การขอปรับลดดอกเบี้ยบ้านเป็นทางเลือกยอดฮิตของคนมีภาระผ่อนบ้าน ที่ต้องการลดภาระดอกเบี้ยรายเดือน ช่วยประหยัดเงินได้หลายแสนบาทในระยะยาว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี หรือมีอะไรที่ต้องเตรียมตัวบ้าง เพื่อให้การเจรจากับธนาคารเป็นไปอย่างราบรื่นและได้เงื่อนไขที่ดีที่สุด บทความนี้จะพาไปเจาะลึก 5 ข้อควรรู้ก่อนการขอปรับลดดอกเบี้ยบ้านอย่างมือโปร
1. ศึกษาเงื่อนไขสินเชื่อเดิมให้ชัดเจน
ก่อนคิดจะปรับลดดอกเบี้ยบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทบทวนสัญญาสินเชื่อที่ทำไว้กับธนาคารว่ามีเงื่อนไขอย่างไร เช่น
• อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเป็นแบบคงที่หรือลอยตัว
• มีระยะเวลาโปรโมชันดอกเบี้ยพิเศษหรือไม่ เช่น 3 ปีแรก หรือ 5 ปีแรก
• หลังหมดโปรโมชัน ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณตาม MRR, MLR, หรืออัตราลอยตัวอื่นใด
การเข้าใจรายละเอียดเหล่านี้จะทำให้รู้ว่าควรยื่นขอปรับลดช่วงไหน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด รวมถึงช่วยตั้งเป้าหมายได้ว่าควรเจรจาขอลดดอกเบี้ยไปที่เท่าไหร่จึงเหมาะสม
2. ตรวจสอบประวัติการชำระเงินย้อนหลัง
ธนาคารจะพิจารณาความเสี่ยงของลูกหนี้ก่อนอนุมัติการปรับลดดอกเบี้ยบ้าน หากมีประวัติชำระเงินตรงเวลา ไม่มีประวัติค้างชำระ หรือผิดนัด ธนาคารจะมองว่าคุณมีความน่าเชื่อถือ และมีแนวโน้มที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ได้ง่ายขึ้น
แนะนำให้ขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ล่วงหน้าด้วยตัวเอง เพื่อเช็กว่าข้อมูลทางการเงินของคุณสะอาด พร้อมต่อรองกับธนาคารได้อย่างมั่นใจ
3. เปรียบเทียบข้อเสนอของธนาคารอื่นประกอบ
แม้ตั้งใจจะปรับลดกับธนาคารเดิม แต่การมีข้อมูลจากธนาคารอื่นเป็น "แต้มต่อ" สำคัญในการเจรจา หากพบว่าธนาคารอื่นเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าหรือมีโปรโมชันที่น่าสนใจ สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลกดดันให้ธนาคารเดิมเสนออัตราที่ดีกว่าหรือเทียบเท่าได้ในบางกรณี การขอปรับลดดอกเบี้ยบ้านยังได้ข้อเสนอดีขึ้นโดยไม่ต้องรีไฟแนนซ์ หรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกด้วย ดังนั้นอย่าลืมหาข้อมูลรอบด้าน และนำมาใช้ประกอบการเจรจาอย่างชาญฉลาด
4. ทำความเข้าใจค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
อย่าลืมว่าการขอปรับลดดอกเบี้ยบ้านอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น
• ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงสัญญา
• ค่าประเมินหลักประกันใหม่
• ค่าจดทะเบียนนิติกรรมที่กรมที่ดิน (หากมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาใหญ่)
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรถามเจ้าหน้าที่ให้แน่ชัดว่า มีค่าใช้จ่ายอะไรเกิดขึ้นบ้าง รวมถึงคำนวณดูว่าภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้คุ้มค่ากับจำนวนเงินที่ประหยัดได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงหรือไม่ หากระยะเวลาที่เหลือของสัญญาผ่อนบ้านยังยาวนาน การประหยัดในระยะยาวมักจะคุ้มค่าแน่นอน
5. เลือกช่วงเวลาและจังหวะให้เหมาะสม
ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการยื่นเรื่องปรับลดดอกเบี้ยบ้าน คือหลังหมดโปรโมชันพิเศษ เช่น หลังปีที่ 3 หรือ 5 ของสัญญาสินเชื่อ เพราะช่วงนี้ดอกเบี้ยมักจะพุ่งขึ้นสูง ธนาคารอาจยินดีให้ลดลงเพื่อรักษาลูกค้าไว้
อีกจุดที่น่าสนใจ คือช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มลดลง เพราะธนาคารต่างๆ มักแข่งขันกันปรับลดดอกเบี้ย เพื่อดึงลูกค้าในตลาดมากขึ้น หากจับจังหวะได้ดี ก็จะสามารถต่อรองได้อัตราที่ถูกใจ และประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่าที่คิด
ตัวอย่างการประหยัดหลังปรับลดดอกเบี้ยบ้าน
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีเงินกู้บ้าน 2 ล้านบาท เหลือผ่อนอีก 15 ปี อัตราดอกเบี้ยเดิม 6% ต่อปี หากเจรจาขอปรับลดเหลือ 4% ต่อปี จะสามารถประหยัดค่างวดได้เดือนละประมาณ 2,000 บาท และประหยัดรวมได้เกือบ 360,000 บาท ตลอดอายุสัญญาตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเจรจาเพื่อขอปรับลดดอกเบี้ย แม้เพียง 1-2% ก็มีผลต่อเงินในกระเป๋าอย่างมีนัยสำคัญ
การปรับลดดอกเบี้ยบ้านไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ทันทีโดยไม่เตรียมตัว แต่หากเข้าใจขั้นตอน รู้จักศึกษาสัญญาเก่า เช็กเครดิตตัวเอง และรู้จักใช้ข้อมูลของธนาคารอื่นมาสนับสนุนการต่อรอง โอกาสสำเร็จก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ที่สำคัญคืออย่าลืมประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ การปรับลดดอกเบี้ยบ้านอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ในระยะยาวจะสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลกับการเงินในชีวิตประจำวันแน่นอน
