“เอ๋ มิรา” ปล่อยโฮหนัก กราบแทบตักขอโทษ “ทนายเก่ง - เมีย” เคลียร์ปมแตกหัก ทนายเก่งลั่นไม่ให้แล้วบ้าน 2 ล้าน ไม่ให้โบนัส 5 วันที่ผ่านมาสุดทรมาน รับไม่ได้เอ๋ให้ข้อมูลเพจมาทำร้าย ด้านเอ๋ยันรักทนายเก่ง-เมียเหมือนเดิม ก่อนยันไม่เคยให้ข้อมูลเพจ แค่ปรึกษาคนรอบตัว “อั้ม” โฟนอินร่ำไห้ โบ้ย “ไวน์” ชวนถ่ายคลิปเอง ไวน์ลั่นต่อไปจะขอพาเมียไปด้วยทุกที่ ด้าน “รูบี้” รับตรงๆ ชอบ “ไวน์” จริง โพสต์เล่านิทานแค่คอนเทนต์ ขนลุกถ้าบอกว่าหึง ขอโทษหากทำกิริยาไร้มารยาท
กรณีความบาดหมางระหว่าง “เอ๋ มิรา ชลวิรัลวานิศ” และ “ทนายเก่ง วิษรุษ มณีรัตน์” จากพี่น้อง กลายเป็นคู่ขัดแย้งที่บานปลาย ปม “ไวน์ ยุทธพิชัย” แฟนเอ๋ ทำคลิปกับ “อั้ม โหนกระแส” เรื่องราวบานปลายใหญ่โต ถึงขั้นเอ๋ประกาศยุติการทำแบรนด์ร่วมกันกับทนายเก่ง ต่อมาทนายเก่งโพสต์สับแหลกเอ๋ หน้าไหว้หลังหลอก ไม่ขอปกป้องอีกต่อไป ขณะที่ “รูบี้” เลขาฯ ทนายเก่งก็ได้โพสต์ภาพกล้องวงจรปิด และเล่านิทาน ทำคนคอมเมนต์ไปต่างๆ นานา
รายการ โหนกระแส วันที่ 31 มี.ค.68 ดำเนินรายการแทน “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 สัมภาษณ์ เอ๋ มิรา , ไวน์ แฟนเอ๋, ทนายพัฒน์ อีกมุม ทนายเก่ง , ปุ๊กกี้ ภรรยาทนายเก่ง และ รูบี้ เลขาฯ ทนายเก่ง ซึ่งถือว่าเป็นการมาเจอกันครั้งที่สอง หลังรอบก่อน เจอเหตุการณ์แผ่นดินไหว จนต้องยุติการออกอากาศกลางคัน
ตกใจอยู่มั้ย?
เอ๋ : ตกใจค่ะ
คุณเป็นไงบ้าง?
ทนายเก่ง : ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ มุดใต้โต๊ะก่อน
ผมก็ไปเหมือนกัน อยู่ไม่ได้ เหตุวันนั้นผมนั่งอยู่ตรงนี้ ตอนแรกก็อ่านอยู่ว่าคนนี้พูดถึงคนนี้ๆ มันเริ่มมีความสั่นไหว ตอนนั้นยังไม่รู้สึกตัว แต่ทีมงานตะโกนเข้ามาว่าแผ่นดินไหว ระวังไฟหล่น ออกมา สักพักได้ยินว่าให้ไปที่บันไดหนีไฟ ระวังอาคารถล่ม ทุกคนได้ยินมั้ย?
เอ๋ : ได้ยินค่ะ
ทุกคนได้ยินหมด ก็ต้องหยุดรายการ ผมเองก็ออก ปรากฏว่ากลับไปดูในเทป อ้าว ยังนั่งอยู่ แต่ทนายพัฒน์ตามผมไป แต่ไวน์กับเอ๋ยังนั่งกันอยู่?
ไวน์ : แกะไมค์กันอยู่ (หัวเราะ)
ทีหลังไม่ต้องรอนะ มีเหตุแบบนี้ ไมค์เป็นของนอกกาย กระชากไปก่อนเลย ไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ?
เอ๋ : ทีแรกหนูจะกระชาก แต่เก้าอี้มันติดไปด้วยค่ะ มันเลยไปไม่ได้
ไม่ต้องบรรจงแกะ มันอันตราย ตึกไม่ถล่มไม่เป็นไร แต่ไฟใหญ่กว่าตัวคุณเอง ถ้าล้มมาทับคุณ คุณตายเหมือนกัน มันไม่ได้นะ น่ากลัวมาก วันนั้นคิดว่าสองคนจับมือกันไปแล้ว แต่ไม่ช่วยกันเลยนะ?
ทนายเก่ง : ไม่ครับ ตัวใครตัวมัน
คิดจะช่วยมั้ย?
เอ๋ : แกวิ่งไปก่อนหนูแล้วค่ะ (หัวเราะ)
ถามจริงถ้าวันนั้นพี่ไม่ลุกจะไปมั้ย?
ทนายพัฒน์ : ไม่ เพราะคิดว่าไม่มีอะไร
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คุณเองเปิดคลิปนึงมา สองคนมีปัญหากันหลายเรื่อง เมื่อก่อนเคยรักกันมาก่อน แต่จากงานล่าสุด ทนายเก่งจ้างอั้ม ที่เคยออกโหนกระแส ตอนนั้นทนายเก่งให้ไวน์เป็นตากล้องไปถ่าย แต่มีภาพไวน์เข้าอยู่ในเฟรม เปิดเพลงเหมือนคนรักกัน จีบกัน ทำให้เอ๋ มิรา รู้สึกว่าไม่สมควรหรือเปล่า แต่เอ๋รู้สึกว่าทนายเก่งควรแจ้งว่าเป็นการทำงาน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน ทำไมไม่มีการแจ้ง หนำซ้ำจะมีการถ่ายภาค 2 อีก เขามองไม่ควร ทนายเก่งบอกว่าไม่ใช่ เพราะจริงๆ แล้วคนที่ไปลง ไม่ใช่ฝั่งอั้ม มันคือฝั่งของไวน์ มีภาพมาให้เห็นว่าไวน์กดเพลงส่งอะไรส่งด้วย ทำไมไม่บอกให้ไวน์พูดเอง ว่ายังรักกับเอ๋ มิรา จากนั้นมีการสาบานกัน ตอนนั้นทนายเก่งถามว่าสาบานมั้ย คุณไวน์สาบานมั้ย?
ไวน์ : ไม่ครับ ในใจผมไม่ได้สาบาน ไม่ใช่ความจริงก็ไม่สาบาน
คุณโพสต์แทนอั้มหรือเปล่า?
ไวน์ : ผมถ่ายงาน ถ่ายภาพเสร็จแล้ว น้องก็ชวนผมว่า พี่ หนูขออนุญาตนะคะ ถ่ายคลิปกับหนูได้มั้ย ไวน์ก็บอกว่าถ่ายได้ครับ เลือกเพลงเองเลย ไปถ่ายตรงมีแสงมั้ย เพราะผมเป็นตากล้อง แสงสำคัญ ก็ชวนน้องออกไปตรงนั้น น้องไม่รู้จักผม เพราะน้องฟังแค่ป๊อปแจ๊ส ผมก็ใส่แค่แฮชแท็กแค่นั้น ไม่ได้โพสต์ น้องขอว่าแฮชแท็กอะไรพี่ไวน์ ผมก็พิมพ์ให้ ส่วนน้องจะโพสต์หรือไม่โพสต์ ก็เรื่องของน้องเลย แค่นั้นเลย แต่ไม่ใช่ประเด็นหึงหวงแน่นอน เอ๋ไม่หึงผม เพราะผมถ่ายกับนางเอกเอ็มวีเยอะมาก ถ้าจะหึงหวงผม เสียงานไปนานแล้วครับ นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมคุยกับเอ๋ทุกเรื่อง ผมคุยกับน้องทุกเรื่อง น้องก็รีบมารับผม เพราะผมไม่อยากไปถ่ายต่อ ผมอึดอัดพี่เก่ง เอาจริงๆ อึดอัดมาก ผมไม่อยากพูดตรงๆ ให้เสียความรู้สึกกัน ผมไม่กล้า ผมขี้เกรงใจ เลยไม่คุยกับพี่ แต่คุยกับเอ๋ว่ามารับพี่นะ ผมตัดเลย ผมก็ไปกับเอ๋เลย แค่นั้นเอง
วันนั้นมีการให้ถ่ายครั้งที่สอง แต่ไวน์ไม่อยากถ่าย เลยให้เอ๋มารับหน่อย ตรงนี้คุณจะว่าไง?
ทนายเก่ง : น้องไม่เคยแจ้งผม ก็ไม่แจ้ง ผมก็ไม่ทราบ
ไวน์ : ผมกลัวเสียความรู้สึกกันครับ
ทนายเก่ง : เราอยู่บ้านด้วยกัน มันบอกไม่ได้ยากหรอกครับ เขาจะพูดอะไรผมก็บังคับน้องพูดไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ปรากฎตามคลิปที่เห็นแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนสร้างคลิปขึ้นมา มันไม่สามารถตัดแต่งอะไรได้อยู่แล้ว
ไวน์ : ก็อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ ผมแค่ใส่แฮชแท็ก วันนั้นพี่เก่งบอกว่าผมพิมพ์ ผมโพสต์ ผมพาน้องทำคอนเทนต์เอง ผมกับอั้มพูดตรงกัน รูบี้กับพี่พูดไม่ตรงกันแล้ว ประเด็นนี้เคลียร์มั้ยครับ
ทนายเก่ง : พี่เป็นคนสั่งให้ทำคอนเทนต์มั้ย พี่บอกให้ไวน์กับอั้มเดินไปถ่ายคลิปกันมั้ย
ไวน์ : ไม่ได้สั่งผม แต่เรื่องของเรื่องถ่ายกันเฉยๆ
ทนายเก่ง : ทำไมก่อนเป็นเรื่องใหญ่โต ไวน์ไม่บอกกับเอ๋ว่าพี่ไมได้ทำ ไวน์ก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันกระทบพี่แค่ไหน
ไวน์ : พี่ไม่ได้ทำ เอ๋ก็รู้ว่าพี่ไม่ได้ทำ แต่งานที่จ้างไป พี่จ้างอั้มมา แต่ว่าผมแค่ถ่ายคลิปเล่นกันไม่มีอะไร ผมก็เล่าให้เมียผมฟัง
เมียหรือแฟน?
ไวน์ : เมียครับ
เอ๋ มิรายิ้มนะ ชื่นใจ เขาบอกเป็นเมีย?
ไวน์ : ผมก็เล่าให้ฟัง แต่ผมไม่สามารถไปประกาศได้ว่าผมเล่าให้เมียผมฟังนะเรื่องส่วนตัว
ทนายเก่ง : ก็สรุปว่าพี่ไม่ได้สั่งไวน์ให้ทำคลิปนั้น
ไวน์ : ใช่ครับ ก็ปิดจบแล้ว พี่ออกมาให้สัมภาษณ์แล้ว ผมยอมเป็นคนไม่ออกมาปกป้องใคร ไม่ออกมาพูด แมนๆ ผมยอมเป็นแบบนั้น ผมจบแล้ว ผมไม่มีปัญหากับพี่แล้ว พี่พูดยังไงก็เป็นอย่างนั้นเลย ก็แค่นั้นครับ
ทนายพัฒน์ : จริงๆ ไม่มีอะไรเลย เรื่องงานจบไป ประเด็นคือทางคุณอั้มกับคุณไวน์ถ่ายคลิปกัน แล้วปล่อยคลิปออกมา คุณไวน์แค่พิมพ์แฮชแท็ก คุณอั้มปล่อยคลิป แล้วเป็นไวรัล คนต่อว่าคุณเอ๋ว่าทำไมปล่อยให้เป็นแบบนี้ ได้ยังไง ไม่หึงหวงเลยเหรอ จริงๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย
ปุ๊กกี้ : เราไม่ได้ติดใจ แต่แค่อยากให้น้องออกมาพูดว่าเราได้เป็นคนสั่งมั้ย เพราะตอนนี้สังคมมองว่าผู้ใหญ่สั่งให้ทำคอนเทนต์แบบนี้ ซึ่งเป็นคอนเทนต์ไม่ดี แค่อยากให้น้องเคลียร์ตรงนี้กับผู้ใหญ่
ไวน์ : อย่างที่บอก ผมรับจบไปแล้ว เพราะพี่เก่งให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ผมเลยไม่โต้แย้งอะไร
ปุ๊กกี้ : พอไวน์บอกว่าผู้ใหญ่ไม่ได้สั่งก็จบ ไม่ได้ติดใจ
เรื่องนี้จบ เพราะคุณเองก็ยืนยันว่าอึดอัดใจที่ฝั่งทนายเก่งจะให้ทำคอนเทนต์ครั้งที่สอง เขาก็ไม่รู้เพราะคุณไม่ได้แจ้ง ก็เข้าใจผิดกัน ก็เคลียร์นะ จบนะ ในมุมที่คุณออกมาจากเขาเป็นยังไง?
เอ๋ : หนูได้ขอพี่ปุ๊กกับพี่เก่งว่าขอไปทำแบรนด์เองนะคะ เพราะวันนั้นเงินเดือนหนูออก สลิปออก แล้วเห็นว่าคนในบริษัทที่ขายสินค้าหนูทุกคน ไม่ว่าจะแฟนเก่าพี่เก่ง หรือน้องสาว ทุกคนขายสินค้าหนู หนูเป็นคนทำคลิปให้ทุกคนไปลงช่องตัวเองแล้วปักตะกร้า หนูนึกว่าหนูได้เปอร์เซ็นต์ด้วย แต่เงินเดือนออกแล้วพี่ปุ๊กแจ้งมาว่าหนูไม่ได้เปอร์เซ็นต์เหมือนทุกคน พี่ปุ๊กบอกว่าหนูเข้าใจผิดนะ หนูก็ร้องไห้ ถามว่าหนูไม่ใช่เจ้าของแบรนด์เหรอคะ หนูขายเอาเปอร์เซ็นต์เหรอ
ตอนแรกเขาบอกว่าคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ด้วยเหรอ?
