ยังเป็นประเด็นถกเถียงของสังคม กับการนำเสนอข่าวคราวเรื่องผัวๆ เมียๆ ในวงการบันเทิง หรือเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของดารา ว่ามันจำเป็นหรือมีประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่แค่ไหน คนดู ดูแล้วจะได้อะไรจากข่าวเหล่านี้
จริงๆ แล้ว ได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่วิธีคิด และมุมมองของแต่ละบุคคล บางคนอาจได้แง่คิดในเรื่องการใช้ชีวิตคู่ บางคนได้เรื่องข้อกฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่าประเด็นผัวๆ เมียๆ ที่มักกลายเป็นกระแสใหญ่โต เพราะมันเข้าถึงคนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นระดับรากหญ้า หรือรวยระดับเศรษฐี แม้แต่เรื่อง “ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” กับ “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ที่กลายเป็นวาระแห่งชาติ ความรัก 7 ปีที่พังในวันนี้ ก็มีหลากหลายแง่มุมให้ขบคิด ท่ามกลางดรามา คนได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของ “ณิชา” และว้าวอยู่ไม่น้อย
ที่ผ่านมาเรื่องราวของณิชา ปรากฏต่อสื่อน้อยมาก ทั้งที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานตั้งแต่อายุ 17 ปี ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าตัวเป็นอินโทรเวิร์ต ชอบอยู่บ้าน ไม่ทำตัวให้เป็นข่าวฉาว เรื่องผลงานอาจไม่ได้ถูกพูดถึงตู้มต้าม แต่การถูกแฟนๆ กล่าวขานในฐานะคนรักที่น่าอิจฉาของ “โตโน่” ก็มีให้เห็นตลอดระยะเวลา 7 ปี ณิชามีความคลั่งรักฝ่ายชาย หลงรักผู้ชายคนนี้ได้ในทุกๆ วัน ในขณะที่โตโน่ก็เทิดทูนณิชาเสียเหลือเกิน
แฟนๆ เริ่มได้เห็นแง่งามในการใช้ชีวิตของณิชา หลังจากที่เจ้าตัวตัดสินใจเล่นภาพยนตร์เรื่อง 14 อีกครั้ง การได้เดินสายบอกเล่าเรื่องราว ความคิด การใช้ชีวิต ทำให้แฟนๆ ได้เห็นมุมที่น่าทึ่งของนางเอกคนนี้
ตัวตน ณิชา
ณิชา เดิมมีชื่อเล่นว่า ใบเฟิร์น เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ มีพี่น้อง 3 คน ครอบครัวเป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาการสื่อสารแบรนด์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ในวัยเด็ก ณิชา โตมากับสวน พ่อหวงมาก ไม่ให้เล่นนอกบ้าน เลิกเรียนต้องขับรถมารับกลับบ้าน ใช้ชีวิตเป็นตาราง ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบ จนทำให้เจ้าตัวกบฏกับพ่อ เคยหนีไปเที่ยวกับเพื่อน โดดเรียนไปแอบอยู่ในห้องน้ำ และด้วยความที่อยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาก่อน ทำให้ครั้งนึงเจ้าตัวเคยทดลองเป็นทอม ชอบแต่งตัวสไตล์พั้งก์ แต่สุดท้ายก็เลิก เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง
ณิชาเริ่มงานในวงการตอนอายุ 17 ปี จากการชักชวนของ “ธนินทร์ ไฝสิงห์” เป็นจุดเปลี่ยนให้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เปลี่ยนชื่อเล่นจากใบเฟิร์นเป็นณิชา เพื่อให้จดจำและเรียกง่ายขึ้น ผลงานละครเรื่องแรกคือ “ทองเนื้อเก้า” แสดงรับเชิญตอนจบ ตามมาด้วยละครเรื่องคิวบิก ได้รับบทนำครั้งแรกในละครเรื่องนางอาย ระยะหลังๆ ณิชาเริ่มได้บทบาทที่ท้าทายฝีมือได้เล่นละครดรามาหลายเรื่อง
แม้ไม่หวือหวาที่ช่อง 3 แต่ถ้าหากพูดถึงความรัก เจ้าตัวก็มีชีวิตที่น่าอิจฉา 7 ปีที่คบหากับโตโน่ มีแต่สิ่งดีๆ ให้กัน แทบไม่มีข่าวฉาวใดๆ ออกมา ต่างฝ่ายต่างซัปพอร์ตกันและกัน โตโน่อาจโดนค่อนแคะเรื่องพูดช้า แต่ตัวตนณิชา ก็เป็นคนพูดช้า ถึงขั้นละครเรื่องแรก ผู้กำกับต้องสั่งให้ณิชาไปฝึกพูดให้เร็วกว่านี้ เพราะจังหวะการพูดช้ามาก
ฉะนั้นการพูดช้าของทั้งคู่ จึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกของกันและกัน โดยณิชาเคยปกป้องโตโน่ถึงเรื่องนี้ว่า ทุกคำที่ออกมาจากปากโตโน่ ผ่านกระบวนการคิดอย่างดีที่สุด ผ่านการประมวลผล คำพูดออกไปแล้วจะกระทบใครไหม จะไม่โพล่งออกมาให้คนได้รับผลกระทบ เป็นการสื่อสารที่ชัดเจน และเคลียร์ ณิชาเผยว่าสิ่งนี้ของโตโน่ทำให้ตัวเองทึ่งอยู่ไม่น้อย เพราะตนถึงช้า แต่ก็ใจร้อน หากเทียบกับโตโน่ “เขาใจเย็นกว่าหนูมาก”
รักซึมลึกของณิชา
ณิชาอายุห่างจากโตโน่ 10 ปี ตอนที่เล่นละครกามเทพซ้อนกล ต่อด้วยดวงใจในมนตรา ณิชาอายุ 22 ปี ยังมีความฝันอีกมากมายที่ยังไม่เคยได้ทำ ณิชาไม่ได้มีความรักที่หวือหวา แต่เป็นรักซึมลึก โตโน่เป็นผู้ชายที่มีแพสชั่นและตรงสเปก ถูกดึงดูดด้วยความตั้งใจทำในสิ่งที่ชอบ ชื่นชมในสิ่งที่โตโน่เป็น แม้คนรอบข้างมองว่าไม่น่าไปด้วยกันได้ตั้งแต่แรก
ณิชาคิดกับโตโน่แบบพี่ชายในครั้งแรก และไม่คิดว่าจะพัฒนาได้ แต่ตอนนั้นสองครอบครัวสนิทกัน ไม่รู้ว่าความรู้สึกเกิดขึ้นตอนไหน ขณะที่โตโน่เองนั้น ตอนแรกไม่มีความคิดเชิงชู้สาวกับณิชา ณิชาไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่จะมาคบเป็นแฟน ไม่ได้มาจากการตั้งใจจีบ คบกันตอนไหน เป็นแฟนตอนไหน โตโน่ยังตอบไม่ได้เลย แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ไปเรื่อยๆ ของทั้งคู่ ถึงจุดหนึ่งโตโน่รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ตนต้องบอกความรู้สึก ไม่อย่างนั้นตัวเองจะเสียใจ กระทั่งโตโน่ถามถึงความสัมพันธ์ครั้งนี้ และณิชาก็ได้ตอบว่า ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา มันก็ดีนะ และทั้งคู่ก็ได้เป็นแฟนกัน
งานวิวาห์ที่ไม่มีภาพฝันร่วมกัน
