“เมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกินอีกแล้ว พวกเขาจะกินคนรวย” ถ้อยคำนี้ของนักปรัชญาการเมืองนามว่า “ฌอง ฌากส์ รุสโซ” นอกจากจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศสแล้ว วลีที่ว่า “กินคนรวย” หรือ Eat The Rich ยังถูกนำไปใช้เป็นคำขวัญของกิจกรรมทางการเมืองอีกหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ
ขณะที่ในโลกภาพยนตร์ก็มีการนำคำนี้ไปใช้ตรง ๆ เป็นชื่อเรื่อง คือ Eat The Rich หนังอังกฤษปี 1987 โดยผู้กำกับปีเตอร์ ริชาร์ดสัน แถมยังมีชื่อเพลง Eat The Rich ซึ่งแต่งขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบหนังโดยเฉพาะ อย่างไรก็ดี เมื่อล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 วลี Eat The Rich ได้มีบทบาทสำคัญในฐานะ “แนวคิด” หรือ “ธีม” ในการทำหนังหลายต่อหลายเรื่องที่มุ่งสะท้อนถึงช่องว่างและความแตกต่างทางชนชั้นรวมทั้งความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีการผลิตหนังแนวนี้ออกมาอยู่ไม่ขาด รวมถึง Parasite ของผู้กำกับ “บง จุน โฮ” ที่คว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน นอกจากนั้นก็ยังมี Saltburn (2003) , Ready or Not (2019) , Knives Out (2019) , Us (2019) , Triangle of Sadness (2022) , The Killing of a Sacred Deer (2017) หรือแม้แต่ Dumb Money (2023) และ The Menu (2022) ฯลฯ หนังเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกาะเกี่ยวกับแนวคิด Eat The Rich ด้วยกันทั้งสิ้น
“กินคนรวย” เป็นคำนามธรรม ที่แม้แต่ ฌอง ฌากส์ รุสโซ ก็กล่าวแบบติดตลก ไม่ได้มุ่งหมายว่าจะกระตุ้นให้คนจนลุกขึ้นมาฆ่าคนรวยเพื่อเอาไปต้มยำทำแกง แต่มันมีวิธีกินหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป อย่างใน The Killing of a Sacred Deer ก็กินลึกไปในเชิงกัดกร่อนจิตสำนึกให้ได้รู้สึกรู้สาว่าคนรวยไม่ควรจะได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าคนจน ขณะที่ Knives Out ก็เป็นการกินในแบบที่ถีบคนรวยออกไปจากความมั่งมีที่พวกเขามีอยู่ แต่ถ้ากินแบบแนบเนียนและแยบยลก็คงเป็นเรื่อง Parasite ที่แทรกซึมเข้าไปในลักษณะเกาะกินจนนำไปสู่จุดพลิกผันที่สะท้อนความแตกต่างทางชนชั้นออกมาอย่างเฉียบแหลมและคมคาย
อย่างไรก็ดี ในขณะที่หนังเรื่องอื่น ๆ นำเสนอแนวคิดหรือธีม Eat The Rich อย่างเป็นนามธรรมดังว่ามา แต่กับหนังออริจินัลเน็ตฟลิกซ์เรื่องล่าสุดอย่าง Delicious (หรือชื่อไทยว่า “โอชะ”) กลับแตกต่างจากเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง เรียกว่าเป็นการ “กินคนรวย” ในมิติใหม่ไปเลยก็ว่าได้ เพราะทำให้การ “กินคนรวย” เป็นรูปธรรมขึ้นมา
หนังเรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดย “เนล-มูลเลอร์ สเตอฟาน” ผู้กำกับหญิงชาวเยอรมัน โดยพื้นฐานเธอคือนักแสดงในซีรีส์และหนังมาแล้วไม่น้อยกว่า 70 เรื่อง และเคยเขียนบทมา 3-4 เรื่อง ขณะที่ Delicious เป็นการกำกับหนังครั้งแรกของเธอ ทั้งนี้ เธอคือภรรยาคู่ชีวิตของ “เอ็ดเวิร์ด เบอร์เกอร์” ผู้กำกับหนังชาวเยอรมันเจ้าของผลงาน Conclave ที่เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมออสการ์ครั้งที่ผ่านมา