เอ๋ : ใช่ค่ะ ตอนแรกพี่ปุ๊กกับพี่เก่ง ขายสินค้าไฮยาบลู แต่ไม่ใช่ของหนูตอนแรก แกผลิตมาแล้ว แล้วขายไม่ออก แกเลยมาจ้างหนูเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตอนนั้นหนูอยู่กับอ.ประจักษัชัย มีสัญญากันอยู่ อาจารย์ก็รับผ่านอาจารย์ จ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ก่อน ผ่านไประยะนึง พี่เก่งบอกว่าเอ๋มาขายด้วยมั้ย เดี๋ยวพี่จะยกแบรนด์นี้ให้เป็นของเอ๋เลย หนูเลยบอกว่าก็ได้ค่ะ หนูก็เลยได้เริ่มมาขาย ขายมาเรื่อยๆ ตอนแรกหนูขายคนเดียว มันก็ไม่ได้เยอะ ได้เดือนสองสามหมื่น หนูทำกับพี่ปุ๊กสองคน แล้วมีพนักงานอีกคนคือเกด พอเริ่มขายดีมาเรื่อยๆ พี่ปุ๊กให้ 20 เปอร์เซ็นต์ตอนแรก หนูขายมาช่วงสองสามปีหลัง พี่ปุ๊กบอกว่าขอหักค่าของตีกลับนะ ลดเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ หนูไม่เคยถามว่าหนูขายได้เท่าไหร่ ไม่เคยถามเลย พี่ปุ๊กให้เท่าไหร่ หนูเอาเท่านั้น
มีการทำสัญญามั้ย?
เอ๋ : ไม่ได้ทำค่ะ มีแค่สัญญาใจ
เขาบอกมั้ยว่าจะให้เป็นเจ้าของด้วย?
เอ๋ : บอกค่ะ เขาบอกว่าจะยกแบรนด์นี้ให้หนูเป็นเจ้าของแบรนด์
มีการตกลงเรื่องตัวเลขมั้ยจะให้ยังไง?
เอ๋ : ตอนแรกบอกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย หักแล้วค่ะ
ได้ถามมั้ยจะดูบัญชียังไงบ้าง ขายได้เท่าไหร่?
เอ๋ : ไม่เคยถามค่ะ ไว้ใจกันค่ะ
จากนั้นยังไง?
เอ๋ : พอเริ่มขายดี พี่ปุ๊กบอกว่าขอหักค่าของตีกลับ เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ค่ะ
ตอนคุย คุยกับทนายเก่งกับแฟนเก่า?
เอ๋ : ไม่ค่ะ พี่เก่งกับพี่ปุ๊กนี่แหละค่ะ แฟนเก่าไม่ได้เกี่ยวค่ะ เพิ่งมาเกี่ยวตอนหลังค่ะ
คุณเอามั้ย?
เอ๋ : เอาค่ะ
ทำไมไม่พูดว่าตอนแรกไม่ได้เป็นแบบนี้?
เอ๋ : เกรงใจค่ะ เขาเป็นพี่ พี่ให้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ได้ถาม
จากนั้นยังไง?
เอ๋ : พอเริ่มขายดี เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ หลังๆ มา ทุกคนที่เข้ามาทำงานด้วย มีพนักงานมาไลฟ์ด้วย น้องสาวพี่เก่ง แฟนเก่าพี่เก่ง มาไลฟ์ขายสินค้าของหนู พี่ไวน์ได้มารักกับหนู แกเข้ามาทำน้ำหอมด้วย แล้วตอนแรกหนูแค่คนเดียว ถ่ายคลิปถ่ายอะไร ตัดลง พอมีพี่ไวน์ แกก็มาช่วยเป็นตากล้องให้ พี่ปุ๊กกับพี่เก่งบอกว่าจะเอาส่วนแบ่ง 2 เปอร์เซ็นต์ให้ไวน์นะ เอ่โอเคมั้ย หนูโอเคเลย
ทนายพัฒน์ : 2 เปอร์เซ็นต์จาก 10 เปอร์เซ็นต์ใช่มั้ย
เอ๋ : ใช่ค่ะ หนูเลยเหลือ 8 เปอร์เซ็นต์
จาก 20 เปอร์เซ็นต์ หักเหลือ 10 เพราะมีของตีกลับ จาก 10 เหลือ 8?
เอ๋ : ค่ะเพราะต้องแบ่งพี่ไวน์ 2 เปอร์เซ็นต์ หนูโอเค เพราะพี่ไวน์มาตัดคลิปช่วยหนู ดันช่องช่วยหนู หนูก็ให้ก็ได้ค่ะ หนูไม่ได้ติดใจเรื่อง 2 เปอร์เซ็นต์ หนูอยากถามเฉยๆ ว่าคนในองค์กรที่หนูกับพี่ไวน์ไปถ่ายให้ ทำไมไม่เห็นแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้หนูกับพี่ไวน์เลย ทำไมมีแค่หนูคนเดียวที่ต้องแบ่ง ตอนนั้นอ้ายถ่ายแค่กับหนู แต่โปรโมตให้ทุกคน แล้วพอเงินเดือนออก หนูกลับไม่ได้เปอร์เซ็นต์จากทุกคน ทั้งที่เป็นสินค้าของหนู หนูคิดไว้แบบนั้น หนูเลยตัดสินใจถามพี่ปุ๊กเดือนก.พ. ว่าหนูไม่ได้เปอร์เซ็นต์จากทุกคนที่ขายสินค้าหนูเหรอคะ เพราะหนูเริ่มไม่ไลฟ์ขายเองแล้ว แต่ทำโปรโมตไปทุกคนไปปักตะกร้า ก็คิดว่าหนูคงได้เปอร์เซ็นต์จากทุกคน แต่พอเงินเดือนออกมา หนูไม่ได้
ได้เปอร์เซ็นต์จากทุกคน เท่าไหร่?
เอ๋ : ไม่รู้ค่ะ หนูคิดเฉยๆ ว่าเราควรจะได้ หนูเลยถามพี่ปุ๊กว่าหนูไม่ได้เหรอคะ พี่ปุ๊กบอกว่าไม่ได้จ้า เอ๋เข้าใจผิดนะ ตอนนั้นหนูนั่งร้องไห้ แสดงว่าหนูไม่ใช่เจ้าของแบรนด์สิคะ หนูเป็นคนขายเอาเปอร์เซ็นต์เหรอ มีบ้านที่อ้ายให้เป็นโบนัส
ทนายเก่ง : ผมให้น้องเขามูลค่า 2 ล้านบาท แต่ให้ฟรีๆ ไป 2 ล้าน ส่วน 5.7 แสน ให้น้องผ่อนกี่เดือนก็ได้ ไม่มีดอกเบี้ย น้องผ่อนครบเมื่อไหร่ ค่าธรรมเนียมผมก็จะไปโอนให้ บริษัทมีงบประมาณให้น้องที่ 2 ล้านบาท
เอ๋ : เรื่องบ้าน อ้ายไม่ได้บอกหนูว่าจะให้จ่ายเพิ่ม ไม่ได้บอกว่าต้องจ่ายเพิ่มอีก 5.7 แสน มาหลังๆ พี่เก่งบอกว่าต้องจ่ายเพิ่ม หนูเลยรู้สึกเสียความรู้สึก ทำไมบอกว่าจะให้หนู แต่อยู่ดีๆ เอาหนี้มาให้หน่อย
พูดง่ายๆ เงินค่าเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้ บ้านก็ต้องมานั่งจ่ายอีก เลยรู้สึกไม่ดี มาบอกทีหลังมั้ย?
เอ๋ : มาบอกทีหลังค่ะ
ตกลงยังไง?
ทนายเก่ง : ส่วนการตกลงกัน ส่วนแบ่ง การเป็นพรีเซ็นเตอร์ เจ้าของแบรนด์ต่างๆ นานา มีการตกลงกันตั้งแต่แรกๆ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว มีการพูดคุยกัน มีการชำระเงินค่าคอมฯให้น้องทุกเดือด
ให้เขา 20 เปอร์เซ็นต์และบอกว่าจะให้เขาเป็นเจ้าของแบรนด์จริงมั้ย?
ทนายเก่ง : บอกจริงครับ ผมไม่แปลกใจเลยที่เพจพวกนั้นออกข่าวเชิงแบบนั้น ให้มาถล่มผมเละ ไม่แปลกใจ ด้วยข้อมูลที่น้องให้เขา ให้แบบนั้นจริงๆ
จะบอกว่าน้องให้ข้อมูลเพจพวกนั้นเหรอ?
ทนายเก่ง : ใช่ครับ ข้อมูลที่ได้จากเพจ การแบ่งคาคอมมิชชั่น ส่วนแบ่ง มีแค่ภรรยาผม ฝ่ายบัญชี น้องเอ๋ ซึ่งฝ่ายบัญชีเป็นน้องสาวผมเอง ถ้าไม่ใช่สามคนนี้ เพจนี้ไม่มีทางรู้แน่นอน ซึ่งตอนนี้เพจมันรู้ดีกว่าผมอีก
ปุ๊กกี้ : ขออ้างอิงจากทางเพจ น่าจะเป็นตัวเดียวกันกับที่น้องให้ข้อมูลไป
เอ๋ : เดี๋ยวๆ ทำไมถึงคิดว่าหนูเป็นคนให้เพจคะ
ทนายเก่ง : ไม่เป็นไร เอ๋ไม่ได้ให้ก็ได้ เพจอาจจุดธูปก็ไม่เป็นไร เบื้องต้นเพื่อให้กระจ่างชัด วันนี้ผมมีแค่คลิปเดียว ยังไงก็ตรงประเด็น อย่างที่น้องพูด ข้อเท็จจริงตรงนี้ไม่แปลกใจที่สังคมด่าผม ที่สังคมบอกว่าผมหากินบนหลังน้อง ไม่แปลกใจเลย น้องไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด จาก 20 เปอร์เซ็นต์ มาเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ได้ยังไง
แล้วคลิปเมื่อกี้พิสูจน์อะไร?
ปุ๊กกี้ : สินค้ามีการผลิตมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว และมีการจ้างมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในตอนแรก เห็นถึงความสามารถน้อง น้องขายของเก่ง ก็เลยบอกให้น้องมาเป็นเจ้าของแบรนด์ร่วมกันกับโรงงาน การทำงานคือให้น้องขายสินค้า โปรโมตสินค้าอยู่หน้าบ้าน โรงงานมีหน้าที่รับผิดชอบผลิตสินค้า ต้นทุนทั้งหมด รวมถึงค่าพนักงาน ค่าแพ็กของ การยิงแอดวันละ 5 พัน การจ้างอินฟลูฯ เพื่อมาโปรโมตสินค้า รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ และภาษีนิติบุคคลอีก 30 เปอร์เซ็นต์ ทุกปีที่เราต้องจ่าย บริษัทดูแลในส่วนนี้ ฉะนั้นสิ่งที่น้องพูดเมื่อกี้นี้ อยากให้พูดความจริง
ความจริงว่า?
ปุ๊กกี้ : เปอร์เซ็นต์ที่ได้ เราคุยกันเคลียร์กันตั้งแต่แรกแล้วว่าเราให้กันยังไง ช่องทางไหนบ้าง 20 เปอร์เซ็นต์ที่น้องบอกว่าได้จากกำไร ไม่ใช่ความจริง เอ๋รู้อยู่แก่ใจว่าเวลาได้เปอร์เซ็นต์ เอ๋เช็กในมือถือตัวเองก็ได้ว่ายอดขายได้เท่าไหร่ จริงๆ แล้วเรามีการให้เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ไม่ใช่จากกำไร อันนี้เอ๋พูดไม่จริง
ห๊ะ! จากยอดขาย ไม่ใช่กำไร?
ปุ๊กกี้ : ใช่ค่ะ จาก 20 เปอร์เซ็นต์ มาเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ มันอาจดูเหมือนบริษัทเอาเปรียบน้อง น้องรู้อยู่แก่ใจ ตอนแรกเราขายในแอปฯ เฟซบุ๊ก 3 เดือนแรก เราขายสินค้า 1 แถม 1 ราคา 390 บาท น้องได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้น้องได้ 78 บาทต่อเซ็ต จากนั้น 3 เดือนต่อมา ติ๊กต๊อกเปิดให้ขายของในติ๊กต๊อกช็อป เราลองขายดู แต่ขายในติ๊กต๊อกต้องมีการแข่งราคากับตลาด เราเลยคุยกันว่า จาก 390 บาท 1 แถม 1 เลยเหลือ 100 บาท 1 แถม 1 เลยเป็นที่มาว่าทำไมถึงได้บอกว่าขายเซรั่ม 2 ขวดได้แค่ 10 บาท เพราะ 10 เปอร์เซ็นต์ ขายถูกลง กำไรก็ต้องได้น้อยลง เราเลยมีการคุยกับน้องว่าเราขายอยู่ในแอปฯ เฟซบุ๊กน้องได้ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ขายในติ๊กต๊อกเราขายได้ไม่ต่ำกว่า 300 บ้าน เราขอลดลงเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ดีมั้ย น้องก็ยินดี น้องรู้อยู่แก่ใจว่าน้องได้ 10 เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ไม่ใช่กำไร ถูกมั้ยเอ๋ 10 เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ที่ไม่หักการตีคืน ต้นทุนใดๆ เลยทั้งสิ้น
สมมติเขาขายได้พันบาท เขาได้ 100?
