ในจังหวะที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดกำลังซบเซา A Minecraft Movie กลับระเบิดฟอร์มแรงเหนือความคาดหมาย กวาดรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในอเมริกาสูงถึง 157 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าภาพยนตร์เกมเจ้าสถิติเดิมอย่าง The Super Mario Bros. Movie ซึ่งทำไว้ 146.3 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2023 และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับภาพยนตร์ดัดแปลงจากวิดีโอเกมในทันที
ความสำเร็จนี้นับว่าสำคัญยิ่งในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากค่ายยักษ์ใหญ่ต่างพากันสะดุด ไม่ว่าจะเป็น Captain America: Brave New World หรือ Snow White เวอร์ชันคนแสดงของดิสนีย์ ที่เปิดตัวได้ต่ำกว่าความคาดหวังอย่างน่าผิดหวัง
ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ต้นฉบับใหม่ๆ ที่ได้รับคำวิจารณ์ดีอย่าง Companion, Mickey 17 หรือ Novocaine กลับแทบไม่มีที่ยืนในตลาด
ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ที่หลายฝ่ายเคยมองว่า “หนังเกม” มักล้มเหลวในเชิงรายได้และคำวิจารณ์ A Minecraft Movie กลับตอบโจทย์ผู้ชมรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Alpha ได้อย่างแม่นยำ เพราะนอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเกมที่ขายดีที่สุดในโลก (มียอดขายกว่า 300 ล้านชุดทั่วโลก) ตัวหนังยังถูกวางโครงเรื่องและจังหวะให้เหมาะกับการรับชมแบบ “มีม” หรือกระแสโซเชียลอย่างลงตัว
ฉากเด็ดจากตัวอย่าง เช่น การประกาศตัวของตัวละคร "Steve" ที่รับบทโดยแจ็ค แบล็ก ว่า “I am Steve” หรือประโยค “As a child, I yearned for the mines” กลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน ดึงดูดกลุ่มผู้ชมวัยรุ่นให้ไหลเข้าโรงภาพยนตร์ราวกับชมการแข่งขันระดับชาติ บางช่วงของภาพยนตร์ เช่น การชกไก่ของเจสัน โมมัว ถูกเชียร์ในโรงไม่ต่างจากตอนแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ และโทบี้ แม็กไกวร์ ปรากฏตัวใน Spider-Man: No Way Home
กระแสดังกล่าวยังตอกย้ำว่า ความสดใหม่และเนื้อหาที่สื่อถึงวัยของผู้ชมคือกุญแจสำคัญในยุคที่หนังรีเมคและภาคต่อจากแฟรนไชส์เก่าเริ่มหมดมนต์ขลัง เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้อินกับเจ้าหญิงยุคปี 1937 หรือฮีโร่จากหนังยุค 80 อีกต่อไป แต่พวกเขาต้องการ “จักรวาลของตัวเอง” และ Minecraft กำลังตอบโจทย์นั้นได้ตรงใจ
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ความสำเร็จของ A Minecraft Movie อาจกลายเป็นตัวเร่งให้วงการหันมาจริงจังกับการหยิบวิดีโอเกมชื่อดังมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกระลอก เช่นเดียวกับที่ Barbie ทำให้หนังจากของเล่นกลายเป็นเทรนด์ ล่าสุดค่าย Roblox ซึ่งเป็นอีกเกมยอดฮิตในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ก็ถูกจับตาว่าอาจกลายเป็น “รายต่อไป” ที่จะมีภาพยนตร์ฉายโรง
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากมองย้อนกลับไปจะพบว่า Minecraft คือเกมที่ปลูกฝังฐานแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นมาตั้งแต่ปี 2011 มีทั้งเกมหลัก ม็อด ครีเอเตอร์ และตลาดซื้อขายสกินตัวละครที่สร้างรายได้ให้ไมโครซอฟท์มหาศาล
เมื่อบวกกับกระแส TikTok, ยูทูบ และการมีส่วนร่วมของผู้ชมวัยรุ่นบนโลกออนไลน์ A Minecraft Movie จึงกลายเป็นมากกว่าภาพยนตร์ แต่มันคือ "ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม" ของคนรุ่นใหม่
รายได้ทั่วโลกของภาพยนตร์ภายใน 6 วันแรกทะลุ 185 ล้านดอลลาร์ ไปแล้ว และมีแนวโน้มสูงที่จะแตะ พันล้านดอลลาร์ ในอนาคตอันใกล้ หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฮอลลีวูดจะเริ่มมองหา “ทองในดินเกม” มากขึ้น
หนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ A Minecraft Movie คือความปรารถนาของคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ที่ต้องการมีแฟรนไชส์ภาพยนตร์เป็นของตัวเอง — ไม่ใช่แค่สืบทอดความนิยมจากรุ่นพ่อแม่ แต่เป็นสิ่งที่เติบโตมาพร้อมกับวัยเด็กของพวกเขาเอง ภาพยนตร์จากวิดีโอเกมจึงกลายเป็นจุดเชื่อมโยงทางอารมณ์และความทรงจำที่ทรงพลัง ตัวอย่างก่อนหน้านี้อย่าง Five Nights at Freddy’s แม้ไม่ได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ดีจากนักวิจารณ์ แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในหมู่แฟนเกม โดยเฉพาะวัยรุ่นผู้เติบโตมากับวัฒนธรรม YouTube และ Let's Play ที่ทำให้เกมผีสยองขวัญนี้กลายเป็นตำนานรุ่นใหม่ แฟรนไชส์แบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีฉากต่อสู้โลกแตกหรือซูเปอร์ฮีโร่ แต่เพียงแค่ตอบสนองความฝันและอารมณ์ร่วมของผู้ชมวัยนี้ ก็เพียงพอที่จะสร้างปรากฏการณ์ได้อย่างไม่ยากเย็น
