“นุ่น ศิรพันธ์” ในวัย 40 จัดหมวดงานแสดงเป็นงานอดิเรกที่หวงแหนและถนอมมากๆ แฮปปี้เป็นพนักงานออฟฟิศเต็มตัว เงินเดือนเข้าทุกวันที่ 28 ลั่นไม่อยากหาเงินด้วยอาชีพนักแสดง ไม่อย่างนั้นต้องหางานมากๆ เพื่อมีเงิน ไม่อยากฝืนทำบางอย่างเพื่อให้ได้เงิน
เป็นหนึ่งในนักแสดงมากฝีมือของวงการบันเทิงบ้านเรา ที่มีผลงานปังๆ มากมาย สำหรับ “นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” แต่วันนี้ในวัย 40+ นุ่นจัดหมวดงานแสดงเป็นเพียงงานอดิเรกที่หวงแหนและถนอมมากๆ พร้อมเผยไม่อยากให้อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลัก อยากเล่นเพื่ออยากเล่นจริงๆ ไม่ต้องฝืน ตอนนี้แฮปปี้เป็นพนักงานออฟฟิศเต็มตัว ทำธุรกิจร่วมกับสามี “ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร” และทำแอปพลิเคชั่น ECOLIFE เป็นงานหลักที่เป็นแหล่งรายได้ของนุ่น ในการวางแผนการเงินให้ตัวเองในอนาคต
“ก่อนหน้านี้เรามีความทะเยอทะยาน อยากทำงานซะทุกอย่าง แต่ตอนนี้มันเหลืออีกแค่ไม่กี่บทบาทที่เรารู้สึกว่าอยากเล่นจริงๆ อย่างคาแร็กเตอร์ที่เรายังไม่เคยมีโอกาสได้เล่นเลย เช่นเป็นคนตาบอด ไม่สามารถใช้สายตาในการสื่อสารได้ หรือว่าใช้เสียงในการสื่อสาร เพราะนุ่นรู้สึกว่าการสื่อสารที่ทำให้คนเข้าใจกันก็คือการใช้ดวงตาและใช้เสียง เลยอยากรู้ว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้เรายังจะสามารถทำให้เกิดการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกได้อยู่ไหม
สำหรับนุ่นอันนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายตัวเอง นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่โหยหาขนาดนั้น เพราะว่าตอนนี้โฟกัสตัวเองคือครอบครัว ธุรกิจของตัวเอง ส่วนเรื่องการแสดงเป็นเหมือนงานอดิเรกที่เราหวงแหนมากๆ”
จัดหมวดงานแสดงให้เป็นงานอดิเรกไปแล้ว
“ใช่ จริงๆ เป็นงานอดิเรกมานานแล้ว คุยกับพี่ท็อปมาตั้งนานแล้ว ว่านุ่นไม่อยากให้อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลักของนุ่น นุ่นอยากเล่นเพื่ออยากเล่น นุ่นรู้ว่านุ่นต้องกินต้องใช้ นุ่นไม่อยากหาเงินด้วยอาชีพนักแสดง ไม่อย่างนั้นนุ่นจำเป็นต้องหางานมากๆ เพื่อมีเงิน อันนี้มันเป็นความรู้สึกนุ่นนะ ดังนั้นก็คุยกันว่าถ้าอย่างนั้นเราต้องทำงานที่มันหาเลี้ยงชีพได้ เลยเป็นที่มาที่เราทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งของตัวเอง ทั้งของที่บ้าน แล้วเราก็วางแผนไว้ว่าแต่ละธุรกิจมันจะรันไปกี่ปี
ทุกวันนี้ได้เงินเดือนเข้าวันที่ 28 เพราะกดเอง (ยิ้ม) เราก็จะรับเงินเดือนเหมือนคนอื่น เราทำงานหลายบริษัท เราก็ได้รับเงินเดือนหลากหลายอัน นี่เป็นแหล่งรายได้ที่เราคิดว่าจะมีเกษียณเท่าไหร่ เก็บเงินออมเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีลูก เราจะหาเงินค่ารักษาพยาบาลยังไง ถ้าแก่มากจนต้องจ้างคน มาดูเรา เราจะดูแลยังไง คือเราก็วางแผนการเงินของเราไว้