ปุ๊กกี้ : และไม่หักภาษีด้วย บริษัทรับผิดชอบภาษี รายได้บุคคลให้น้องเอ๋ทุกปี
เอ๋รู้มั้ย?
เอ๋ : ไม่รู้ค่ะ
ปุ๊กกี้ : นี่คือความจริงของบริษัทที่อยากชี้แจง เราไม่มีเจตนาทำร้ายเด็ก หรือเอารัดเอาเปรียบเด็กเลย เรามีการตกลงรายได้กันตั้งแต่วันแรกที่ทำงานด้วยกัน เมื่อ 3 ปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 22 ที่ผ่านมา ที่เอ๋ยุติการเป็นเจ้าของแบรนด์ ทุกครั้งที่ส่งลลิปเงินเดือน จะมีการแปะตารางแจกแจงที่มารายได้ว่าทางไหนบ้างทุกครั้ง ถ้าติดใจกันหรืออยากเปลี่ยนแปลงเปอร์เซ็นต์ใดๆ ก็ควรมีการคุยกัน แต่นี่ไม่มีการคุยกันเลยว่าหนูขอเปลี่ยนแปลงเปอร์เซ็นต์ ขอเพิ่มเปอร์เซ็นต์จาก 10 เป็นเท่าไหร่ได้บ้าง
คุณเคยบอกเขามั้ยว่าไม่แฟร์ อยากให้เพิ่ม 20 เปอร์เซ็นต์?
เอ๋ : ไม่ค่ะ หนูไม่ได้อยากได้เปอร์เซ็นต์เพิ่ม ตอนหนูขายคนเดียว เขาก็มาซื้อที่หนูคนเดียว แต่มันมีปัญหาตรงที่พอทุกคนมาขายของหนูนี่แหละ ทำไมหนูไม่ได้ด้วย
คุณมองว่าคุณต้องได้เพราะเป็นเจ้าของแบรนด์?
ปุ๊กกี้ : เข้าใจสิ่งที่น้องต้องการ ทำไมไม่ได้เปอร์เซ็นต์จากช่องพันธมิตรทั้งหมด เราคุยกันตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วที่ทำงานด้วยกัน บอกชัดเจนว่าเอ๋จะได้รายได้จากช่องไหนบ้าง เอ๋จะได้รายได้จากช่องตัวเอง 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วได้รายได้จากช่องบริษัทที่ทำงานให้เอ๋ 5 เปอร์เซ็นต์ น้องขายได้เท่าไหร่ดูรายได้ทั้งหมดเลย น้องจะได้ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ช่องของบริษัทจะเป็นช่องที่เอาคลิปน้องมารีรัน คือการสตรีม ที่เห็นน้องไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน ไลฟ์ถึงตีสองตีสามตีสี่ เป็นการเอาคลิปเก่ามารีรัน เพื่อให้ลูกค้าสั่งซื้อในราคาที่ถูกลง เอ๋จะทำงานเฉลี่ยแล้วเดือนละ 2 ครั้ง หรือ 1 ครั้ง ประมาณนั้น รายได้เปอร์เซ็นต์เราพูดกันชัดเจนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ถ้าเอ๋บอกว่าไม่รู้เลย ว่าอ้ายเอื้อยให้เท่าไหร่ มันมีรายละเอียดทุกครั้งที่ส่งให้ทางไลน์ ว่ายอดขายมาจากไหนบ้าง
ทนายพัฒน์ : การตกลงกันน่าจะเป็นลักษณะหุ้นส่วน ได้ทำบันทึกสัญญามั้ย
ปุ๊กกี้ : ไม่ได้ทำบันทึกสัญญากันตั้งแต่วันแรก เพราะสโคปการทำงานของน้องเอ๋ไม่มี น้องเอ๋อยากทำงานวันไหนก็ได้ ไม่มีกำหนดว่าใน 1 เดือน น้องเอ๋ไลฟ์กี่ครั้ง ทำคอนเทนต์กี่ครั้ง แต่เงินเดือนมีการตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าเดือนนั้นค่าคอมมิชชั่นไม่ถึง น้องจะได้ไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นบาท นั่นคือการการันตีของบริษัท
ทนายเก่ง : ตามหลักกฎหมายมันไม่ใช่หุ้นส่วนหรอกครับ สินค้าผมผลิตออกมาแล้ว ผมลงทุนหมด
ปุ๊กกี้ : เรามองว่าน้องเป็นพาร์ตเนอร์
ทนายพัฒน์ : ทางนี้เขาเข้าใจว่าเจ้าของร่วม เจ้าของผลิตภัณฑ์ ตรงไหนที่เป็นเจ้าของจริงๆ มันไม่ได้แบ่งกันชัดเจน
ปุ๊กกี้ : แบ่งกันชัดเจนค่ะ เราคุยกันเรื่องเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานด้วยกัน ทุกครั้งที่จ่ายสลิปเงินเดือน มีการประกบรายการรายละเอียดให้อย่างชัดเจน แต่วันนึงมีเรื่องผิดใจกัน อยากได้เงินเพิ่มหรืออะไรก็ตามแต่ เราต้องมีการคุยกันหรือคุยกันแต่มันไม่มีตรงนี้ ถ้าคุยเปิดใจกันตรงๆ ว่าหนูรู้สึกว่าได้น้อยนะ 10 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ไม่ได้เสียภาษี เราก็จะคุยกันว่าเราอาจเพิ่มราคาสินค้าไปสักนิดนึงก็ได้ แต่มันไม่ได้มีการคุยกัน
เอ๋ : ที่หนูชัดเจนตรงพี่ปุ๊กบอกว่าได้จากช่องนี้ๆ ตอนนั้นหนูไลฟ์สดอยู่คนเดียว หนูขายอยู่คนเดียว แต่มีปัญหาช่วงหลังๆ ที่มีคนมาไลฟ์ด้วย พอให้รีรัน ก็เป็นน้องสาวทนายเก่งรีรัน คนรีรันก็ไม่เคยมาดูแลหนูเลย โบนัสก็ขอจากหนูด้วยซ้ำ
กำลังจะบอกว่ามันกลายเป็นว่า วันไหนเขาไม่ได้ไลฟ์ คนอื่นมาไลฟ์ เขาไม่ได้เงินเลย คนอื่นได้แทน ทั้งที่เขาเป็นเจ้าของ มันเหมือนไม่เป็นธรรมกับเขา เพราะตอนแรกบอกเขาเป็นพาร์ตเนอร์ หุ้นส่วนกัน เขากำลังมองว่าตรงนี้ไม่เป็นธรรม
รูบี้โพสต์เล่านิทาน ชาวนากับงูเห่า คิดว่าโพสต์ถึงคุณมั้ย?
เอ๋ : คิดว่าโพสต์ถึงค่ะ
ไวน์ : โพสต์ถึงแต่ไม่ได้เป็นงูแน่นอน
ทนายพัฒน์มองยังไง?
ทนายพัฒน์ : ผมมองว่ายังไม่มีความชัดเจนเรื่องเขาเป็นเจ้าของแบรนด์หรือเป็นตัวแทนขาย พอดูบริบทแล้วไม่มีการทำสัญญากัน บางอย่างอาจเกิดจากความไว้ใจ ไม่กล้าพูดกับผู้ใหญ่ ตรงนี้เลยเป็นช่องทางที่ทำให้สื่อสารกันไม่ชัดเจน แค่นั้นเอง
พอเขาไม่ได้ขาย ทุกคนก็เข้ามาช่วยกันขาย เขาก็ไม่ได้ขายก็ไม่ได้เงิน?
ทนายเก่ง : จริงๆ ไม่ใช่แค่ช่วงเวลามีปัญหากัน มีคนมาขายก่อนหน้านี้นานแล้ว
ปุ๊กกี้ : ในติ๊กต๊อกมีเรื่องการขายผ่านพันธมิตร ก็จะมีหลายคนเข้ามาขายอยู่แล้ว ทำไมน้องเอ๋ไม่ได้ในส่วนนี้ เพราะการตกลงกันตั้งแต่แรกเริ่ม เรามีการตกลงกันตั้งแต่แรกเริ่มว่าเปอร์เซ็นต์จะมาจากช่องทางไหนบ้าง ถ้าวันนึงน้องขัดเคืองใจ อยากได้เพิ่ม น่าจะต้องมาพูดคุยกัน แต่น้องไม่ได้มีการพูดถึงตรงนี้ค่ะ
เขาไม่ได้แคลงใจ่วาได้เพิ่มหรือไม่ได้เพิ่มเขาแคลงใจแค่ว่าพอคนอื่นมาขายเขาไม่ได้?
ปุ๊กกี้ : เพราะตอนแรกเราตกลงกันมาตั้งแต่วันแรกที่ทำงานด้วยกันเลย เราตกลงกันแบบนี้ตลอด
เอ๋ : เรื่องคนอื่นมาขายไม่ได้ตกลง แต่เรื่องรายได้หนูไม่ได้ติดใจตรงนั้น
ปุ๊กกี้ : ตรงนี้เพิ่งมาทราบวันที่น้องประกาศขอยุติการเป็นเจ้าของแบรนด์ ว่าน้องต้องการตรงนี้ เราไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย ก่อนหน้านี้เอ๋ไม่เคยมาบอกพี่เลย ตั้งแต่ 3 ปีจนมาถึงตรงนี้ มีการส่งสลิปกันทุกเดือน มีการแจกแจงรายละเอียดกันทุกครั้ง พอวันนึงที่เราแยกกัน เอ๋ถึงได้มาบอกว่าทำไมเอ๋ถึงไม่ได้
เอ๋ : ตอนนั้นเรายังไม่แยก พอสลิปเงินเดือนออกหนูถึงถาม
ปุ๊กกี้ : ก็เดือนนี้ไง เพิ่งเดือนมี.ค.
เอ๋ : หนูเลยถามพี่ปุ๊กว่าเอ้า ที่พี่ปุ๊กแจกแจง ว่า 5 เปอร์เซ็นต์ 8 เปอร์เซ็นต์
ปุ๊กกี้ : เรื่อง 8 เปอร์เซ็นต์ เอ๋รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไมเหลือ 8 เปอร์เซ็นต์ เพราะแบ่งให้ไวน์
ไวน์ : ทำไมต้องแบ่งจากเอ๋ให้ไวน์
ปุ๊กกี้ : ไวน์มาขายอีกแบรนด์นึง แบรนด์น้ำหอม ไวน์จะได้เปอร์เซ็นต์จากแบรนด์น้ำหอม ตอนแรกยังขายไม่ค่อยดี เอ๋เลยบอกว่าพี่ปุ๊กที่หนูได้ 10 เปอร์เซ็นต์หนูต้องโอนเงินให้พี่ไวน์ทุกเดือนเลย เงินเดือนหนู แต่หนูไม่อยาโอนเงินให้พี่ไวน์ เพราะดูเหมือนพี่ไวน์มาขอเงินจากหนู เลยบอกบริษัทว่างั้นแบ่ง 2 เปอร์เซ็นต์ให้พี่ไวน์เลยได้มั้ย ก็จะได้เป็นสลิปเงินเดือนของพี่เขาไป ของหนูก็เหลือ 8 เปอร์เซ็นต์
เอ๋ : ตรงนี้จริงค่ะ
ปุ๊กกี้ : รายได้ทุกอย่าง เราตกลงกันตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน เอ๋มีหน้าที่ขาย บริษัทลงทุนทุกอย่าง ทุกบาท ทุกสตางค์ ถ้าจะบอกว่า 10 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ไม่หักภาษี มันน้อยหรือมาก ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแต่ละคน รายได้ปี 2567 น้องเอ๋ มีรายได้ 2,859,376 บาท วันสุดท้ายคืองานเลี้ยงบริษัทค่ะ พี่เก่งเลยบอกว่าให้โบนัสเป็น 2 ล้านค่าจ้าง แต่บ้าน 2.5 ล้าน ก็ให้น้องจ่าย 5 แสนบาท
พูดตอนไหน?
ปุ๊กกี้ : ก่อนที่จะมีงานเลี้ยงบริษัทค่ะ เพราะตอนงานเลี้ยงต้องให้โบนัสทุกคน และอินฟลูฯ ทุกคนด้วย ซึ่งอินฟลูฯ เขาได้คนละ 1-3 แสน แต่น้องเอ๋ได้ 2 ล้าน เพราะเราทำด้วยกันมา 3 ปีแล้ว พี่เก่งเลยให้ 2 ล้าน
อีก 5 แสนต้องจ่ายเอง บ้านซื้อมา 1.8 ล้านหรือเปล่า?
ทนายเก่ง : ไม่มีทางครับ
ทนายพัฒน์ : ต้องอธิบาย 2 เปอร์เซ็นต์ให้ชัดก่อน เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเอ๋เปย์ไวน์อีก
ปุ๊กกี้ : จริงๆ เป็นแบบนั้นแหละค่ะ
เอ๋ : หนูเป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว หนูไม่ชอบเอาของคนอื่น เขาทำงานด้วยกันหนูให้ได้ เพราะพี่ไวน์แกถ่ายคลิปถ่ายอะไรให้หนู ตอนนั้นแกถ่ายให้หนูคนเดียว หนูเลยบอกว่างั้นแบ่งได้ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่หนูอยากถามคือพี่ไวน์ก็ไปถ่ายคลิปให้พี่เก่ง ไปศาลกับพี่ทนายเก่ง ไปเจอผู้ใหญ่ ถ่ายคลิปให้คนบริษัท หนู พี่ไวน์ ถ่ายคอนเทนต์ให้ทุกคนเพื่อเอาไปลงช่องทางตัวเองปักตะกร้าขาย
พี่ไวน์ไม่ได้จากคนอื่นเลย แต่ได้จากหนู 2 เปอร์เซ็นต์?
