"Snow White" เวอร์ชันใหม่ของดิสนีย์เปิดตัวไม่เปรี้ยงในอเมริกา แต่ต่างประเทศพอมีหวัง — จะกลายเป็นเทพนิยายสมชื่อได้หรือไม่?
เรเชล เซเกลอร์ (Rachel Zegler) ในบท “สโนว์ไวท์” เวอร์ชันคนแสดงของดิสนีย์ ออกสตาร์ทแบบไม่ค่อยสดใสในสหรัฐฯ หลังเปิดตัวไปเพียง 43 ล้านดอลลาร์ ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการฉาย ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ตั้งไว้ที่ 48-58 ล้านดอลลาร์ ขณะที่หนังใช้ทุนสร้างสูงถึง 270 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ไลฟ์แอ็กชันที่เปิดตัวได้ต่ำที่สุดของดิสนีย์
อย่างไรก็ตาม รายได้จากตลาดต่างประเทศกลับช่วยพยุงภาพรวมไว้ได้พอสมควร โดยโกยไปแล้วอีก 87.3 ล้านดอลลาร์ จาก 52 ประเทศทั่วโลก ทำให้ภาพรวมทั่วโลกอยู่ที่ราว 130 ล้านดอลลาร์ แม้ยังห่างไกลจากการคืนทุน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “เจ๊งสนิท” ในสายตานักวิเคราะห์
ในด้านหนึ่ง หนังสามารถโค่นแชมป์บ็อกซ์ออฟฟิศโลกอย่าง Ne Zha 2 ภาพยนตร์อนิเมชันจากจีนที่ครองแชมป์มา 8 สัปดาห์ และทำรายได้ทะลุ 2.1 พันล้านดอลลาร์ ไปได้สำเร็จ
แต่ Snow White ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่แรก — ตั้งแต่ก่อนฉายก็เผชิญเสียงวิจารณ์หนัก ทั้งในประเด็นการแคสต์ เรเชล เซเกลอร์ นักแสดงเชื้อสายโคลอมเบีย-โปแลนด์ในบทเจ้าหญิงผิวขาว จนเกิดกระแสเหยียดเชื้อชาติในบางกลุ่ม ขณะที่ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ นักแสดงแคระชื่อดังจาก Game of Thrones ก็ออกมาวิจารณ์ว่าดิสนีย์ยังคงภาพลักษณ์ที่ “ล้าสมัย” ของคนแคระในนิทานเรื่องนี้
ถึงกระนั้น ผู้กำกับ มาร์ค เว็บบ์ ยังคงยืนยันในตัวเซเกลอร์ว่า “เสียงร้องของเรเชลเป็นแค่จุดเริ่มต้นของพรสวรรค์เธอเท่านั้น ความเข้มแข็ง ฉลาด และมองโลกในแง่ดีของเธอ จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเล่าเรื่องใหม่ในเทพนิยายคลาสสิกเรื่องนี้”
ส่วน กัล กาด็อต ผู้รับบทราชินีใจร้าย ก็กล่าวว่า “ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้สวมรองเท้าและมงกุฎของราชินีจอมโหดคนนี้”
แม้จะมีอุปสรรค แต่ดิสนีย์ก็เคยฝ่ามาแล้ว เช่นเดียวกับกรณีของ The Little Mermaid เวอร์ชันปี 2023 ที่เปิดตัวอย่างเงียบๆ แต่ก็ปิดรายได้ทั่วโลกที่เกือบ 570 ล้านดอลลาร์
ตอนนี้คำถามสำคัญคือ — Snow White จะเป็นอีกเรื่องที่ "แหกโค้งแล้วคืนชีพ" ได้หรือไม่?
ไม่เพียงแต่ต้องพึ่งกระแสปากต่อปากและการตลาดเท่านั้น แต่หนังยังต้องชิงใจผู้ชมท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Captain America: Brave New World และ Black Bag ก็ทำรายได้เปิดตัวในระดับต่ำที่ 4.1 ล้าน และ 4.4 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ
