แบรนดี แกลนวิลล์ อดีตดาวเด่นจาก "Real Housewives of Beverly Hills" เปิดใจถึงอาการป่วยทางผิวหนังปริศนา ที่ทำลายชีวิตและใบหน้าของเธออย่างหนัก
รายงานว่า แบรนดี แกลนวิลล์ ดาราเรียลลิตี้ชื่อดัง ออกมาเปิดเผยถึงการต่อสู้กับโรคทางผิวหนังร้ายแรงที่ยังไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตเธออย่างหนัก โดยเธอระบายความรู้สึกสุดสะเทือนใจผ่านโพสต์บน X เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ว่า "ฉันแกล้งทำเป็นเข้มแข็งมาตลอด แต่ความจริงคือ ฉันทุกข์ทรมานจนทนไม่ไหวแล้ว"
แกลนวิลล์เล่าว่า อาการป่วยทำให้ใบหน้าของเธอ "เหมือนละลายหายไป" และแม้จะเคยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและยาต้านเชื้อราทางเส้นเลือดจากทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลเซดาร์ส (Cedars) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการลงชั่วคราว แต่เธอก็ยอมรับว่าไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงลิ่วต่อไปได้
ไม่เพียงแต่อาการเจ็บป่วยทางกาย แกลนวิลล์ยังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางใจจากการดูแลเพื่อนสนิทที่นอนรักษาตัวในห้องไอซียูมา 2 สัปดาห์โดยไม่แสดงสัญญาณดีขึ้น เธอเผยความรู้สึกสิ้นหวังว่า "ชีวิตฉันต้องเปลี่ยนแปลง ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว"
เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง แกลนวิลล์ได้เข้ารับการตรวจจากศัลยแพทย์ชื่อดัง ดร.เทอร์รี ดูโบรว์ จากรายการ "Botched" โดย ดร.ดูโบรว์ ทำการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) ถึง 4 ครั้ง เพื่อตรวจวิเคราะห์โรค ซึ่งแม้จะสามารถตัดความเป็นไปได้ของโรคมะเร็งออกไปได้ แต่ก็ยังต้องรอผลวิเคราะห์เชื้อซึ่งใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์
ก่อนหน้านี้ แกลนวิลล์เคยสงสัยว่าเธออาจติดปรสิต จนทำให้ใบหน้าผิดปกติ แต่ ดร.ดูโบรว์ เห็นว่า สาเหตุอาจเป็นการติดเชื้อมากกว่า พร้อมเตือนว่ากระบวนการวินิจฉัยอาจต้องใช้เวลานาน และแม้จะเริ่มรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ก็คาดว่าอาจต้องใช้เวลาระหว่าง 6 เดือนถึง 1 ปี และกว่าจะกลับมาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาจต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี
ที่ผ่านมา แกลนวิลล์ยอมรับว่าเธอได้ใช้เงินไปมากกว่า 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.5 ล้านบาท) เพื่อรักษา ทั้งการฉีดสลายฟิลเลอร์ทั้งหมด การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องกระตุ้นระบบน้ำเหลืองเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่เธอกลับรู้สึกว่า "ผิวหน้าของฉันเหมือนยุบตัวลงไปเรื่อย ๆ"
เธอสารภาพว่า ความทุกข์ทางจิตใจจากความเจ็บป่วยนั้นรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกาย และได้ระบายความอัดอั้นอย่างสุดซึ้งว่า "ต่อให้มันจะเป็นเนื้องอก ฉันก็อยากรู้ ขอแค่มีคำตอบอะไรสักอย่างเถอะ"
เรื่องราวของแบรนดี แกลนวิลล์ สะท้อนถึงความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญทั้งกายและใจ และเป็นเสียงเรียกร้องให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็น