เอ๋ : ใช่ค่ะ หนูเลยมองว่าแบ่งจากของหนู หนูให้ได้ แล้วทำไมทุกคนไม่ให้ด้วย แล้วหนูไม่ได้จากทุกคนอีก
คุณได้ 2 เปอร์เซ็นต์จากเอ๋ มิรา เท่านั้นถูกมั้ย?
ไวน์ : ครับ
แล้วได้จากคนอื่นมั้ย?
ไวน์ : ไม่ครับ
เงินเดือนมีมั้ย?
ไวน์ : ไม่ครับ
ทำไมไม่ให้เขา?
ปุ๊กกี้ : ไวน์พูดความจริง แบรนด์น้ำหอมพี่ให้ไวน์กี่บาทต่อขวด
ไวน์ : 50
ปุ๊กกี้ : ราคาขายต่อขวด 200 บาทใช่มั้ย 25 เปอร์เซ็นต์
ไวน์ : ไวน์ก็เหมือนเอ๋ ที่ไม่ได้จากทุกคนที่ขาย เพราะเดือนล่าสุด ไวน์ก็ได้ประมาณ 50 ขวด ประมาณ 4 พัน แค่นั้น
เวลาเป็นตากล้องให้คนอื่น คุณได้มั้ย?
ไวน์ : เป็นพี่เป็นน้องกัน ผมก็ไม่ได้ แต่ความเป็นน้อง เป็นพี่ พี่บอกให้ไปผมก็ถ่ายให้ แม้แต่คอนเทนต์ที่ผมลงกับเอ๋เพื่อปั่นช่องขายของ ผมก็ไม่ได้ ผมได้แค่ทำแล้วลง เพื่อให้ทุกคนขายของ ผมไม่ได้อะไร นอกจาก 2 เปอร์เซ็นต์จากเอ๋ ถ้าผมไม่ได้ 2 เปอร์เซ็นต์จากเอ๋ ผมได้จากน้ำหอมแค่เดือนละหมื่นกว่าบาท ผมอยู่ได้ไง ก็แค่นั้นครับ ไม่มีอะไรเลย
จะร้องแล้ว?
ไวน์ : ผมไม่อยากให้เอ๋มองว่าผมอาศัยเอ๋ อย่างที่คนมองว่าผมเกาะเอ๋นะ 2 เปอร์เซ็นต์นี้ผมถึงอยู่ได้ ผมเป็นผู้ชาย ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไม่มีค่า
ปุ๊กกี้ : เอ๋ก็รู้สึกแบบนั้นไม่อยากให้ไวน์รู้สึกแบบนั้น ก็เลยมาบอกว่าให้โอนของเอ๋ให้ไวน์เลย เป็นเหมือนสลิปเงินเดือนไปเลย
ทำไมไม่ให้เขาไปเอง 2 เปอร์เซ็นต์?
ปุ๊กกี้ : เรามีการให้น้องอยู่แล้ว 25 เปอร์เซ็นต์ แต่แบรนด์ยังไม่ติดตลาด
เขาบอกเขาได้เดือนหมื่นกว่าบาทเขาอยู่ไม่ได้ แต่เวลาเขาไปถ่ายโน่นนี่ให้ ไม่ให้เขาเลยเหรอ?
ปุ๊กกี้ : ยังไม่ให้ค่ะ เพราะตอนนั้นยังรักกันดี แล้วก็ช่วยเหลือกัน เราก็ให้เงินตามที่เราตกลงกัน 25 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าของเขา และมีการรีรันด้วย
ไวน์ : รีรันค่อยคุยกัน ผมได้จากรีรัน ผมเพิ่งมาฝึกขายของ ก็ขายสินค้าเอ๋ และแบ่งเปอร์เซ็นต์กับรูบี้ 50-50 จากการขายสินค้าเอ๋
เอ๋ : พี่รูบี้เป็นคนรีรันให้พี่ไวน์
ไวน์ : ผมออกมาแล้วมีประเด็นนี่แหละครับ
เอ๋ : พอพี่ไวน์ไม่ขายแล้ว พี่รูบี้เลยไม่มีรายได้
รูบี้เลยโกรธ?
ไวน์ : ไม่รู้ครับ
ปุ๊กกี้ : หรือรูบี้ชอบ
ทนายเก่ง : ใจเย็นๆ
รูบี้ชอบไวน์เหรอ เขาหึงมั้ย?
ทนายพัฒน์ : ให้เขาตอบเองดีกว่า
รูบี้ชอบไวน์ พอไวน์คบเอ๋เขาเลยโกรธ ใช่มั้ย?
ไวน์ : ก็มีประเด็นกันมาครับ รอเจ้าตัวดีกว่าครับ
รูบี้แอบชอบมั้ย?
ปุ๊กกี้ : หนูคิดว่ารูบี้น่าจะแอบชอบ เพราะไวน์หล่อค่ะ เขาเลือกอยากดูแลไวน์ตั้งแต่แรก (หัวเราะ)
มีประเด็นติดใจอะไรมั้ย อั้มขอเข้าสาย บอกว่าอยากชี้แจงในมุมเขา อยากฟังมั้ย?
เอ๋ : ได้ค่ะ
ทนายพัฒน์ : เอาประเด็นเรื่องบ้าน ให้ขาดหรือให้แบบมีเงื่อนไข แล้วแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไร
ของเอ๋ มิรา ปีที่แล้วทั้งปี ได้ 2.2 กว่าล้าน ไวน์ได้ 6 แสนกว่า รวมสองคน 2.8 ล้านกว่า?
ปุ๊กกี้ : จริงๆ อันนี้จะบอกว่าเป็นยอดเอ๋ทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะแบ่งให้ไวน์
เอ๋ : หนูไม่รู้ว่ารวมยังไง เพราะหนูไม่รู้หลังบ้าน
ปุ๊กกี้ : มีสเตทเมนต์มาให้ ถ้าเอ๋อยากได้ย้อนหลังเพื่อจ่ายภาษีบุคคลเดี๋ยวพี่ส่งให้อีกรอบนึง
ทนายพัฒน์ : นี่คือมีการจ่ายเงินกันมา 10 เปอร์เซ็นต์ และ 5 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท
ปุ๊กกี้ : ถ้าน้องอยากได้ย้อนหลัง เดี๋ยวส่งให้ทีหลัง เพราะมันได้มาแค่ปีเดียวคือ 2.8 ล้าน
ตกลงเอ๋ไม่ใช่เจ้าของแบรนด์?
ปุ๊กกี้ : เป็นเจ้าของแบรนด์ร่วมกันกับบริษัท
ถ้าเป็นเจ้าของแบรนด์ เขาก็ต้องได้ทุกส่วน?
ปุ๊กกี้ : ตอนแรกตกลงกันแบบนั้น แต่เราไม่ได้มีการคุยกัน น้องก็ไม่ได้คุยมา พอมีเรื่องขัดใจกันถึงได้มีการออกมาพูดตรงนี้
จริงๆ เก่งเป็นทนาย เก่งต้องทำเรื่องสัญญา?
ทนายเก่ง : จริงๆ ต้องถามว่าเอ๋อยากทำสัญญามั้ย
เอ๋อยากทำสัญญามั้ย?
เอ๋ : หนูก็ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ หนูเป็นเด็กจะไปรู้ได้ไง
ทนายเก่ง : เอาจริงๆ เถอะ พูดความจริงเถอะ เอ๋มีปัญหาเรื่องสัญญากับใครก่อนมาเจอกับพี่ ไม่ทำสัญญาเพราะอะไร
ทนายพัฒน์ : หมายถึงอาจารย์ประจักษ์ชัย
เอ๋ : อ๋อ
เอ๋มีสัญญาค้างกับอ.ประจักษ์ชัย เลยทำสัญญากับทางนี้ไม่ได้?
เอ๋ : น่าจะใช่มั้งคะ หนูไม่รู้เรื่อง
ทนายพัฒน์ : ของอาจารย์ประจักษ์ชัยหมดสัญญากันนานหรือยัง
เอ๋ : นานแล้วค่ะ
ทนายพัฒน์ : จริงๆ พอหมดสัญญานั้นก็ทำสัญญาใหม่กันได้
ทนายเก่ง : น้องไม่อยากทำเอง อย่าพูดทำนองโยนความผิดทั้งหมดให้ผู้ใหญ่สิครับ ทนายพัฒน์ อยู่กันมา 3 ปี ไม่ใช่แค่วันเดียว
ทนายพัฒน์ : ผมไม่ได้มองแบบนั้ แต่สองฝ่ายควรทำอะไรให้ชัดเจน ไม่งั้นก็คงไม่เถียงกันในวันนี้
ปุ๊กกี้ : ก็อยากจบในวันนี้เหมือนกัน และชี้แจงรายได้อย่างชัดเจน
ทนายพัฒน์ : ถ้าฝ่ายนี้เป็นเจ้าของแบรนด์ ถ้าเขาอยากทราบเรื่องรายได้บริษัททั้งหมด ได้กำไรเท่าไหร่ จะชี้แจงได้มั้ยครับ ผมสงสัยว่าเป็นเจ้าของแบรนด์แบบได๋ หักเป็นกำไรเท่าไหร่ ทุนเท่าไหร่
ปุ๊กกี้ : ส่วนรายได้ของบริษัท ต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายทั้งหมด 9 รายการเป็นต้นทุนทางติ๊กต๊อกที่เราต้องจ่ายทั้งหมด มีค่าคอมมิชชั่นของทางน้องเอ๋ที่เราตกลงไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ค่าคอมมิชชั่นของช่องบริษัทอีก 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ค่าคอมมิชชั่นแพลตฟอร์มติ๊กต๊อกทั้งหมดรวมกับภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เราขายเซรั่ม1 แถม 1 ในราคา 100 บาท เรามีต้นทุน 52.5 บาทเลย ยังไม่หักต้นทุนสินค้า ยังไม่หักค่าพนักงานต่างๆ ฉะนั้นแล้ว 100 บาท ต้องลบออก 52.25 บาท หักออกค่าต้นทุนสินค้าอีก ต้นทุนพนักงานอีก ทั้งหมดทั้งมวล บริษัทเหลืออยู่ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ อันนี้ไม่ได้ชัดเจนนะคะ ซึ่ง 7 เปอร์เซ็นต์เราต้องได้ไปรับผิดชอบเสียภาษีรายได้นิติบุคคลประจำปี อันนี้เป็นส่วนของบริษัทที่ต้องจ่าย
ทนายพัฒน์ : อันนี้ไม่เคยแจ้งเอ๋ ถูกมั้ย
ปุ๊กกี้ : มีการแจ้งกันอยู่แล้ว ว่าได้กำไรน้อยหน่อยเด้อ เพราะขายในติ๊กต๊อกเป็นแบบนี้มีการแคปให้กันดู แต่เรื่องภาษีน้องเอ๋ไม่ค่อยได้ทราบเท่าไหร่
เอ๋ต้องการทราบอะไรอีก บ้านตอนนี้อยู่ไหน อยู่หลัง 2.5 ล้านมั้ย?
เอ๋ : ไม่ได้อยู่แล้วค่ะ ออกมาตั้งแต่ประกาศแล้ว แต่พี่ปุ๊กบอกว่าอยู่ก่อนได้มั้ย พี่ให้แล้ว เอ๋อย่าเพิ่งออกไปเลย แต่หนูไม่สบายใจที่จะอยู่ตรงนี้ หนูขอออกไปทำเอง
บ้านเป็นชื่อใคร?
เอ๋ : ไม่รู้ค่ะ
ทนายเก่ง : เป็นชื่อผมครับ โฉนดเป็นชื่อผม ตอนนั้นผมซื้อบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังใหม่ป้ายแดง น้องเป็นคนแรกที่อยู่บ้านหลังนี้
ที่ให้ 2 ล้านคือ?
เอ๋ : บ้านเก่าที่ทำบริษัทค่ะ
ปุ๊กกี้ : ไม่ใช่บ้านเก่า บ้านใหม่ พี่เก่งไปซื้อ เอ๋เป็นคนที่เข้าไปอยู่เลย แล้วหลังจากนั้นเราแค่ให้เอ๋เข้าไปอยู่ เพื่อให้มาทำงานที่ขอนแก่น
เอ๋ : เป็นบริษัทที่พี่เก่งเอาไว้แพ็กของ
ปุ๊กกี้ : พอเราเห็นเอ๋ทำงานดี เราก็เลยตกลงจะให้บ้านหลังนี้ ให้เอ๋อยู่ไปเลยนี่แหละค่ะ
ทนายพัฒน์ : ตอนนั้นรับสารมามั้ยว่าให้บ้าน แต่มีเงื่อนไขอยู่ 5.7 แสนหรือยังไง
เอ๋ : ไม่ค่ะ ตอนแรกบอกว่าให้บ้าน ตอนแรกหนูไม่ได้จะเอาบ้านหลังนี้ พี่ปุ๊กบอกว่าเดี๋ยวออกให้ 2 ล้าน ถ้าหนูเอาบ้านหลังใหม่จะเป็นข้างๆ บ้านที่เขาประกาศขาย หนูบอกว่าจะเอาบ้านหลังนี้นะ พี่ปุ๊กบอกว่าถ้าจะเอาบ้านหลังนั้น มาเอาบ้านพี่ดีกว่ามั้ย จะได้ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม เอ๋จะได้เอาเงินเก็บมารีโนเวทบ้าน หนูเลยเอาหลังที่เป็นบริษัท เพราะพื้นแตกหมดแล้ว ฝุ่นเยอะมาก
เท่ากับเขาให้โบนัสคุณ 2 ล้าน วันนี้ไม่เอาแล้ว?
