พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “แม่ผ่องศรี วรนุช” ศิลปินแห่งชาติ เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด “อ.ชัยชนะ” พาภรรยาและลูกชายบุญธรรมร่วมรดน้ำศพ อยู่ด้วยกันในวาระสุดท้ายของชีวิต บอกจะสานต่อทำพิพิธภัณฑ์ให้แฟนเพลงได้เข้าไปกราบไหว้ วิญญาณจะไม่ไปไหนจะอยู่ในหุ่น เผยแม่ผ่องศรีไม่มีทายาท ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดทำบุญ
เวลา 17.00 น. วันนี้ (18 เมษายน 2568) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “แม่ผ่องศรี วรนุช” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยลูกทุ่ง-ขับร้อง) พุทธศักราช 2535 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 84 ปี วัดไร่ขิง พระอารามหลวง จ.นครปฐม หลังเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 85 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568
ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ผู้แทนพระองค์เชิญพวงมาลาหลวงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พชรสุธาพิมลลัษณ พระบรมราชินี และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปวางหน้าหีบศพ แม่ผ่องศรี วรนุช ยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้
โดยเวลา 14.00 น.ของวันนี้ ได้มีพิธีรดน้ำศพแม่ผองศรี ศิลปินผู้ล่วงลับ ทั้งนี้ครอบครัวได้เปิดให้แฟนเพลงและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานได้ จากนั้นเวลา 19.00 น. เป็นพิธีสวดอภิธรรม ซึ่งจะมีทั้งหมด 7 วัน ไปจนถึงวันที่ 24 เมษายน โดยในวันที่ 24 เมษายน เวลา 20.00 น. จะมีพิธีบรรจุศพ เพื่อรอพระราชทานเพลิงศพต่อไป
บรรยากาศภายในงานถูกจัดอย่างสวยงาม ประดับประดาด้วยดอกไม้สีขาว มีการเปิดคลิปวิดีโอแม่ผ่องศรี รวมถึงผลงานในช่วงเวลาต่างๆ ให้ชมตลอดงาน โดยมีคนในวงการบันเทิงที่รักและเคารพแม่ผ่องศรีเดินทางมาไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก อาทิ อาจารย์ชัยชนะ บุญนะโชติ ศิลปินแห่งชาติ, จุก บัญชา บุญนะโชติ (ลูกชายอาจารย์ชัยชนะ และเป็นลูกบุญธรรมแม่ผ่องศรี), คุณพิกุล บุญนะโชติ ภรรยาอาจารย์ชัยชนะ, กรุง ศรีวิไล, สดใส รุ่งโพธิ์ทอง, ศิรินทรา นิยากร, หนึ่ง จักรวาล เสาธงยุติธรรม, โอ่ง สลักจิต ดวงจันทร์, เจี๊ยบ นนทิยา จิวบางป่า ฯลฯ
โดยครอบครัว “อาจารย์ชัยชนะ บุญนะโชติ” ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนแม่ผ่องศรีตั้งแต่สมัยเข้าวงการ และอยู่กับแม่ผ่องศรีในวาระสุดท้ายของชีวิต ได้ควงภรรยาและลูกชายเปิดใจกับสื่อมวลชน