Delicious เปิดเรื่องที่ครอบครัวชาวเยอรมันผู้มั่งคั่งซึ่งเดินทางมาฝรั่งเศสเพื่อพักร้อนในวิลล่าส่วนตัวสุดหรู ประกอบด้วยสมาชิก “จอห์น” สามี “เอสเธอร์” ภรรยา และลูกชายคนโต “ฟิลลิป” ตามด้วยน้องสาวคนเล็ก “อัลบา” พวกเขาเดินทางมาในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสเกิดเหตุการณ์แรงงานประท้วงเรื่องค่าแรงที่ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาไปกินมื้อค่ำที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และสามีภรรยาก็ได้ดื่มค็อกเทลกันไปคนละแก้วสองแก้ว และในระหว่างทางกลับบ้านซึ่งจอห์นเป็นคนขับรถ เขาคิดว่าเขาได้ชนใครสักคนและลงไปดู พบว่าเป็นสาวพนักงานโรงแรมชื่อ “ทีโอโดรา” เธอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขน แต่ด้วยความกังวลว่าจะถูกตรวจสอบเรื่องดื่มแล้วขับ พวกเขาจึงไม่อยากพาเธอไปโรงพยาบาลและโน้มน้าวให้เธอไปบ้านกับพวกเขา ซึ่งเธอก็ยินยอม
หลังจากปฐมพยาบาลและให้เธอนอนพักในห้องหนึ่งแล้ว เอสเธอร์ได้วางเงินจำนวหนึ่งไว้ให้เธอ และเมื่อตื่นมาตอนเช้าปรากฏว่าหญิงสาวได้ออกไปแล้ว ทำให้พวกเขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาว่าเรื่องราวน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่แล้ว ทีโอโดราก็กลับมาพร้อมเหตุผลว่าโรงแรมเลิกจ้างเธอแล้วเพราะเธอบาดเจ็บทำงานไม่ได้ แม้ว่าจอห์นและเอสเธอร์จะเสนอช่วยเหลือทางการเงินแก่เธอในระหว่างพักรักษาตัวและหางานใหม่ แต่ทีโอโดรากลับยืนกรานว่าจะขอทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านระหว่างพวกเขาอยู่ที่นี่ สุดท้ายทั้งสองก็ต้องยินยอมเพราะลึก ๆ ยังคงกลัวว่าเธออาจจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจ
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ครอบครัวนี้คาดไม่ถึงและมันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงภายในครอบครัวของพวกเขาให้เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนคืน...
ว่ากันตามจริง หนังเปิดเรื่องมาได้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว และก่อนเกิดเหตุการณ์รถชน เราเห็นทีโอโดรามาก่อนหน้านี้แล้วล่ะประมาณฉากสองฉากซึ่งทำให้เรามองเห็นพฤติการณ์ของตัวละครตัวนี้ที่น่าสงสัย เพียงแต่ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจในการกระทำดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การเข้ามาในบ้านหลังนี้ของทีโอโดรา มีส่วนอย่างมากในการทำให้เราเห็นสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่ภายใต้ภาพครอบครัวที่ดูมั่งคั่งร่ำรวย สมาชิกครอบครัวแต่ละคนต่างมี “รูรั่ว” อยู่ในตัวเอง “บ้าน” หลังนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมคนเปราะบางในด้านที่แตกต่างกันไป และทีโอโดราก็ใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของแต่ละคนนั้นอย่างได้ผล
ไม่ว่าจะเป็น “จอห์น” นักวิจัยที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเคารพอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะจากภรรยา ส่วน “เอสเธอร์” ก็เป็นผู้หญิงบ้างานที่กำลังขาดความสุข ... แน่นอน จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างจอห์นและเอสเธอร์ ทำให้เราพอจับได้ว่าชีวิตรักของพวกเขาอยู่ในช่วงเจ็บป่วยรุนแรงโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ... ขณะที่อัลบาเด็กหญิงตัวน้อยก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความสนใจจากแม่เท่าที่ควร ส่วนฟิลลิปที่กำลังโตเป็นหนุ่ม ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ก็ดูเหมือนจะถูกตาต้องใจสาวใช้คนใหม่จนอยากชิดใกล้ทางกายให้มากกว่านี้ ซึ่งทีโอโดราก็รู้ข้อนี้ดีและใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉากที่ฟิลลิปแอบส่องบั้นท้ายของเธอที่มีเพียงชั้นในตัวจิ๋วห่อหุ้มนั้น คือความจงใจของเธอที่จะเล่นกับอารมณ์ของเด็กหนุ่มโดยแท้จริง
เช่นเดียวกับการที่เธอพยายามตีสนิทกับเด็กน้อยอัลบาเพราะเข้าใจว่าลึก ๆ เด็กหญิงคนรู้สึกโดดเดี่ยวไม่มีใคร หรือแม้แต่จอห์น เธอก็ทำให้เขามั่นอกมั่นใจในสิ่งที่เขาคิด ส่วนเอสเธอร์ ทีโอโดราก็ช่วยให้เธอได้พบกับช่วงเวลาผ่อนคลายและกลับมามีรอยยิ้มแห่งความสุขอีกครั้งหนึ่ง โดยทุกคนทั้งหมดนี้ หารู้ไม่ว่า กำลังมีสัตว์ประหลาดหรือสัตว์ร้ายเข้าบุกจู่โจมบ้าน แม้อัลบาจะเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง แต่แม่ก็ไม่ได้ฟังเธอเพราะแม่ตัดสินเธอไปแล้วว่าเธอมักจะมีความขี้อิจฉาเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ
ทั้งนี้ หมายเหตุไว้ตัวโต ๆ ว่า นักแสดงสาว “คาร์ลา ดิอาซ” นั้นสวมบทบาททีโอโดราได้อย่างดีเยี่ยม และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เราอยากติดตามหนังเรื่องนี้ต่อไป บทของทีโอโดรา หลายครั้งหลายคราชวนให้นึกถึง “โอลิเวอร์” ในเรื่อง Saltburn (ซึ่งเป็นหนัง Eat The Rich เช่นกัน) ที่ทะลุทะลวงเข้าไปสัมผัสความกลวงเปล่าทางใจของบรรดาคนรวยในคฤหาสน์หลังใหญ่ เข้าใจว่าจุดอ่อนของแต่ละคนเป็นอย่างไร และซัพพอร์ตเติมกำลังใจเข้าไปในส่วนนั้นจนเกิดเป็นความไว้วางใจ ทั้งทีโอโดราและโอลิเวอร์ดูมีความจริงใจ แต่ทีโอโดราจะมีความซับซ้อนกว่า เธอดูอ่อนหวานและเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่น แต่ก็มีเบื้องลึกแฝงเร้นอย่างที่เราคนดูย่อมรู้ได้
ไม่ว่าจะอย่างไร ขณะที่เรื่องราวเหล่านี้ดำเนินไปอย่างน่าสนใจ แต่สุดท้ายพอหนังเข้าสู่องค์สาม เราก็เริ่มจะเห็นปัญหาของหนังโผล่มาอย่างเด่นชัด
อันดับแรกสุด เราไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า แรงผลักดันหรือแรงจูงใจของตัวละครคืออะไร? ทำไมพวกเขาต้องลุกขึ้นมา “กินคนรวย” โอเคล่ะ เราพอจะเข้าใจคอนเซปต์ของหนังว่าการทำอย่างนี้เหมือนเป็นการตอบโต้พวกคนมีเงินหรือเศรษฐีที่มักจะ “บริโภค” หรือ “กิน” มากเกินไป แม้แต่จักรยานที่ใช้ยังเป็นจักรยานคาร์บอนราคาเป็นพันเป็นหมื่นเหรียญ
แต่ขณะเดียวกัน ฝั่งของคนที่จะตอบโต้คนรวย ก็ดูจะบริโภคกันจนล้นเกินเหมือนกัน คือถ้าไม่นับรวมการสะสมชิ้นเนื้อไว้มากมายในตู้เย็นจนส่งกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว (ก็เหมือนพวกเศรษฐีสะสมความมั่งคั่ง) ยังมีเรื่องเหล้า ยา และเซ็กส์ กันแบบสุดเหวี่ยง คือมันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของชนชั้นล่างแต่อย่างใด สุดท้าย ไม่ว่าข้างไหนชั้นไหน มันก็บริโภคกันจนเปรมพอ ๆ กัน
และที่สำคัญ มันเหวี่ยงให้เราเกิดความรู้สึกว่า ไม่รู้จะเชียร์ฝั่งไหนกันแน่ แถมจากเดิมที่ว่าจะสงสารคนจนและตระหนักในความเหลื่อมล้ำ หนังกลับทำให้เรารู้สึกไปอีกด้านเป็น “เห็นใจคนรวย” ขึ้นมาเสียอย่างนั้นด้วยซ้ำ
Eat the Rich ในหนังเรื่องนี้เหมือนจะสับสนในบทบาทของตัวเองพอสมควร พวกเขาเหล่าผู้ปฏิบัติการบุกบ้านของจอห์นและเอสเธอร์ ทำตัวเหมือนเศรษฐีในเรื่อง Fresh (2022) อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งเศรษฐีในเรื่อง Fresh นั้นยังพอเข้าใจได้ว่า ที่เขากินอย่างนั้น เพราะเขามั่งคั่งมั่งมีและเกิดจากกิเลสความลุ่มหลงส่วนบุคคล แต่ใน Delicious เราไม่พบแรงจูงใจว่ามันคืออะไรกันแน่ เหตุผลแห่งการกระทำมันดูคลุมเครือเหลือเกิน ก็จริงที่ว่า พวกเขาคือแรงงานชั้นล่าง และเป็นแรงงานข้ามชาติ และลึก ๆ อาจรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า ไม่สามารถสร้างชีวิตที่ดีกว่าหรือร่ำรวยอย่างเขาไม่ได้ จึงกระทำแบบนั้น อย่างนั้นหรือ?