ทนายพัฒน์ : ถ้าเอาบ้าน พี่เก่งมีเงื่อนไข 5.7 แสน ถูกมั้ย
ทนายเก่ง : นั่นคือตอนนั้น แต่ตอนนี้ไม่ให้แล้ว น้องออกจากพวกผมไป ถ้าออกดีๆ มีปัญหาเรื่องตัวเลข มีปัญหาเรื่องเงิน มาบอกผมดีๆ ก็ได้ คนเราอยู่กันมา 3 ปี เรื่องเงินแค่นี้คุยกันได้ บ้าน 2 ล้านผมยังยกให้เขาได้เลย น้องสาวแท้ๆ ผมยังไม่ให้เขาเลย แล้วมาให้ข้อมูลกับเพจต่างๆ
อาการเป็นยังไง?
ทนายเก่ง : สิ่งที่พวกผมเจอ มันร้ายแรงมากกับชีวิตผม ผมช่วยคนมาตลอด ไม่คิดว่าข้อมูลที่เราคุยกันเชิงลึกจะไปออกที่เพจได้ แล้วเพจไม่เมตตาแม้แต่คนท้อง ผมไม่ไหวกับเรื่องนี้ การให้ของผม ผมให้น้องโดยเสน่หา ทั้งบ้านและที่ดิน เป็นการให้อสังหาริมทรัพย์ เมื่อผมยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ผมสามารถเพิกถอนการให้เมื่อไหร่ก็ได้ ณ รายการโหนกระแส ผมขอประกาศว่าผมไม่ให้บ้านหลังนี้กับเอ๋แล้ว ผมประกาศกับพี่น้องทุกคนเลยนะครับ บ้านหลังนี้เพื่อเป็นการล้างซวยของผม ผมจะเอาออกขาย ได้กี่บาทไม่รู้ ผมจะเอาทุกบาททุกสตางค์ที่ขายได้ จะเอาไปช่วยคน ใครผ่าตัดสมอง ผ่าตัดเลือด คนที่เดือดร้อน ทักมาที่เฟซบุ๊กผม ผมไม่เอาไว้สักบาท สักสลึงนึงผมก็ไม่เอา ผมขอเอาไปช่วยคนที่เขาคิดว่าผมดี ช่วยคนที่ไม่ทำร้ายผมทีหลัง อินบ็อกซ์มานะครับ ผมประกาศว่าผมไม่ให้แล้ว ประกาศตรงนี้
ปุ๊กกี้ : (ร้องไห้)
ทนายเก่ง : สุดท้ายเรื่องคดี เห็นทนายพัฒน์ โพสต์รูปกับเอ๋ ถ่ายรูปกับเอ๋ ตกลงเรื่องการทำคดี สรุปคดีที่ศาลหนองบัว ทนายพัฒน์ตัดสินใจทำแล้วใช่มั้ย
ทนายพัฒน์ : ผมไม่ได้ตกลงทำ เนื่องจากว่าคุณแม่คุณเอ๋เป็นผู้เสียหาย วันที่ไปเจอกันที่ร้านชาบู ไม่ได้คุยเรื่องการทำคดี
ทนายเก่ง : น้องตกลงจะเปลี่ยนทนายมั้ย
เอ๋ : หนูยังไม่รู้ค่ะ
ทนายเก่ง : คุยกับแม่ก่อนมั้ย
เอ๋ : ถามพี่เก่งก่อนได้มั้ย แม่ไปศาล ศาลบอกว่าพี่เก่งยังไม่ได้แก้ฎีกาให้หนู ทั้งที่วันที่ 2 เม.ย.จะสิ้นแล้ว ทำพี่ไม่แจ้งหนูหน่อย
ทนายเก่ง : ทุกคดีที่พี่ทำ พี่เคยแจ้งเอ๋เหรอ
เอ๋ : แจ้ง
ทนายเก่ง : คดีที่ชนะมาทุกคดี เอ๋รูเรื่องคดีเหรอเอ๋ เอ๋พูดความจริงเถอะเอ๋ เปิดหน้าคุยกัน อย่าทำให้สังคมคิดว่าผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก เด็กอาจทำร้ายผู้ใหญ่ก็ได้ เรื่องขยายฎีกา พี่ขยายไว้ถึง 2 เม.ย. ถ้าทนายพัฒน์จะทำ แต่งทนายพัฒน์เข้าไปทำเลย
เอ๋ : วันนี้มันวันที่เท่าไหร่แล้วคะ จะหมดแล้ว ทำไมพี่เก่งไม่บอกหนูหน่อย
ทนายเก่ง : มันขายได้เอ๋
ทนายพัฒน์ : ไม่เป็นไร เรื่องคดีคุยกันอีกรอบก็ได้
ทนายเก่ง : ถ้าตกลงหรือคุยกันแล้ว ผมไม่สบายใจที่จะทำคดีให้น้องแล้ว ผมประกาศไว้ ณ ที่นี่เลยนะครับ ผมยกเลิกการเป็นทนายให้น้อง ถ้าแม่น้องไม่อยากให้ผมเป็นทนายต่อ แล้วฝากบอกตัวจำเลยคดีนี้ ครั้งที่คุณเคยออกจากเรือนจำ และฝากบอกทนายคนแรกว่าคุณจะฆ่า คือผม ไม่ใช่เอ๋ คดีนี้ผมไม่ได้เป็นทนายต่อแล้ว ถ้าคุณจะฆ่า พิจารณาใหม่นะครับ คดีนี้ผมไม่ได้ยุ่งแล้ว
ทนายพัฒน์ : ไม่ใช่มาฆ่าทนายพัฒน์นะ (หัวเราะ) ผมไม่เกี่ยวนะ
ทนายเก่ง : ผมเอาตัวไปแลกกระสุนให้เขา สุดท้ายสิ่งที่ผมได้รับมันเป็นแบบนี้ ครอบครัวผม เมียผมจะเข้ารพ. ลูกผมจะคลอดก่อนกำหนด มันไม่เป็นธรรมกับผม ผมไม่หวังร้ายกับน้องเลย
เอ๋ : อ้ายเข้าใจหนูผิดนะ หนูไม่เคยทำร้ายอ้าย ต้นเรื่องเกิดจากอะไร หนูกำลังคุยกับพี่ปุ๊กกี้ว่าพี่ปุ๊กหนูจะออกแล้วนะ พี่ปุ๊กถามว่าหนูจะออกจากบ้านแล้วเหรอ หนูยังไม่ได้พูดกับใครเลย หนูบอกว่าพี่ปุ๊กหนูไม่สบายใจที่จะทำงานต่อ เพราะคนรอบข้างหนู ไม่ว่าจะน้องสาวพี่ทนายเก่ง หรือแม่พี่ทนายเก่ง จุดแตกหักเกิดจากแม่พี่ที่ด่าหนูว่าหนูเกาะพี่เก่งกิน แค่กินเบียร์ แกยังจับเบียร์ไปฟาดหน้าพลูวิลล่า ว่าหนูเกาะพี่เก่งกิน เงินลูกกู เบียร์ลูกกูซื้อ ตอนนั้นหนูไม่พูดเพราะหนูเสียใจมาก หนูรักครอบครัวนี้ หนูคิดว่าหนูเป็นลูกสาวเขาอีกคน นั่นคือจุดแตกหัก ต่อมาก็เป็นน้องสาวพี่เก่ง ไม่ดูแลไม่ใส่ใจเรื่องการทำงานของหนู จะเอากับหนูอย่างเดียว หนูพูดเลยว่าหนูไม่เคยคิดจะทำร้าย ตอนหนูพูดกับพี่ปุ๊กว่าขอออกนะ พี่ปุ๊กยังพูดเลยว่าอย่าเพิ่งออกได้มั้ย ไม่ต้องทำงานเลยก็ได้ ขอให้อยู่ตรงนี้ หนูกับพี่ปุ๊กก็ร้องไห้กัน แล้วอยู่ดีๆ พี่รูบี้โพสต์ว่าจะแฉหนู เรื่องกล้องวงจรปิด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหนูถึงบอกเพื่อน คุยกับเพื่อนทุกคนว่ามันเป็นแบบนี้ หนูยังถามพี่ปุ๊กว่าพี่รูบี้จะแฉอะไรหนู ทำไมโพสต์กับหนูแบบนี้ อ้ายเข้าใจมั้ย จุดเริ่มต้นมันไม่ได้เกิดจากหนู
ทนายเก่ง : ไม่เป็นไรหรอก เพจข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ไม่เป็นไร ทนายพัฒน์ก็ทำหน้าที่ของท่าน
เอ๋ : น้องสาวพี่เก่งด่าหนูสารพัดเลย ทั้งที่หาเงินกับหนู
ปุ๊กกี้ : จริงๆ เป็นเรื่องที่รู้สึกผิด อยากขอโทษอดีตคู่กรณีเขา ที่วันนึงเคยสนับสนุนหรือเห็นเขาใช้เพจทำร้ายคนลับหลัง เราเป็นผู้ใหญ่แล้วเราไม่ได้ปราม ตอนนั้นดีใจไปกับเขา ที่เขาเอาเพจมาทำร้ายคนอื่นได้ วันนี้รู้แล้วว่าพอเราโดนกับตัวเอง เราโดนจากคนที่เรารัก จากคนที่เราเห็นว่าเป็นเด็ก เด็กเขาก็มีวิธีการทำร้ายในแบบของเขา วันนี้ขออโหสิกรรมจากคุณครูและน้องคนนั้นด้วยค่ะ
ทนายพัฒน์ : ขอชี้แจงแทนนิดนึง เพราะบางข้อมูลผมถามข้อเท็จจริงที่ไปที่มาเบื้องต้น น้องก็ให้ข้อมูลบางส่วน แต่บางส่วนเพจที่เอามาปล่อย อาจเป็นจากเพจ หรือคนอื่นส่งเข้ามา ผมก็เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างข้อมูลอาจมาจากน้องโดยตรง อาจเล่าให้คนนั้นคนนี้ฟัง แล้วสุดท้ายกลับมาที่เพจ หรือบางทีอาจเป็นบุคคลอื่นที่มีปัญหากับทั้งสองฝ่ายแล้วส่งข้อมูลเข้ามา มันเลยกลายเป็นว่าอธิบายกันไปยืดยาว แล้วทำให้เราทะเลาะกัน
ปุ๊กกี้ : มันไม่ใช่จากบุคคลอื่นหรอกค่ะ เราอยู่ด้วยกันมา เรารู้ว่าเขาทำอะไร
ตกลงยังไง?
เอ๋ : ถ้าแกคิดแบบนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอโทษแล้วกันค่ะ
ต่อสายหา “อั้ม”?