ณิชากับโตโน่ ต่างไม่มีภาพฝันเรื่องการแต่งงาน แม้โตโน่จะเคยผ่านการวิวาห์กับ “แตงโม นิดา” มาแล้วก็ตาม ทั้งคู่ตกลงกันว่าขอใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ เอาให้สะใจในส่วนตัวเอง ทั้งคู่ต่างไม่ใช่คนติดแฟน ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ตามหาฝันได้โดยไม่ต้องพะวงคนที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งโตโน่เคยเผยว่า แม้วันหนึ่งการค้นหาตัวเองของณิชาอาจไม่มีตนอยู่ในนั้น ตนก็ทำใจยอมรับ แต่หากเกิดขึ้นจริง ก็คงเจ็บอยู่ไม่น้อย ชีวิตโตโน่มีสีเทา หม่นๆ ส่วนณิชาเป็นสีพาสเทล ทั้งคู่เติมเต็มกันและกัน โตโน่ยกณิชาคือสิ่งดีงามในชีวิต เป็นความรู้สึกที่โชคดีที่สุดที่ได้มา
ในวันที่เจ็บปวด
ภายใต้ความรักที่ดูสวยงาม ไม่หวือหวา ณิชายังรักอยู่หมดทั้งหัวใจ แต่ความรักของโตโน่เริ่มไม่เหมือนเดิม ไม่รู้เริ่มตั้งแต่ตอนไหนที่รักเริ่มจืดจาง โตโน่เริ่มปันใจ บอกสาวๆ คนอื่นว่า “คิดกับณิชาแค่น้องสาวเท่านั้น” เรื่องราวครั้งนี้ ทำเอฟซีต่างช็อก ทุกคนเริ่มเป็นห่วงณิชา ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ครั้งนี้ได้มากน้อยเพียงไร
แต่ภาพที่ทุกคนได้เห็น ณิชา ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเลย ณิชายังมีรอยยิ้มที่สดใส คนรอบตัวที่รักต่างออกมาซัปพอร์ต และพูดถึงณิชาในมุมที่ใครๆ อาจไม่เคยรู้ถึงเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่กลับเข้มแข็งกว่าที่คิด แม้ข้างในอาจพังทลายไปหมดแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ณิชาก็เป็นมนุษย์ ที่ไม่ใช่จะไร้ความรู้สึก เพียงแต่ณิชาจัดการมันด้วยการปล่อยให้ตัวเองรู้สึกไปกับความเจ็บปวด เพื่อให้ทุกอย่างจบได้เร็ว ความเศร้าจะได้อยู่กับตัวเองไม่นาน นี่คือการรับมือความช้ำฉบับณิชา ชีวิตแบกความเครียดมาเยอะแล้ว อย่างน้อยณิชายังมีครอบครัว คนที่รัก และคนซัปพอร์ตอยู่อีกไม่น้อย และนี่คือความสุขในชีวิตตอนนี้
ฮีลใจฉบับณิชา
ณิชาฮีลใจตัวเองด้วยการคุยกับตัวเอง สังเกตความรู้สึกตัวเอง ทำอย่างไรถึงจะเบาขึ้น วิเคราะห์ทุกจุดของตัวเอง แต่ไม่ได้วิเคราะห์จนไม่เป็นมนุษย์ ซื่อสัตย์และจริงใจกับตัวเอง ในวันที่เจ็บปวด ยังสอนคนใกล้ตัวให้มีเมตตา
ชีวิตที่กำหนดเอง
ณิชามองว่าชีวิตคนเรากำหนดเอง ส่วนหนึ่งเป็นที่โชคชะตา แม้ชีวิตจะถูกเซ็ตมาในระดับนึง แต่ต้องเปิดรับให้มันเป็นไป มันเป็นเรื่องของการมองเห็น บางทีมีคนมาวางไว้ให้เราแต่ถ้าเรามองไม่เห็นมันก็อาจจะถูกข้ามไป เป็นเรื่องของแรงดึงดูดด้วยที่จะเหวี่ยงที่ไหนมาให้ คิดดีๆ คิดถึงสิ่งที่ต้องการแล้วมันจะเกิด เขาจะอยู่ไม่อยู่ในชีวิตเรา เราเลือกได้ เราเองต้องเป็นคนที่เลือกได้ว่าใครที่จะมาอยู่ข้างๆ เรา
คนที่ณิชาจะไม่เข้าใกล้เลย คือคนที่ไม่รับรู้อะไรเลย ทำอะไรตามสัญชาตญาณตัวเองล้วนๆ ไม่มีสติยั้งคิด คนที่ให้อารมณ์ทำงานเป็นที่ตั้ง การที่เราไม่รู้ตัวเองเลย หรือไม่ยอมรับความจริงบางอย่างในตัวเอง มันนำไปสู่หลายๆ ทางได้ เห็นผิดเป็นชอบได้
แม้ว่าวันนี้ ณิชา อาจเป็นโลกคู่ขนานของโตโน่ ที่ไม่แน่ว่าอาจไม่มีปลายทางร่วมกัน แต่อย่างน้อยณิชาก็ได้เติบโตและเรียนรู้หลายสิ่งจากวิกฤต...