การสร้างความชอบธรรม (หรือแรงจูงใจ) ให้กับการกระทำของตัวละครเหล่านั้นไม่หนักแน่นพอ และกลายเป็นว่า แทนที่เราจะรู้สึกว่า เพราะความเหลื่อมล้ำและแบ่งแยกทางทางชนชั้น คือแรงผลักดันให้เกิดการกระทำดังกล่าว กลับกลายเป็นรู้สึกว่า นี่มันเหมือนแก๊งมิจฉาชีพที่ไม่มีสำนึกทางศีลธรรมเลยแม้แต่น้อย ทั้งจัดฉาก ทั้งหลอกลวง และ “กินเขา” อย่างไร้มนุษยธรรม ทั้งที่เขาก็อยู่ของเขาดี ๆ แน่นอนล่ะ ครอบครัวเขามีปัญหา แต่การไปใช้ประโยชน์จากปัญหานั้น มันก็ดูอำมหิตเกินไป หรือเปล่า?
หนังเรื่องนี้ชวนให้เกิดคำถามเต็มไปหมด เช่น ถามว่าคนรวยผิดอะไร? พูดแบบนี้ไม่ได้เข้าข้างคนรวย แต่หนังจำเป็นต้องปูพื้นว่าทำไมตัวละครถึงอยากกระทำต่อพวกเขา การที่บอกว่า พวกเขาขับรถชนแล้วยื่นเงินให้เป็นค่าปิดปาก มันคือการดูถูก แต่นั่นมันก็เกิดมาจากการจัดฉากที่คุณได้สร้างไว้แล้วเพื่อให้เขามาติดกับเช่นกัน และเขาชนจริงหรือเปล่า ก็ไม่แน่ชัด ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับเอาเงินฟาดปากเพื่อให้เรื่องมันจบ หรือ “ได้รับสิทธิพิเศษเพราะมีเงินเยอะ” แบบนี้ เทียบกับ The Killing of a Sacred Deer แล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่มาก
ทั้งนี้ ทุกสิ่งที่กล่าวมา มันเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนที่คนทำหนังบางครั้งอาจจะนึกไม่ถึง และเหนืออื่นใด หนังอย่าง Delicious ในมุมมองคนรวยอาจจะเป็นเหมือนนิทานเตือนใจเสียด้วยซ้ำว่าอย่าไปยุ่งกับคนเหล่านั้น เป็นการซ้ำเติมเพิ่มความรู้สึกหวาดระแวงที่จะเกี่ยวข้องปฏิสัมพันธ์กัน และนั่นก็เท่ากับว่า เราได้ทำหน้าที่ช่วยถ่าง “ระยะห่าง” ทางชนชั้นที่มันห่างกันอยู่แล้ว ให้ยิ่ง “ห่าง” และ “แบ่งแยก” กันไปใหญ่
สุดท้ายแล้ว หรือว่า..นี่คือความจงใจของผู้กำกับและเขียนบทที่อยากเปลี่ยนรูปแบบใหม่ แต่ภายใต้แนวคิด Eat The Rich แบบดั้งเดิมนั้น กล่าวได้ว่า Delicious “ไม่โอชะ” หรือ “ไม่อร่อย” เอาเสียเลย