อั้ม : หนูขอชี้แจงค่ะ ช่วงเบรกแรกที่พี่ไวน์พูดถึงเรื่องคลิปว่าหนูเป็นคนชวนพี่ไวน์ ตรงนี้เรื่องคลิปจากกล้องวงจรปิดก็ชัดเจนว่าใครเป็นคนชวน ใครเป็นคนพิมพ์ ใครเป็นคนเล่นโทรศัพท์ในการลง ตรงนี้อาจมีประเด็นที่หนูเคยพูดไนไลฟ์ ที่เก่งและทีมหลังบ้านพี่เก่งทราบอยู่แล้วว่าหนูจะขอจบปัญหาด้วยการที่หนูพูดเองว่าหนูเลือกเพลง โพสต์เอง เพื่อให้ประเด็นตรงนี้จบค่ะ เพราะหนูคิดว่าจบที่เราเบาที่สุดค่ะ จบที่หนูเลยดีกว่า หนูเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมาถึงวันที่ต้องเป็นข่าวในโหนกระแส เพราะเป็นแค่หนึ่งคลิป แค่คลิปเดียว เราก็ออกมาพูดหลายรอบ เพราะตัวพี่ไวน์ไม่เคยออกมาพูด หนูพูดตามประสาหนูว่าคุยกันหลังบ้านเดี๋ยวจะพูดว่าหนูเลือกเพลงเอง ลงเพลงเอง จะได้จบ อย่างน้อยคนด่าที่เรามันจบอยู่แล้ว เป็นเราที่แบกรับความรู้สึกตรงนี้ แต่ตอนนี้ สิ่งที่เป็นความจริง หลังบ้านทุกคนรู้หมด ว่าใครเป็นคนชวน ใครเป็นคนลงคลิป ทุกคนก็เห็นกล้องวงจรปิดมานานมากๆ แล้วค่ะ ตัวพี่ไวน์ก็เห็นกล้องวงจรปิด ทำไม ณ วันนี้ถึงยังจะบอกว่าหนูเป็นคนชวน ทั้งที่กล้องวงจรปิดเห็นชัดว่าพี่ไวน์ให้หนูไปถ่ายคลิปข้างนอก หนูอยากขอความเป็นธรรมนิดนึง เพราะสิ่งที่ออกไป ไม่ว่าจะเพจต่างๆ เข้ามาคอมเมนต์ด่าหนูแรงมากๆ ตัวแฟนคลับพี่เอ๋ได้ทักมาด่าตัวหนูเอง (ร้องไห้) และแม่ค่ะ หนักมากๆ จริงๆ วันนี้หนูเลยต้องออกมาพูดตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างในคลิปมันชัดเจนมากแล้ว แต่ถ้าตัวพี่ไวน์ไม่ยอมรับในสิ่งที่ทำ ก็ไม่เป็นไรค่ะ (ร้องไห้) ที่ผ่านมาหนูรับกระแสตรงนี้ตลอด และไม่เคยอยากออกมาพูด โดนด่าเสียๆ หายๆ โดนด่าทั้งบ้านเลย พี่สาวก็โดนทักมาด่าจากแฟนคลับพี่เอ๋-พี่ไวน์ วันนี้เลยตัดสินใจออกมาพูด และขอความเป็นธรรมนิดนึงเพราะบางเพจเอาไปลงด่าแรงมากๆ (ร้องไห้) หนูรู้สึกว่าต่อให้วันนี้ทุกคนรู้จักหนูมากขึ้น แต่สิ่งที่อยากขอความเห็นใจคือไม่น่าเกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนมารุมด่าโดยยังไม่รู้เหตุผลความจริงว่าเป็นยังไง อยากขอความเห็นใจนิดนึง หนูเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน (ร้องไห้)
เอ๋ : ถ้าเรื่องหึงหวง เอ๋ไม่ได้ติดใจน้องอั้มนะ อยากบอกเหมือนกันว่าทุกคนโดนด่าหมดในเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่เธอ
อั้ม : หนูเข้าใจว่าโดนด่าหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแฟนคลับเราห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ประเด็นตอนนี้คือ ทำไมเบรกแรก พี่ไวน์ยังเลือกไม่พูดความจริง ทั้งที่คลิปในกล้องวงจรปิดมันชัดเจน แล้วตัวหนูเองพูดตรงๆ มีหลายกระแสว่ารู้จักพี่เอ๋ ทำไมไม่รู้จักพี่ไวน์ หนูไม่รู้จักจริงๆ เชื่อว่าอีกหลายคนก็ไม่รู้จัก หลายคนทักมาว่าตอแหล แอ๊บแบ๊ว มึงจะไม่รู้จักได้ยังไง เขาคบกันมานาน ถ้ามึงรู้จักเอ๋ ต้องรู้จักไวน์สิ แล้วทักมาด่าเยอะมากๆ ลามปามไปถึงคุณพ่อคุณแม่ สอนลูกมายังไง ลูกตอแหลมาก ไปถ่ายคลิปกับเขา เยอะมากๆ พูดตรงนี้เลยหนูรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หนูส่งให้ทีมงานดูว่าหนูไม่รู้จักพี่ไวน์จริงๆ ยังทักไปว่าหนูไม่โอเคเลย เจอสายตาพี่ไวน์ ดูไม่เป็นมิตร เราทักไปบอกทีมหลังบ้านเราจริงๆ ว่าเราไม่โอเค พี่เขามองไม่โอเคเลย ยังบอกว่าเดี๋ยวกลับบ้านไปจะเล่าให้ฟัง หนูแค่อยากออกมาพูดในมุมหนูว่าการที่หนูไม่รู้จักเราไม่ได้แอ๊บแบ๊วนะ เราไม่จำเป็นต้องรู้จักไปเสียหมด ถ้าพี่ไวน์ยืนยันว่าไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคนจะด่าหนู ก็อย่างที่พี่เอ๋บอกว่ามันโดนด่ากันหมดในเรื่องนี้ ในสมการนี้ แค่อยากพูดว่าพี่ไวน์รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำ อย่างน้อยไม่ต้องซื่อสัตย์กับทุกคน แต่ซื่อสัตย์กับคำพูดตัวเองหน่อย บอกตัวเองให้มั่นใจหน่อยว่าไม่ได้ทำจริงๆ ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไรค่ะ คำพูดที่ทุกคนด่าหนูตามเพจต่างๆ มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ทนายพัฒน์ : พาดพิงกันไปพาดพิงกันมาว่าใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนให้ถ่าย ใครเป็นคนโพสต์ คุณไวน์แกยืนยันว่าใส่แค่แฮชแท็ก ประเด็นอยู่ตรงนี้
อั้ม : อย่างที่เห็นในกล้องวงจรปิด หนูพาดพิงไม่ได้ถ้าไม่มีหลักฐาน หลังจากลงแล้ว หนูก็คุยกับพี่ปุ๊กกี้
ทนายพัฒน์ : ใครเป็นคนลง บัญชีใครครับ
อั้ม : บัญชีหนูจริงค่ะ ถ้าเห็นในกล้องวงจรปิด หนูเปิดหน้าติ๊กต๊อกเป็นคลิปคนอื่นเต้นๆ อยู่ด้วยซ้ำ ไม่ใช่หน้าหนู
อั้มต้องการลงเอง แต่ลงไม่ได้ เลยให้ไวน์ลง หรือไวน์ลงเอง หรือยังไง?
อั้ม : พอถ่ายเสร็จหนูไม่ได้ตัดสินใจจะลง กดร่างไว้ก่อน พี่ไวน์ก็เลยพูดว่าเดี๋ยวพี่พิมพ์ให้นะ เลือกเพลงให้ เพราะเพลงยังไม่ได้มีการเลือก หนูไม่รู้จะใส่เพลงอะไร เราถ่ายเอาไว้ก่อน แล้วกดร่างไว้ จริงๆ แล้วในช่องหนู ปกติหนูไม่เคยลงใครอยู่แล้ว มันเป็นพื้นที่ส่วนตัว เราจะลงใครก็ต้องเลือกก่อน แล้วถ้าลงจะมีผลกระทบอะไรมั้ย หนูเพิ่งเจอพี่ไวน์ครั้งแรก เจอในฐานะเขาเป็นตากล้อง จะลงก็ไปถามทีมหลังบ้านถามพี่เก่ง เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคือใคร วันนั้นพอส่งโทรศัพท์ให้เสร็จ พี่เขาก็กดลง โอเคถ้าลงไปแล้วจะให้หนูไปกดลบคลิปมันก็น่าเกลียด จากนั้นก็มีกระแสว่าทำไมถ่ายกับแฟนพี่เอ๋ได้ จากนั้น 2-3 วันเราเลยออกมาไลฟ์และพูดตัดจบไปเลย เพราะหนูคุยกับทีมหลังบ้านแล้วว่าจะตัดจบแล้วบอกเองก็ได้ว่าหนูเลือกเพลงแล้วกดลง ไม่อยากให้กระแสตีกลับไปมาหลายรอบ หนูก็มั่นใจว่านิสัยแมนๆ คนนึง ให้เขามาด่าที่เรานี่แหละ ให้คนด่าที่กูนี่แหละ ให้มันจบที่กู ไม่ได้คิดว่าจะมามีกระแสแบบนี้เลย
ทนายพัฒน์ : ใครชวนถ่ายคลิปนี้
อั้ม : พี่ไวน์ชี้ให้หนูออกไปถ่ายข้างนอก หนูไม่มีเจตนาจะไปถ่ายอะไรกับพี่ไวน์อยู่แล้ว
ทนายพัฒน์ : ใครเป็นคนชวน เอาง่ายๆ ตรงนี้ก่อน
ไวน์ : อั้มเป็นคนชวน ผมยืนยันว่าผมใส่แค่แฮชแท็ก
อั้ม : หนูมั่นใจว่าหนูไม่ได้ชวน
ไวน์ : กล้องไม่มีเสียง แล้วดูแค่ภาพ ดูแค่ผมชี้นิ้ว
จะบอกว่าไวน์ชวนอั้มเหรอ เขาบอกว่ายังไง?
อั้ม : เขาบอกว่าถ่ายคลิปด้วยกันหน่อย พี่ไวน์ตอนแรกเหมือนจะมานั่งข้างหนู ถ่ายรูปหนู ชวนว่าจะมีการถ่ายคลิป หนูก็โอเค ได้พี่ ไม่เป็นไร เหมือนพี่คนอื่นๆ วันนั้นไม่ได้มีแค่พี่ไวน์ มีทีมงานคนอื่นๆ ที่ถ่าย หนูก็บอกว่าได้เลย ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว ก็ถ่ายปกติ แต่ไม่ได้คิดว่าลงคลิปหรือพี่ไวน์ลงคลิปไปแล้วจะมีปัญหา เพราะเราคิดว่าเขาเป็นตากล้อง หนูไม่รู้จัก ณ วันนั้น คิดว่าลงไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ทีนี้แฟนคลับมีกระแสตีกลับมา
ไวน์ : ผมยืนยันว่าผมใส่แค่แฮชแท็กครับ ประเด็นหึงหวงเอ๋ไม่มีอยู่แล้ว เพราะผมถ่ายงานกับหลายคนมาก มันไม่ได้มีแค่คลิปนี้
เอ๋ : ไม่ได้มีแค่คลิปนี้
ไวน์ : ประเด็นไม่ใช่คลิปที่เราเล่นกัน
อั้ม : ประเด็นอื่นหนูไม่สามารถพูดถึงได้ เราไม่ได้รู้ว่าหลังบ้านมีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้ที่แฟนคลับมาด่าหนู และเพจต่างๆ เอาไปลง ดันเป็นประเด็นนี้ยืนหนึ่ง ณ ตอนนี้ก่อนโทรไป ก็มีหลายเพจลงด่าหนูถี่ๆ ซ้ำๆ เหมือนกัน หนูเลยคิดว่าจะออกมาพูดในมุมหนู แต่ถ้าพี่ไวน์ยังยืนยันว่าพี่ไม่ได้พูด ไม่ได้เป็นคนทำ ไม่ได้เป็นคนลง ก็ไม่เป็นไร หนูรับจบเหมือนเดิมได้เลย
ไวน์ : ถามหน่อยนะ ที่เราถ่ายคลิปกัน วันต่อไป เราได้ถ่ายกันเองมั้ย หรือมีใครสั่งใครบรีฟมั้ย
อั้ม : ก็ตามที่บรีฟตั้งแต่วันแรก
เอ๋ : แล้วคลิปต่อๆ มา มีใครเป็นคนบรีฟ มันไม่ได้มีแค่คลิปนี้
อั้ม : ต้องให้หลังบ้านพูดดีกว่า พี่รูบี้เป็นคนพูดดีกว่า
รูบี้เป็นคนให้ลง?
รูบี้ : พอเป็นไวรัลคลิปแรก รีรันก็รีรันไป แต่ด้วยความที่คลิปติด มันแมส จะให้ไวน์ขายน้ำหอม วันนั้นหนูกับทีมมาร์เก็ตติ้งจะไปถ่ายกับอั้มเพื่อปักตะกร้าอยู่แล้ว ไวน์อยู่บ้านพี่เก่งพอดี ก็เลยบอกว่างั้นไวน์ไปถ่ายกับอั้มดีมั้ยเพื่อให้ไวน์ปักตะกร้าน้ำหอมให้ ทีนี้ก็เลยไปร้านกาแฟ มีการนัดหมาย หนูนัดอั้มว่าเจอกันที่ร้านกาแฟมั้ย พี่จะถ่ายคลิปให้อั้มปักตะกร้า ไวน์ไปด้วย ก็จะถ่ายคลิปให้ไวน์ปักตะกร้าน้ำหอมไวน์
ทนายพัฒน์ : ประเด็นคือเถียงกันว่าคลิปนี้ใครเป็นคนชวนถ่าย
รูบี้ : รูบี้เป็นคนชวนอั้มถ่ายคลิป ถ่ายเรื่องงาน
ทนายพัฒน์ : นอกงาน ใครเริ่มต้น
รูบี้ : หนูเป็นคนคิดคอนเทนต์ คลิปถ่ายเล่นถ่ายหัวกัน ตัวต้นเรื่อง
แต่ละเพจบอกว่าของแรงเหลือเกิน รูบี้มาปุ๊บนี่ โอ้โห โหนกระแสไม่แรงหรอก แต่รูบี้น่าจะแรง เมื่อกี้เกิดความผิดพลาด ระบบไวไฟหรืออินเตอร์เน็ตช่องมีปัญหา แล้วเป็นทั้งช่องนะ ไม่ใช่รายการเดียว ต่อสายอั้มอีกที คุณรูบี้จะบอกว่าเป็นคนเอาไปลงเอง ไวน์เขาเห็นดีเห็นชอบตอนลงมั้ย?
รูบี้ : เห็นดีเห็นชอบ เพราะเป็นการพูดคุยกันทั้งคอนเทนต์ แล้วเลือกเพลงที่จะโพสต์ มีคลิปมือไวน์มืออั้มโดนกัน เราก็บอกว่ามันลงไม่ได้ เพราะเซนซิทีฟมาก ตอนทาครีม รูบี้ก็เลยทาให้ไวน์ เพื่อให้ออกไปแนวตลก เพื่อให้คนไม่โฟกัสว่าจะจิ้นกัน อันนี้ก็มีการบรีฟกันก่อนหน้านี้แล้ว ถ่ายหลายคลิปมาก
ทนายพัฒน์ : ไม่ได้จะทำให้จิ้นกัน ถูกมั้ย
รูบี้ : ไม่ได้ให้จิ้น เหมือนไวน์ฉีดน้ำหอม อั้มจะมาดมไวน์ ก็จะมีเสียงหนูว่าทำอะไร เพื่อถามสรรพคุณน้ำหอม เพื่อเบรกตรงนั้นไม่ให้คนเข้าใจว่าจะดมกันจริงๆ นี่คือคลิปแรก พอคลิปเขาดูภาพที่ถ่ายกัน หนูก็เข้ามาเบรกให้ซอฟต์ลง เพราะเป็นเรื่องเซนซิทีฟมาก ในการถ่ายหนึ่งคอนเทนต์ถ่าย 4-5 คลิป เพื่อกระจายลงหลายช่องเพื่อไม่ให้เหมือนกัน เขาเป็นนักแสดง เขารู้บทอยู่แล้วว่าจะทำแบบนี้ พอจะลงยังถามไวน์ว่าโอเคมั้ย ไวน์ส่งแค่อีโมจิเฉยๆ หนูก็เลยลง แต่ถ้าไวน์ไม่โอเค ไวน์ก็ออนช่องอยู่แล้ว สามารถปิดคลิปนั้นไม่ให้คนเห็นก็ได้ มันเกิดจากการไม่สื่อสารกันและเกิดความเข้าใจผิด จนมีประเด็นที่พวกหนูไปทำคอนเทนต์ที่ทะเล ที่หนูโพสต์กล้องวงจรปิด เพราะสองวันนั้นก่อนหน้านั้นมีกระแสและโจมตีเข้ามาภายใน หนูแค่อยากโปรเทคว่าไม่ใช่เรื่องเอาไปพูดเล่นให้กระแสมันอลังการขนาดนั้น หนูไม่ได้ระบุเลยว่าจะแฉใคร
รูบี้จะบอกว่าไวน์รู้ทั้งหมด แต่วันนี้มาทำเป็นหน่อมแน้มว่าไม่รู้?
