“อิงฟ้า วราหะ” ยอมรับยากทำใจสูญเสีย “แม่สีดา” บอกพออินกับอะไรมากทำให้อารมณ์ดิ่งมากทางความรู้สึก เพราะเหมือนเป็นภาพวนในอดีตตอนที่สูญเสียคุณพ่อ เผยจากเหตุการณ์นี้ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป โทร.หาแม่มากขึ้น และใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น
ทำเอาหลายคนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยไม่น้อย สำหรับสาว “อิงฟ้า วราหะ” หลังจากเดินทางไปร่วมไว้อาลัย “แม่สีดา พัววิมล” ก่อนเล่าถึงความผูกพันและคำสัญญาที่แม่สีดารับปากว่าจะซื้อของให้ทั้งที่ไม่ได้มีกำลังทรัพย์ จนตนต้องขอเปลี่ยนเป็นมะม่วงแทน เพื่อให้แม่สบายใจและกล้ามาพบกัน แต่สุดท้ายแม่สีดาก็เสียชีวิตก่อน ทำให้เจ้าตัวรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง
ล่าสุด อิงฟ้า ก็ได้ยอมรับว่ายากจะทำใจและดิ่งมากทางความรู้สึก เพราะเหมือนเป็นภาพวนในอดีตตอนที่สูญเสียคุณพ่อ และจากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป โทร.หาแม่มากขึ้น ใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้นด้วย
“ท่านที่โพสต์เป็นเพื่อนสนิทของแม่สีดา ซึ่งเราคิดน่าจะเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันที่ได้คุยกันไว้เกี่ยวกับของขวัญวันเกิดที่บอกเขาว่าเปลี่ยนเป็นมะม่วงได้ไหม แต่ก็เสียใจอย่างที่บอก ทั้งเสียดายมันแค่ไม่กี่วันจริงๆ มันนิดเดียว แต่วันนี้เขาก็ฌาปนกิจศพไปแล้ว ก็คิดว่าน่าจะเป็นวันที่เขารอคอยแล้วหรือเปล่าที่เขาจะได้ไปเจอกับพี่อ๊อฟ (อภิชาติ พัววิมล) ได้เจอหรือเปล่าเราไม่รู้ว่าโลกข้างหลังมันเป็นยังไง แต่ในความสบายใจของคนที่อยู่ข้างหลังเราก็ภาวนาให้เข้าไปสู่ภพภูมิที่ดี แล้วก็เชื่อว่าตัวแม่เองก็น่าจะเดินทางไปสู่หนทางที่เขารอคอย”
เผยรู้สึกอารมณ์ดิ่งมากทางความรู้สึก เพราะเหมือนเป็นภาพวนในอดีตตอนที่สูญเสียคุณพ่อ
“เราก็แอบดิ่งอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่เราก็เป็นซึมเศร้าอยู่ด้วย พอเราอินกับอะไรแล้วถ้ามันดิ่งไปแล้ว มันก็ขึ้นมาค่อนข้างยากเหมือนกัน พอเรามาทราบเรื่องเมื่อวานก็ต้องถ่ายซีรีส์เรื่องใหม่อยู่ ทุกคนในกองก็น่ารักรู้ว่าเราดาวน์ แต่งหน้าก็ใช้เมกอัปช่วยในการทำให้ตาบวมน้อยลง ทุกคนก็น่ารักซัปพอร์ตกันดี ซึ่งเราเองก็ไม่ได้อยากที่จะรู้สึกดิ่งเพราะถ้าแม่สีดาเขารู้เขาเป็นคนตลกเราอยู่ด้วยก็จะตลกกันเขาก็คงไม่อยากเห็นเราเป็นแบบนี้ แต่ว่าวันเราไปที่วัดสำหรับสวดอภิธรรมศพวันที่ 2 ก็คือไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยให้ตัวเองดิ่งขนาดนั้น แต่มันห้ามไม่อยู่ด้วยความที่เราไม่อยากเห็นภาพนี้ จริงๆ เราไม่ชอบไปงานศพใครเลยตั้งแต่เสียคุณพ่อไปก็หลายปีแล้วที่ไม่เข้างานศพเลย แต่เป็นแม่สีดาเรายอมไปได้ พอเราไปถึงเราไม่อยากเห็นภาพที่ไม่อยากเจอเขาตรงนี้”
เผยการจากไปกะทันหันของแม่สีดาทำให้ใส่ใจคนที่บ้านมากขึ้น
“มันเร็วเกินไป มันไม่ได้ตั้งตัว อาจเพราะเราเพิ่งเจอกันไม่นานเพิ่งทานข้าวด้วยกัน เสียดายโอกาส เราไม่อยากจุดธูป เราไม่อยากบอกผ่านการเคาะโลง แต่พอเรากลับมาทำให้เรารู้สึกปลงกับชีวิตมากขึ้น รอบคอบกับการใช้ชีวิตทุกคนรอบข้างมากขึ้น
เราโทรศัพท์หาแม่บ่อยมากขึ้น จากปกติเราถึงบ้านเราอาบน้ำเรานอนเลย ก็มีโทร.หาแม่ก่อนบ้าง ตื่นเช้ามาโทร.ถามกินข้าวยัง บางทีกลับมาถามตัวเองว่าทำเต็มที่กับคนรอบข้างหรือยัง ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบแม่สีดาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
บอกไม่ชอบเห็นภาพการจากลา แม้จะเป็นสัจธรรมของชีวิตก็ตาม
“เอาจริงๆ ตอนนั้นเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง สติไปแล้ว มันเหมือนเป็นภาพซ้ำตอนเราเคาะโลงพ่อเลย เราไม่ชอบการจากลาเลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัจธรรมของชีวิตก็เถอะ ตอนที่เคาะโลงก็บอกว่ามาหาแล้วนะ ก็เชื่อว่าเขาน่าจะรอเราอยู่ คิดว่าตอนนี้รอทำงานไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคงจะดีขึ้น”
