเข้ามา เราก็ควรรับไว้และทำมันให้ดีที่สุดค่ะ ในการมาประกวด สิ่งที่เราจะต้องคาดหวังมากที่สุด คือเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุด นั้นก็คือการได้รับมงกุฎและเป็นนางสาวไทยในปีนี้ค่ะ นอกจากเจจะอยากได้มงกุฎแล้ว เจก็อยากที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้กลับมารักตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วก็ดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยค่ะ”

มั่นใจตัวเองมีบริบทที่เหมาะสมกับตำแหน่ง จุดแข็งคือการสื่อสารที่ตรงจุด
“เจมองว่าเจเหมาะกับบริบทนางสาวไทย ด้วยความที่เราก็เห็นเวทีนี้มาตั้งแต่เด็ก แล้วมันก็เป็นเวทีความฝัน เป็นเวทีระดับประเทศที่เจอยากจะมา แล้วก็ได้มาค่ะ แล้วตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่การประกวดผู้หญิงที่มีความงามแล้ว แต่มันคือผู้หญิงที่จะสร้างอะไรให้กับสังคม แล้ววันนี้เจเป็นคนนั้น ที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง และสร้างแรงบันดาลใจให้กำลังใจทุกๆ คน ให้หันกลับมารักตัวเองและดูแลสุขภาพตัวเองค่ะ เจคิดว่าจุดแข็งของเจคือเรื่องของการสื่อสารค่ะ เจมีเป้าหมายว่าจะสื่อสารอะไรให้ใครฟัง นั่นคือสิ่งที่ทำให้เจมายืนอยู่ตรงนี้ แล้ววันนี้เจก็ตั้งใจจะมาสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนค่ะ”





























กำลังโหลดความคิดเห็น