รูบี้ : ค่ะ และให้เอ๋เป็นคนพูด แต่ไวน์ควรพูดเอง
อยากให้เขาพูดว่าอะไร?
รูบี้ : อยากให้พูดว่ามีส่วนทำด้วย ให้มันแมนๆ รับจบกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กลับไปบอกว่าเอ๋ไม่ได้หึงนะ ส่วนอั้มใครเป็นคนถ่าย มันเป็นการชักจูงกัน แล้วหนูเป็นคนกลาง จะให้ออกมาพูดว่าเอื้อยเป็นคนถ่ายให้สองคนนี้ ทัวร์ก็มาลงหนูว่าเป็นต้นเรื่องเขาอีกมั้ย หนูต้องบรีฟกันก่อน
แล้วคุณเป็นต้นเรื่องมั้ย?
รูบี้ : ตอนนี้ก็กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว เพราะก่อนทำงานเราต้องคุยกันอยู่แล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆ ถือวิสาสะ
อั้ม ยืนยันว่าอั้มเองไม่ได้ต้องการไปเรียกเขาถ่าย เขาเรียกอั้มมาถ่าย?
อั้ม : ไม่มีเหตุจำเป็นต้องถ่ายกับเขา หนูไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวด้วยค่ะ
ไวน์ : ผมก็ไม่มีเหตุอะไรต้องไปถ่ายกับน้องอยู่แล้ว ผมไม่ได้รู้จักน้อง ผมเจอน้องเพราะน้องเป็นนางแบบให้ผมถ่าย แค่นั้น ให้ถ่ายเพื่อโปรโมตแบรนด์ให้หน่อย แค่นั้น แต่คลิปใครโพสต์ไม่โพสต์ ผมใส่แค่แฮชแท็กจริงๆ
เรามีหมาหมอกไก่เขามั้ย?
ไวน์ : ไม่มีครับ
อั้ม เขาหมาหยอกไก่มั้ย?
อั้ม : ถ้าเขาพูดแบบนี้ ก็ตามนั้นค่ะ ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ดีกว่า
เอ๋ถอนใจทำไม?
เอ๋ : ถอนหายใจเฉยๆ ค่ะ
อั้ม : คอนแทคอะไรก็ไม่ได้มีกันอยู่แล้ว เราไปเพื่อร่วมงานกัน หนูไปเพื่อเป็นพรีเซ็นเตอร์กับพี่เก่ง ต่างคนต่างทำงานกันอยู่แล้ว แต่มีเรื่องคลิป หนูอยากอธิบายในส่วนของหนู ไม่อยากให้ฟังฝ่ายเดียว หนูเงียบมาตลอด ใครด่าอะไรก็ไม่ตอบโต้ วันนี้เลยขอออกมาพูดดีกว่าค่ะ ขอพูดว่าหนูไม่ได้มีเจตนาทำให้ฝ่ายไหนไม่สบายใจ ไม่ว่าฝั่งพี่เอ๋-พี่ไวน์ หรือแม่ปุ๊กกี้ พี่เก่ง พี่รูบี้ ขอบคุณมากๆ ที่พยายามปกป้องหนูตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แล้วก็ขอโทษพี่เอ๋-พี่ไวน์ ที่อาจมีหลายกระแสตีกลับไป ขอโทษ ณ ตรงนี้ด้วย และอยากให้ทุกคนที่กำลังคอมเมนต์ด่าต่างๆ นานา หรือเพจที่เอารูปหนูไปแปะโดยไม่มีการกรองข่าย อยากให้หยุดเถอะค่ะ ผลกระทบเกิดกับหนูจริงๆ เกิดกับที่บ้านทุกคน การคอมเมนต์ด่ามันมีผลตามมาตลอด ถ้าหนูฟ้องหนูก็ฟ้องได้ ถูกต้องมั้ยคะ ต่อให้เป็นคอมเมนต์จริงหรือไม่จริงก็ตาม อยากให้หยุดในสิ่งที่ทำ หรือคอมเมนต์ด่าหนู พี่เอ๋ พี่เก่ง พี่รูบี้ หรือใครก็ตาม การคอมเมนต์มันทำร้ายและส่งผลเสียจริงๆ
เอ๋อยากพูดอะไรมั้ย?
เอ๋ : พี่เอ๋ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้เลย ส่วนที่น้องเอ๋บอกว่าเอฟซีพี่เอ๋ไปด่าหรือถล่ม บางคนอาจไม่ใช่เอฟซีพี่เอ๋ก็ได้ อาจเป็นคนที่เขามาเห็นคลิปเฉยๆ ไม่อยากให้คิดมากนะ เพราะพี่เอ๋ไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงๆ
คุณไวน์อยากพูดอะไร?
ไวน์ : ผมไม่มีอะไรต้องพูด น้องว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นเลย
ถ้าวันนึงต้องไปถ่ายงานให้เขาอีก?
ไวน์ : ผมก็ถ่ายได้ครับ ถ้าเป็นงาน แต่ก็ต้องมีเอ๋ แค่นั้นเอง ต่อไปนี้ผมจะเอาเมียไปด้วย
คุณไปลงนิทานอะไร?
รูบี้ : ทั่วไปค่ะ เขียนนิทาน
คุณไม่ได้หึงใคร?
รูบี้ : ไม่ได้หึงใครค่ะ แต่คนมาด่าหนูเยอะมาก หนูเลยเขียนนิทานเรื่อยเปื่อยให้คนไปอ่านดูค่ะ
เอ๋ : กันนี่ชื่อเก่าพี่ไวน์ไม่ใช่เหรอคะ
รูบี้ : อ้าว นี่เรื่องไวน์เหรอคะ
เอ๋ : หนูก็ถามอยู่นี่ไงคะ
รูบี้ : ไม่รู้ พี่ก็เขียนมั่วไปเฉยๆ ให้คนสนุก เพราะไม่ว่าหนูโพสต์ออกกำลังกาย ก็มาด่าหนู อันแรกหนูโพสต์กล้องวงจรปิดก็ด่าหนู รอบสองหนูตบโต๊ะ 9 ครั้ง ก็ขออภัยจริงๆ ถ้าคนรู้จักหนูจริงๆ หนูเป็นคนเสียงดังอยู่แล้ว เวลาโมโห หนูก็จะเสียงดัง อยากอธิบายว่าเรื่องเล็กๆ แต่มันอลังการมาก แต่มันไม่มีอะไร ที่หนูเขียนก็ไม่ได้อะไร ทัวร์ไปลงก็หาเรื่องสนุกๆ หนูเป็นนักการตลาด ก็เลยต้องอลังการไว้ก่อนอยู่แล้ว เป็นคอนเทนต์ ครีเอทีฟต้องคิดอะไรสร้างสรรค์ แล้วมันจริงหรือไม่จริง ใครรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง หนูไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร เป็นคอนเทนต์ให้ทัวร์มาลงเฉยๆ ค่ะ
ทนายพัฒน์ : ประชาชนเขาเลยคิดว่าพี่หึงคุณไวน์หรือเปล่า
รูบี้ : อุ้ย ขนลุก
เขาบอกว่าคุณแอบชอบอยู่นะ?
รูบี้ : ไวน์เป็นน้องคนรู้จักที่เคยร่วมงานกันก่อนพามาเจอพี่เก่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว รู้จักจากการทำงาน
คุณเห็นกล้ามแขนเขาไม่ได้ คุณน้ำลายสอนะ?
รูบี้ : ขนลุก ไวน์เป็นน้องที่ร่วมงานมา เป็นน้องที่สนิท รู้จักก่อนพามาเจอพี่เก่ง เขามีปัญหาหลากหลายอย่าง แล้วรู้ว่าน้องเขาถ่ายงานโง้นงี้ เลยส่งงานให้น้องเขา พอรู้ว่าพี่เก่งทำคอนเทนต์ ทำสินค้าอยู่แล้ว เลยพามาเจอพี่เก่งเพื่อฝากน้องไว้กับพี่เก่ง
แอบชอบใช่มั้ย เอาแค่นี้?
รูบี้ : มันก็ต้องมีแหละค่ะ
นางเป็นคนจริง?
ทนายพัฒน์ : ชอบนานหรือยัง
รูบี้ : ตั้งแต่รู้จักกัน
แอบชอบ?
รูบี้ : เขาก็รู้ค่ะ ถ้าไม่ชอบจะพามาหาทำไม ก็ชอบ ก็หวังดี ปกติหนูชอบหยอกคนหล่ออยู่แล้ว เทสคนหล่อ หนูแอ๊วเขาก่อนแลกคอนแทคกัน แล้วก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แล้วพอเขามีแฟน?
รูบี้ : ก็โอเค เราไม่ได้เป็นอะไรกัน หนูกับไวน์ไม่ได้เป็นอะไรกัน
แอบร้องไห้ในห้องน้ำมั้ย?
รูบี้ : ไม่ค่ะ (ทำเป็นกัดฟันก่อนหัวเราะ) ก็ยินดีที่น้องได้ทำงานกับพี่เก่ง และรักกับเอ๋ ไม่ได้หึงหวง ไม่ได้เป็นอะไรกัน เป็นแค่คนที่หวังดีต่อกัน ไม่มีประเด็นหึงหวงอยู่แล้ว
เสียใจมั้ย?
รูบี้ : ไม่ได้เสียในค่ะ
คุณอยากพูดอะไรมั้ย?
ไวน์ : ขอบคุณพี่รูบี้ที่พามาเจอพี่เก่งและได้ทำงาน แค่นั้น เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน จะให้ผมเป็นอะไรกับพี่ก็คงไม่ได้จริงๆ
รูบี้ : ก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว
ที่โพสต์ไม่ได้โพสต์ถึงเขา?
รูบี้ : ไม่เกี่ยวค่ะเป็นเรื่องทั่วไปค่ะ เช็กเรตติ้ง
คุณคิดว่าเป็นเรื่องคุณมั้ย?
ไวน์ : ไม่ได้คิดอยู่แล้ว เขาจะมารู้เรื่องใต้เตียงผมขนาดนั้นก็เกินไปแล้วครับ
รูบี้ : ขนลุก (หัวเราะ) รูปที่เห็นในเพจอีเสี้ยม ก็ไปถ่ายคอนเทนต์ที่อยุธยา รูปไปเที่ยว ไปทำงาน ไม่ได้มีอะไร
ทนายพัฒน์ : ดูหวานแหววนะ (หัวเราะ)
รูบี้ : หนูลงในเฟซบุ๊ก ไม่มีการหวานจิ้น ไม่มีที่รัก
คุณเคยเห็นมั้ย?
เอ๋ : ไม่ค่ะ
รูบี้ : นี่ลงก่อน 3 ปีที่แล้ว คนไปขุดก็อลังการมากนะคะ เก่ง สุดยอด หนูลงเรียลไทม์ ไม่ลงอัลบั้ม
มีถ่ายรูปหัวใจ?
รูบี้ : ก็ไปเที่ยว คิดไป
ยอมรับว่าชอบเขาจริงๆ ตอนนั้น?
รูบี้ : ค่ะ
ตกลงบ้านเขาไม่ให้แน่ๆ แต่ตอนนั้นบอกว่าให้เขาเป็นโบนัสนะ เขาทำงานให้ไปแล้ว หรือให้เป็นเงินเขามั้ย?
ทนายเก่ง : ไม่ครับ ผมบอกว่าให้ในส่วนค่าบ้านตั้งแต่แรก
แต่เดี๋ยวคนจะครหาว่าในเมื่อตอนนั้นเขาขายของได้ดี คุณก็ให้โบนัสเขาแล้ว ถึงเวลาคุณจะไม่ให้เขา?
ทนายเก่ง : ไม่มีปัญหาครับ ถ้าน้องติดใจก็ไปว่ากันต่างหาก ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องด่าผมแน่ 5 วันที่แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นยังไง ไม่มีใครรู้ว่าผมทรมานแค่ไหน ไม่รู้ว่าครอบครัวผมเกิดอะไรบ้าง ไม่เป็นไรผมถูกด่าไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมตัดสินใจ ผมให้น้องเพราะผมรักในตอนนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ไม่เมตตาผมเลย ผมไปให้คนอื่นที่ผมคิดว่าเขาไม่มาทำร้ายผมในภายหลัง ที่ผมสบายใจมากกว่า ผมยืนยันว่าไม่ให้เหมือนเดิมครับ
คุณคิดว่าเขาเอาข้อมูลไปให้เพจมาเล่นงานคุณ ที่คุณรับไม่ได้?
ทนายเก่ง : รับไม่ได้ครับ
คุณให้ใครมั้ย?
เอ๋ : ไม่ค่ะ
ไวน์ : ไม่ได้ให้ใครครับ
มีบอกคนอื่นมั้ย?
เอ๋ : มีบอกคนรอบตัวนี่แหละค่ะ แต่ใครให้เพจ ไม่รู้ค่ะ
คุณอาจพูดกับเพื่อน แล้วเพื่อนอาจส่งต่อ แต่ไม่ใช่ตัวคุณแน่ๆ?