อาจารย์ชัยชนะ : “เราเข้าวงการหลังแม่ผ่องศรี 1 ปี ตั้งแต่นั้นมาก็เกือบ 70 ปี ได้คบกันมาและก็ร่วมงานกันมา ทุกงานเจอกันบ่อยตอนแรกๆ อัดแผ่นเสียงเจอกันทุกวัน ช่วยเหลือกันมาตลอดทุกงาน งานวัด งานช่วยเหลือสังคม ไปด้วยกันตลอด ด้วยความรักใคร่นับถือกัน แม่ผ่องศรีก็เป็นเหมือนเพื่อนรุ่นพี่ อายุมากกว่าเราประมาณ 3 ปี”
คุณพิกุล : “ครอบครัวเราสนิทกัน คุณแม่รักใคร่ปรองดองกันกับครอบครัว ขนาดจะขอลูกชายเอาไปเป็นลูกบุญธรรม จะให้ยกเป็นลูกชายไปเลย แต่ว่าเราจะให้ลูกได้ยังไงก็ให้ได้แต่แค่ในนาม เจอใครก็แนะนำว่าคนนี้คือลูกชาย พอดีว่าคุณแม่ขอเป็นลูกบุญธรรม ทุกวันที่เจอหน้าแกต้องต่อว่า เอ็งไม่ยอมไปอยู่กับแม่ไม่ได้เป็นนักเรียนนอก ถ้าเอ็งได้ไปอยู่กับแม่เอ็งได้เป็นนักเรียนนอกแล้ว เจอใครท่านก็จะบอกว่าเป็นลูกชาย
ตอนป่วยแม่ยังสั่งลูกชายว่าอย่ารับงานนะ คือลูกชายจะรับงานพวกท่องเที่ยวอะไรแบบนี้ คือบางทีต้องเรียกลูกชายมาดูแลแม่ คือคล้ายๆ ว่ามาแล้วก็ชื่นใจดีใจเหมือนว่าลูกมา คือคุณพ่อป่วยเหมือนกันเลยไม่ค่อยได้ไปดู แต่เราสองคนถึงตลอด ตอนที่ท่านป่วยหนักท่านโทร.มาบอกว่าอยากได้รถมารับ ลูกชายก็เลยโทร.ไปวัดไร่ขิง”
คุณจุก บัญชา : “คุณแม่ป่วยแต่ท่านไม่ยอมรับว่าท่านเป็นมะเร็ง ไม่เคยตรวจไม่อะไรเลย แต่จริงๆ ท่านเป็นมะเร็งปอด คือเราคุยกับหมอคุยกับอะไรแล้ว ว่าเราจะไม่บอกแม่เราจะให้แม่สบายใจว่า แม่เป็นแค่ปอดอักเสบ แต่ถือว่าแม่มีบุญแม่เป็นคนโชคดี แม่เป็นมานานแล้วแต่แม่ไม่เจ็บไม่ป่วย จนกระทั่งวันสุดท้ายที่แม่เสียชีวิตแม่ก็ไม่ได้เจ็บปวดคือท่านหลับไปเฉยๆแต่ครั้งแรกที่แม่ล้มถ้าเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เราก็ต้องมาดูแลแม่เพราะว่าตอนที่ท่านล้ม ท่านก็กดโทรศัพท์มั่วไปจนไปติดเบอร์พ่อ บอกพิกุลหรอแม่ล้มแม่อยากจะไปหาหมอ ให้เอาหมอมาให้ออกซิเจนที่บ้านได้ไหม
เราก็บอกว่าไม่ได้หมอจะออกจากโรงพยาบาลไปไม่ได้ต้องเอาแม่ไปโรงพยาบาล แม่ก็เลยโทร.หาผมให้จัดการโทร.หา ดร.เตย เป็นหลานของเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เราบอกพี่เตยแม่ผ่องล้ม พี่เตยก็จัดแจงส่งรถมาให้ แต่แม่ไม่ยอมอยู่โรงพยาบาล แม่แพ้แอร์ พอโดนแอร์มากก็หนาว ก็เป็นห่วงบ้านเป็นห่วงหมาแมวด้วย วันนั้นก็กลับบ้านแค่ให้ออกซิเจน ซึ่งพอให้ออกซิเจนแม่ก็แข็งแรงขึ้นมา
พอกลับไปบ้านอยู่บ้านได้สักประมาณไม่ถึงอาทิตย์แม่ก็เริ่มมีอาการ แล้วมีลูกศิษย์ไปหาพอดีแล้วก็พาแม่ส่งโรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งแม่ก็บอกเราว่าแม่ไม่ทำอะไรทั้งสิ้นไม่เจาะไม่รักษาอะไร คือตัวแม่ถ้าพูดง่ายๆ แม่ก็เป็นสายมู แม่บอกตัวแม่มีองค์พระสุรัสวดีดูแลแม่อยู่ ซึ่งท่านก็จะเชื่อแล้วท่านก็จะบอกเราว่า จุกมารับแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์แพทย์กาญจนาเพราะว่าองค์บอกให้ไปรักษาที่นั่น แม่ก็เก็บเสื้อผ้าเตรียมรอ เราก็ไปโรงพยาบาลพอถึงก็หาห้องลำบาก ก็ไปขอร้องขอคุณหมอ เนื่องด้วยคุณแม่ไม่มีทายาท คุณแม่จะทำอะไรก็ลำบาก เราเป็นเจ้าของไข้แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเซ็นอะไร คุณแม่จะเขียนมอบทุกอย่างให้เราทำให้ เราก็ไม่ได้รับ คุณแม่จะมีหลานอยู่คนนึง มาคอยดูแลและขับรถให้ แต่เนื่องด้วยคุณแม่เวลาป่วยอารมณ์ก็ร้อนจะหงุดหงิด ใช้เสียงเยอะบางทีด่าก็มีบ้าง เราก็โทร.