เอ๋ : ไม่ใช่หนูแน่ๆ ค่ะ
วันที่ประกาศว่าไม่เอาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับทางนี้ เป็นเพราะไม่พอใจเรื่องอั้มหรือเปล่าถึงทำให้ออกมาพูด?
เอ๋ : ไม่ใช่เรื่องของอั้มค่ะ หนูไปรับพี่ไวน์ แล้วมาเห็นในไลน์พี่ไวน์ พี่ปุ๊กบอกพี่ไวน์ว่าถ้าอยู่ติดกับหนูจะช่วยซัปพอร์ตไม่ได้
ปุ๊กกี้ : อันนี้แหละที่อยู่ในเพจ เป็นเรื่องส่วนตัว
เอ๋ : พอเงินเดือนออกพอดี หนูก็บอกว่าหนูขออออกมาทำเอง หนูไม่สบายใจ ทั้งคนรอบข้าง ไม่ว่าจะน้องสาวพี่เก่ง แม่พี่เก่ง ไม่โอเคกับหนู หนูเลยรู้สึกว่าบรรยากาศการทำงานไม่มีความสุข ณ ตอนนั้นที่หนูคุยกับพี่ปุ๊ก แล้วพี่รูบี้ก็โพสต์เรื่องกล้อง หนูยังพูดกับพี่ปุ๊กอยู่เลยว่าทำไมพี่รูบี้โพสต์แบบนี้ ทั้งที่หนูยังไม่ได้โพสต์เลยว่าหนูยุติการทำงาน
ไวน์ : มันเป็นความเข้าใจผิดกันนั่นแหละครับ แล้วเป็นปัญหาถึงตรงนี้ ผมคุยกับพี่ปุ๊กขอออกมากันดีๆ แล้ว พี่ปุ๊กก็อวยพรเรียบร้อย แค่นั้น
เขาบอกมั้ย?
ปุ๊กกี้ : เราโทรไปคุยกับน้อง ว่าขุ่นเคืองใจเรื่องอะไร เพราะมีการที่เพจเอาไปลงแฉเรื่องรายได้ต่างๆ แฉเรื่องในองค์กร ก็เลยได้คุยกับน้อง น้องไม่ต้องออกจากบ้านก็ได้ แค่น้องเป็นน้องของพี่ก็ได้ จะออกไปทำงานเองก็ไปได้ แต่อยู่เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่น้องก็ตัดสินใจออกไป นั่นแหละค่ะ
เราไม่ได้อยากให้เขาไปตั้งแต่แรก เป็นพี่เป็นน้องกันต่อไป?
ปุ๊กกี้ : ใช่ค่ะ
เอ๋ : หนูบอกว่าหนูขอโทษนะพี่ปุ๊ก หนูไม่ได้โกรธเกลียดพี่ปุ๊กกับพี่เก่งเลย ถ้าหนูออกไปทำแล้วก็ยังกลับมาหาพี่เก่งกับพี่ปุ๊กได้เหมือนเดิม
ทำไมเข้ารพ. คุณโพสต์ว่าไม่ไหวแล้ว?
ปุ๊กกี้ : เรื่องจะคลอดก่อนกำหนดค่ะ เพจที่เอาแชตส่วนตัวไปลง ที่เป็นแชตส่วนตัวพี่กับไวน์ ไม่รู้ออกมาได้ยังไง
คุณแชตให้ใครบ้าง?
ไวน์ : แชตคุยกับเพื่อน เพราะมีคนมาว่าผมเป็นคนจ้างอั้มมาถ่ายงาน ไวน์ทำงานเอง รับงานเอง ก็บอกเพื่อนว่าไม่ได้จ้างนะ มีหลักฐาน มีคนสั่งงานมา แค่นั้น ไม่ได้มีอะไร
ทำไมแคปส่งให้เขา?
ไวน์ : อยากบอกว่าที่ออกมาเพราะเหตุผลอะไร ทำไมต้องปล่อย
เอ๋ : พี่ไวน์แกเข้าใจว่าพี่ปุ๊กให้แกอยู่กับแก แต่ถ้าจะมาอยู่กับหนู พี่เก่งกับพี่ปุ๊กจะปล่อยหนูแล้ว
ถ้าอยู่ติดกับเอ๋จะซัปพอร์ตเรื่องงานไม่ได้ ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อย ทำไมถึงมีคำนี้?
ปุ๊กกี้ : สามเดือนที่ผ่านมา เอ๋แทบไม่ได้ทำงานเลย ทุกครั้งที่ทำงานก็ต้องมีการไปเฝ้ารอ และบอกให้ทำงานในทุกๆ วัน ก็บอกไวน์ไปตรงๆ ปกติเขาทำคอนเทนต์คู่กันอยู่แล้ว ถ้าอยู่ติดเอ๋จะวางแผนงานไม่ได้ และจะไม่สามารถสั่งงานได้ พี่จะปล่อยจอย น้องสามารถทำงานตอนไหนก็ได้ ไม่มีสโคฟงานอยู่แล้ว
ไวน์ : ไวน์บอกว่าไวน์ไม่อยากสร้างตัวตนแล้ว เพราะตัวตนไวน์มีแล้วคืออ้ายผาแดง แฟนน้องเอ๋ ก็ทำงานได้
เอ๋ : อยากพูดให้เข้าใจว่าที่ไม่ทำงาน 2 เดือน หนูบอกเหตุผลไปแล้ว หนูยังถ่ายคอนเทนต์ให้ทุกคน เพราะหนูคิดว่าหนูจะได้เปอร์เซ็นต์จากทุกคน เพราะหนูก็บอกว่าสินค้าหนูติดตลาดแล้ว ให้ทุกคนเป็นคนขายให้ อีกอย่างน้องสาวพี่ทนายเก่งไม่ดูแลหนูเลย แต่จะเอาคลิปหนูไปรีรัน แล้วแบ่งเปอร์เซ็นต์กับหนู หนูเลยไม่โอเค หนูบอกพี่เก่งตลอดว่าอยากเปลี่ยนให้คนอื่นมาดูแลหนูได้มั้ย แต่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะรายได้หนูค่อนข้างเยอะ พอแบ่งกับเขา เขาได้รายได้ด้วย เขาก็ไม่ยอมไป หนูเลยต้องทำแบบว่าไม่ไลฟ์ให้ดีกว่า เผื่อเขารู้ตัวว่าเขาควรออกไปแล้ว พอเขาไม่มีรายได้จากหนู เขาเลยไปแซะ ไปด่าหนู นี่คือเหตุผลที่สองเดือนหนูพยายามทำให้ทุกคน แล้วหนูไม่ไลฟ์
ปุ๊กกี้ : ทั้งปีเอ๋ทำงานเท่าไหร่
เอ๋ : หนูป่วยไงพี่ปุ๊ก พี่ปุ๊กก็รู้ว่าหนูเข้ารพ.บ่อยมาก อันนี้คือหนูอยากพูดมาก ที่บอกว่าหนูเป็นประสาทโน่นนั่นนี่ มันแรงมากนะ
ทนายเก่ง : เอ๋อย่าเพิ่งพูด มันอาจทำให้คนสงสารเอ๋ เป็นเหตุให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรนะ อย่าพูดออกรายการ
เอ๋ : ไม่เป็นไร จริงๆ หนูไม่อยากบอกใครว่าหนูเป็น หนูรู้สึกว่าไม่ได้มีปัญหา หนูไม่ได้เพิ่งเป็น ไม่ได้เพิ่งรับยา ตั้งแต่ทำงานกับพี่ปุ๊กมา หนูเป็นมาตลอด แต่ทำไมหนูยังทำแบรนด์ให้ติดตลาดได้ใช่มั้ย นั่นแหละที่อยากจะบอก ช่วงหลังๆ หนูไม่สบายหนักมาก เป็นซึมเศร้าต้องกินยา เพราะคนรอบข้างไม่มีใครโอเคเลย บรรยากาศการทำงานไม่ดี หนูก็เลยเป็นแบบที่เห็น
ตกลงเงินไม่ให้?
ทนายเก่ง : ไม่ให้ครับ
โบนัสที่จะให้เขา?
ทนายเก่ง : ไม่ให้ครับ
พวกหน้าเขาที่เป็นแบรนด์อยู่?
ทนายเก่ง : ก็ยกเลิกครับ ยุติ เปลี่ยนพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ครับ
ผมก็ยังสับสนเจ้าของแบรนด์ ยกตัวอย่างผมทำไลโอ พาร์ตเนอร์ 3 คน มีบริษัทคุณออย กำลังจะเข้าตลาด บริษัทนึงคือแพลนบี และตัวพี่ สามบริษัทนี้ไม่ได้เปิดบริษัทใหม่ขึ้นมานะ แต่เรามีสัญญาทางธุรกิจร่วมกัน พี่มีหน้าที่นึง บริษัทนี้มีหน้าที่นึง ได้เงินมาปุ๊บ ไม่ใช่พี่นั่งไลฟ์แล้วถึงได้เงินนะ คำว่าเจ้าของก็คือเจ้าของ การลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน ต่อให้เขาลงแรง ไม่ได้ลงเงินแต่ถ้าเป็นเจ้าของก็ถือว่าเป็นเจ้าของ ฉะนั้นเขาต้องมีส่วนได้ในทุกๆ แพลตฟอร์มของเขา สมมติวันนี้พี่ไม่ได้พูด เป็นหมิง ชาลิสาพูด หรือใครพูดก็ตามแต่ แต่สุดท้ายก็ต้องได้เงิน เพราะถือว่าเป็นการทำงานร่วมกัน เรียกว่าสัญญาทางธุรกิจร่วมกัน แต่โอเคนั่นมีสัญญา แต่อันนี้พอไม่มีสัญญา มันจะพูดมุมไหนก็พูดได้ เพราะไม่มีสัญญา ไม่มีข้อเท็จจริงที่ออกมาพูด ไม่ได้เข้าข้างเอ๋ แต่ก็เข้าใจคุณด้วย พออยู่แบบเกื้อกูลพี่น้องกัน ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน ใช้ระบบครอบครัว ในบ้าน แต่บางทีบอกเลย การทำธุรกิจบนครอบครัวโดยไม่มีข้อสัญญาที่ชัดเจน มันแตกกันเยอะมาก เหมือนเรื่องนี้ นี่คือการแตกกันแล้ว มันจะมองหน้ากันไม่ติด คนช่วยเอ๋เรื่องครูไพบูลย์คือทนายเก่ง ขณะเดียวกัน คุณก็ต้องเข้าใจว่าวันที่เขาอยู่กับคุณ เขาก็ทำให้คุณเต็มที่เหมือนกัน จะไปหาทางลงกันตรงไหน?
ทนายพัฒน์ : ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอ๋วันนี้ได้เพราะทนายเก่ง แต่เอ๋ก็ช่วยทนายเก่งในบางส่วนเหมือนกัน วันนี้เดินออกจากกันไป ก็อยากให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ คิดถึงความดีแต่ละฝ่าย
วันนี้ถ้าต้องเดินไปคนละทาง รู้สึกว่าปุ๊กกับเก่งอาจต้องไปทบทวนเรื่องโบนัสเขาอีกสักนิด วันไม่ได้มีผลดีกับคุณถ้าคุณจะบอกว่าวันนี้บ้านกับโบนัสไม่ให้แล้ว เพราะเขาทำให้เจ็บปวด แต่ถ้าให้คุณจะซื้อใจคนได้อีกเยอะ อย่างน้อยคำพูดที่เคยพูดไปคือคำพูด ไม่ได้ร้องขอว่าต้องให้เขานะ ลองตัดสินใจดู ส่วนเอ๋จะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่เอ๋ เป็นเรื่องของคนสองคน มีอะไรจะพูดอีกมั้ย?
เอ๋ : หนูขอบคุณพี่ปุ๊กกับพี่เก่งมากๆ เลยนะคะ ที่อยู่ด้วยกันมา มันคือความรักความเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูให้ไป หนูรักพี่มาก หนูขอบคุณทุกอย่างที่ร่วมทางกันมา ไม่ว่าต่อจากนี้อ้ายกับเอื้อยจะยังไง แต่หนูก็จะยังรักอยู่เหมือนเดิน (เดินไปกราบตัก) หนูขอโทษอ้าย (ร้องไห้โฮ) เอื้อยจะยังเป็นเอื้อยหนูเหมือนเดิมนะแม่
ปุ๊กกี้ : (จับมือเอ๋ร้องไห้)
อันนี้เป็นการขอโทษหรืออะไร?
เอ๋ : หนูยังรักเอื้อยเด้อ (ร้องไห้หนัก) ขอโทษอ้ายเด้อ (ยกมือไหว้ทนายเก่ง)
สิ่งที่ทำคืออะไร?
เอ๋ : หนูไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ ตลอดมาหนูรักพี่ปุ๊กกับพี่เก่งมาก รักมากจริงๆ (ร้องไห้) หนูขอบคุณกับที่ผ่านมา และขอโทษถ้าหนูทำอะไรไม่ดีลงไป หนูขอโทษนะคะ หนูขอโทษเอื้อย (ร้องไห้)
ปุ๊กกี้ : (ร้องไห้กอดทนายเก่ง)
สองวันที่ทำมา แผ่นดินไหว จบตรงที่ยกมือไหว้ตรงนี้เลยนะ?
ทนายพัฒน์ : อย่างน้อยได้พูดคุยกัน จบกันด้วยดี
รูบี้ : ขออภัยที่ทำกิริยามารยาทที่ไม่ดี กับที่ผ่านมา อาจทำด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทำให้ทุกคนเจ้าใจผิด ขอโทษไวน์ ขอโทษทุกคน ที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจ ทำให้ดุเดือดเลือดพล่านในโซเชียล ยังไงก็ขอโทษ ขออภัย ขออโหสิกรรมกับทุกคนด้วยนะคะ