หาแม่ตลอดถ้าวันไหนโทร.ไปแล้วไม่รับเราก็ต้องมาถึงบ้าน
ล่าสุดที่คุยกับแม่ครั้งสุดท้ายคือวันที่แผ่นดินไหว เรากลัวแม่จะคิดว่าตัวเองเป็นอะไรหรือเปล่า เราก็ถามว่าแม่เป็นอะไรไหมแผ่นดินไหว เขาบอกว่าแม่รู้เพราะมีคนอยู่ด้วย เราก็สบายใจ ก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายแม่ก็โทร.มา ซึ่งเราก็จะเตรียมตัวไปหาแม่แต่แม่บอกไม่ต้องเพราะจะกลับมาบ้านไม่อยากนอนโรงพยาบาล ก็มาทราบข่าวอีกทีตอนเช้าคือ พี่ดวงใจอยู่ด้วย แม่เสีย 8 โมง 28 นาที ที่บ้าน”
เผย แม่ผ่องศรี รับรู้ว่าเป็นมะเร็งปอดก่อนจากไปได้ 1 เดือน
คุณจุก : “พอมีคนไปลงข่าวก็จะมีคนมาสอบถาม ตอนนั้นที่เราลงคลิปไปแม่โทร.มาถามว่า มีนักข่าวโทรศัพท์มาสัมภาษณ์แม่เหนื่อย พอพูดคำว่าเหนื่อยคือแม่เป็นคนที่ไม่ปฏิเสธใคร เป็นคนเกรงใจคน เป็นคนรักแฟนเพลง ก็เลยให้เราสื่อประมาณว่า ในคลิปของเราขอบคุณแฟนเพลง และบอกว่าผ่องศรีตอนนี้อาการดีขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ว่าก็ยังไม่อยากให้ใครเข้าเยี่ยม วันต่อวันเราก็โทร.ถามว่าอะไรยังไง (ทราบเมื่อไหร่ว่าเป็นมะเร็ง?) ตอนที่เข้าโรงพยาบาลวัดไร่ขิงก็รู้แล้วแม่มีเนื้องอกที่ปอด ไปชี้ชัดที่โรงพยาบาลธนบุรีบอกแม่เป็นมะเร็งระยะ 4 ท่านทราบก่อน 1 เดือน ก่อนเสีย”
คุณพิกุล : “แม่แกปฏิเสธบอกว่าแม่ไม่ได้เป็นมะเร็ง แม่เป็นปอดติดเชื้อ แม่เป็นกรดไหลย้อน แล้วก็เป็นเขาดันลมคือคำโบราณ เป็นลมดันแบบตีขึ้นเขาเรียกว่าเขาดันลมแม่บอกแม่เป็นแค่สามอย่างเท่านั้น ไม่ว่าจะพูดให้สัมภาษณ์ใครแม่จะบอกว่าเป็นแค่นั้น”
รับไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเป็นมะเร็งเพราะกลัวแฟนเพลงแห่เป็นห่วง
คุณพิกุล : “ไม่อยากให้คนมาเยี่ยม ไม่อยากให้คนลำบาก เพราะว่าบ้านอยู่ไกล”
คุณจุก : “หนึ่งไม่อยากให้รู้เพราะกลัวแฟนเพลงเป็นห่วง คือถ้ารับแขกแม่จะเหนื่อย แต่แปลกเวลาพูดแกเหนื่อยแต่ร้องเพลงได้ ก่อนที่แม่จะเสียสักอาทิตย์นึงก็ยังร้องเพลงคู่กับพ่ออยู่เลย แม่ก็นอนร้องอยู่บนเตียงพ่อก็นั่งร้องอยู่ข้างล่าง คือทุกครั้งที่มีคลิปอะไรออกมาคือแม่สั่งให้เราถ่ายแล้วให้เราเอาไปลง ไปลงให้คนเขารู้ด้วยว่าแม่สบายดี ส่วนคลิปที่เข้าโรงพยาบาลแม่บอกว่าอย่าไปลงนะ ภาพมันไม่สวย ถ้าแม่เสียค่อยเอาไปลง
เราก็ให้แม่เราไปถามตลอด ว่าแม่ผ่องไม่มีใคร การจัดงานมันต้องใช้เงิน ถ้าสมมติเป็นอะไรขึ้นมา แม่เขาบอกแม่ไม่ถือ แม่ทำพินัยกรรมไว้หมดแล้ว แม่เขียนพินัยกรรมไว้หมดแล้ว แต่แม่บอกไว้ว่าร่างแม่ไม่ไปไหนเอามาไว้ที่วัดไร่ขิงแม่พูดแบบนี้ แม่หลับไปเฉยๆก่อนจะเสียแม่อยู่กับพี่ดวงใจ ซึ่งพี่ดวงใจบอกแม่เขาหายใจสามเฮือกแล้วเขาก็ไปลูบแก้มแม่บอกให้คิดถึงพระคิดถึงเจ้าซึ่งแม่ก็นิ่งไป
หวังมีปาฏิหาริย์ไหม คือไม่ บอกตรงๆ เรารู้อยู่แล้วว่าแม่อยู่กับเราไม่นาน ซึ่งเหมือนแม่ก็รู้ตัว ซึ่งเราก็ได้แค่ภาวนาให้แม่หลับไปเฉยๆ แรกๆ เราคิดว่าแม่ไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่หลังๆ คิดว่าแม่รู้ เพราะแผ่นเอ็กซเรย์อยู่กับแม่ แล้วใบที่หมอนัดเขาก็เขียนไว้เลยว่าเป็นมะเร็งปอด แต่แกไม่รักษาเพราะว่าค่ายามันแพง ไม่ได้รักษามะเร็งเลย มีแค่ที่โรงพยาบาลธนบุรีที่ไปซื้อยามา และหลังจากนั้นแม่ก็ปฏิเสธที่จะไม่กินอะไรเลย เพราะแม่บอกว่ามันเปลืองมันแพงสงสารหลวงไม่อยากใช้เงินหลวง”
รับแม่ห่วงวงการเพลงลูกทุ่งที่สุด
คุณจุก : “ก็ห่วงเรื่องวงการลูกทุ่ง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ห่วงแล้ว เพราะแม่เตรียมตัวมานานแล้ว สั่งพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง ปั้นหุ่น แล้วก็อัดเสียงตัวเองแม่เป็นคนเตรียมตัวและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง”
คุณพิกุล : “งานศพแม่ แม่สั่งให้เอาชุดสีขาว ซึ่งพวกเราไปเลือกกันกับหลานแม่และเจ้าหน้าที่ในนั้นอีกคนไปช่วยกันเลือกชุด ก็เรียกแม่พิกุลมาช่วยเลือกชุดให้แม่ผ่องหน่อย เราก็ถามแม่สั่งไหมว่าจะใส่ชุดอะไร ซึ่งเราเห็นแม่ชอบใส่ชุดสีขาวแกมม่วง ซึ่งเราก็จะไปหาชุดนั้น แต่ตอนเข้าไปมีชุดเตะตาอยู่หนึ่งชุด ซึ่งเราก็เอาชุดนั้นสามคนที่เข้าไปเล็งชุดเดียวกันหมดเลย ผ้าพันคอที่เราเลือกกันก็ตรงกับผ้าพันคอที่แม่ใส่ประจำตอนถ่ายรูป เหมือนแม่เขาเลือกของเขาเองโดยผ่านเรา”
บอกเงินทุกบาททุกสตางค์จากการขายหนังสือนำไปบริจาคหมด
คุณจุก : “รูปหน้าปกหนังสือแม่เป็นรูปที่แม่รักแม่ชอบ หนังสือเล่มนี้คุณแม่ไปงานก็จะเอาไปจำหน่ายด้วย รายได้ทั้งหมดคุณแม่ไปทำบุญ คุณแม่เอาไปช่วยมูลนิธิช้าง มูลนิธิพระดาบส เด็กเรียนดีแต่ยากจนคุณแม่จะทำบุญตลอด ไม่ได้เก็บเงินใช้ส่วนตัวเลย แม่เขียนพินัยกรรมว่าส่วนนี้เอาไปที่ไหนบ้าง คือพินัยกรรมที่เขียนคือบริจาคหมดเลย”
คุณพิกุล : “เงินสิ่งที่มีค่าแม่ไม่เคยเบิกเลย แม่เตรียมตัวจะนำเงินไปทูลเกล้าถวายหมดไม่ใช้เลย แม่ไม่เคยเบิกเงินศิลปินแห่งชาติเลย บ้านที่ท่านอยู่มันเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว แต่ในความหมายท่านความตั้งใจของท่านให้เป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นสถานสถานปฏิบัติธรรมความตั้งใจที่ก่อนเสียท่านพูด แล้วเหมือนท่านรู้ว่าฉันจะไปก่อนสงกรานต์ ปกติที่วัฒนธรรมเขาจะมีรดน้ำดำหัวสงกรานต์คือวันที่ 3 ซึ่งแม่รับปากว่าแม่จะไป แต่วันก่อนสงกรานต์แม่ไม่ไปขอมอบกระเช้า ตอนแรกแม่นอนเหนื่อยอยู่ แล้วอยู่ดีๆ บอกไปเอาน้ำมารดมือท่าน ท่านจะให้พรปีใหม่ (รู้เลยใช่ไหมแม่จะไปวันไหน?) คิดเลย คิดตลอด ถ้าหลานชายโทร.มาใจแว็บแล้ว พอหลานโทร.มาอาแม่ไปแล้ว”
เผยไม่เคยเห็นพินัยกรรมที่เขียนไว้
คุณพิกุล : “เราไม่รู้ว่าพินัยกรรมอยู่ตรงไหน ไม่เคยเห็น ท่านสั่งไว้งานที่จัดให้ท่านห้ามน้ำเงินไปใช้ให้เอาทำบุญ”
คุณจุก : “ในส่วนตัวแม่บอกกับเราจะบริจาคหมด คือรายได้จากอะไรทั้งหมดหักจากงานที่เหลือนำทำบุญหมดเลย ทำบุญที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ให้ไปทำบุญ”
บอกพิพิธภัณฑ์ที่แม่ผ่องศรีสร้างไว้จะเปิดให้คนทั่วไปได้เข้าไปกราบสักการะ
คุณจุก : “เสร็จจากงานเราจะทำให้ดี จะทำให้ประชาชนทั่วไปก็ไปกราบแม่ เพราะคิดว่าแม่น่าจะให้โชคทุกคน”
คุณพิกุล : “แม่บอกว่าแม่จะไม่ไปไหนนะแม่จะอยู่ที่หุ่น”
คุณจุก : “ถ้าเป็นตัวอย่างแม่ไม่มีอะไรเสียเลย แม่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีภาพที่แม่ไปไหว้ครูสลา คุณวุฒิ ก่อนเพราะแม่บอกว่าเขาเป็นครูสอนคน ครูสลาน่านับถือเพราะเขาสืบสานลูกทุ่ง ซึ่งแม่บอกว่าไหว้ในฐานะเป็นครู เวลาอัดคลิปแม่จะพูดผ่องศรีรักทุกคน ผ่องศรีขอบคุณทุกคน ไปไหนจะถือของพะรุงพะรังเอาไปฝากนักดนตรี แต่ตัวเองมัธยัสถ์มากไม่ค่อยซื้ออะไรกินเลย แต่ถ้าซื้อให้คนอื่นซื้อให้ได้”
คุณพิกุล : “แม่เป็นคนติดดิน ไม่ถือตัว แฟนเพลงคือเทวดาสำหรับท่าน”
แม่เผยไม่มีใครหนีความตายได้ วาระสุดท้ายขอนำร่างมาไว้วัดไร่ขิง
คุณจุก : “แม่บอกไม่มีใครหนีความตายได้ อย่างเราคนทั่วไปก็จะบอกว่าปั้นหุ่นทำไม มันเป็นลางไม่ดีนะ จะมาปั้นมาเกือบ 10 ปีแล้ว แม่อัดเสียงหมดบอกถ้าท่านได้ยินเสียงนี้แม่ผ่องศรีอาจจะไม่อยู่แล้ว คือแม่เตรียมตัวตลอด แม่เป็นคนที่อยู่แบบรู้จักชีวิต รู้ว่าใครก็หนีไม่ได้ ตอนแม่ไม่สบายแม่บอกไม่เจาะ แม่ไม่ผ่าอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะให้แม่ไปก็ปล่อยให้แม่ไปเฉยๆ เลย”
คุณพิกุล : “แม่สั่งแค่ว่าให้ไปไว้วัดไร่ขิง เราไม่ทราบว่าแม่เขียนพินัยกรรมว่าอะไร”
คุณจุก : “อัฐิจะเอาไปไว้กับทางพ่อแม่ที่วัดประยูร อีกส่วนอาจจะเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์เพื่อให้ใครได้มากราบไหว้ ส่วนพินัยกรรมแม่ เราไม่รู้ก็รอให้จบงานไปก่อน คือเราไม่ก้าวล่วงตรงนั้น แต่ที่คุยกับแม่ แม่ฝากฝังไว้ว่าให้ไว้ที่นี่ พอแม่เสียแล้วก็มากราบหลวงพ่อบอกเอาแม่มาไว้ที่นี่ หลวงพ่อบอกปี 2554 แม่ฝากตัวแม่กับหลวงพ่อไว้แล้ว ซึ่งหลวงพ่อบอกแม่เป็นราชินีลูกทุ่งไม่ต้องห่วงจะทำให้ดีที่สุด ออกมารูปนี้หลวงพ่อทำทั้งนั้นเลย”