อยากให้อาชีพนักแสดงเป็นพื้นที่ที่นุ่นอย่างเล่นแล้วนุ่นค่อยเล่น มันมีบางปีที่ไม่มีงาน ไม่รับงาน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขอให้มีงานเถอะ ความจำเป็นของแต่คนละคน ความสำคัญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ของนุ่นเรื่องการแสดงนุ่นรักมาก นุ่นถนอมเขามาก เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจจะทำอะไรสักอัน นุ่นจะเต็มที่เลย ดังนั้นเราจะเลือกมากๆ ไม่อยากฝืนทำบางอย่างเพื่อให้ได้เงิน อาจจะด้วยวิธีคิดแบบนี้มาตั้งนานแล้วค่ะ
แล้วก็โชคดีว่ายุคสมัยมันก็เปลี่ยนไป ด้วยอุตสาหกรรมการบันเทิง สโคปมันลดลง ความสนใจคนเปลี่ยนแปลงไป มันอาจจะโชคดีที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง พอเหมาะพอเจาะกับยุคสมัยนี้ ถ้าสมมติยังตั้งมั่นว่าจะทำอาชีพนี้ นุ่นจะเครียดมาก จะหาเงินยังไง ใช้ชีวิตยังไง”
ตอนนี้นุ่นทำงานออฟฟิศเป็นพนักงานฟูลไทม์ 09.00 น. ถึง 20.00 น. - 21.00 น. ถ้าจะรับงานแสดงต้องลางานมา และนี่คือข้อดีของการวางแผนอนาคตล่วงหน้า
“ใช่ วางแผนมานานมากเกิน 6-7 ปีแล้ว เลยมีบางปีที่เราขออนุญาตผู้จัดฯ ว่าเรารับงานไม่ได้จริงๆ เพราะต้องโฟกัสธุรกิจนี้ เพราะเรารู้ว่าถ้ามันผ่านช่วงนี้ไป มันจะมั่นคงต่อยอดได้ ช่วงตั้งต้นจำเป็นที่จะต้องมีเรา เราก็เลือกที่จะบอกกันแบบนี้ค่ะ”
วิกฤตวงการบันเทิงซบเซา เป็นวัฎจักรที่ทุกธุรกิจต้องเจอ แต่ทุกการเปลี่ยนแปลง มาพร้อมกับโอกาสเสมอ
“นุ่นว่ามันเป็นวัฎจักรที่ทุกธุรกิจต้องเจอค่ะ ต่อให้ไม่ใช่นักแสดงหรือวงการบันเทิง ก็จะเจอเหตุการณ์แบบนี้เสมอๆ มีเดีย หนังสือพิมพ์ ถ้าเราย้อนไป เมื่อก่อนมีโทรเลข มีเพจเจอร์ โลกมันเปลี่ยน ดังนั้นถ้าเราไม่ได้ตั้งรับ หรือคิดว่าทุกอย่างมันจะเหมือนเดิม อันนี้อันตราย
มันไม่จำเป็นต้องอาชีพนี้เท่านั้น แต่นุ่นว่าข้อดีของยุคนี้อีกอัน คือทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลง มันมาพร้อมกับโอกาส เราเลยจะเห็นว่าคนที่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักแสดงที่ถูกเลือก เขาสามารถมีพื้นที่มีเดียของตัวเอง เพื่อเป็นนักแสดงของตัวเองได้ มีละครคุณธรรม มีช่องที่คนตามหลายล้าน คนรู้จักมากกว่านุ่น
เราเลยรู้สึกว่าบางอย่างที่เปลี่ยนไป มันมาพร้อมกับโอกาสเสมอ แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองตามทันหรือเปล่า นุ่นจบวิศวะอุตสาหการ อยู่โรงงาน วันหนึ่งวิศวะคอมพิวเตอร์มาแรงมาก เราก็แบบ...ทำไมตอนนั้นไม่เลือกวะ (หัวเราะ) แล้วจากคอมพิวเตอร์ มันกลายเป็นเขียนโค้ด จนตอนนี้เป็น AI เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตาม
ไม่ได้บอกว่าเราต้องวิ่งตามทุกอย่าง แต่หมายถึงว่าเราต้องวางแผน ถ้าเรายังคิดว่าเราไม่เปลี่ยน อันนี้มันน่ากลัว เด็กเดี๋ยวนี้บางทีเขาถูกรับมาในตำแหน่งนี้ หน้าที่ในการทำงานของเขามีแค่นี้ พออยู่ๆ โควิดมาทุกอย่างเปลี่ยน ให้เขาทำหลายๆ อย่างมากขึ้น เขาก็รู้สึกว่าไม่ใช่แบบตอนที่พี่รับหนูเข้ามา เขาก็ไม่ทำ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราเห็น คือเมื่อก่อนคนหนึ่งทำไม่กี่อย่าง แต่เดี๋ยวนี้คนหนึ่งต้องทำได้ทุกอย่าง เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว
แม้กระทั่งนักแสดงเราก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน ก็ฝากถึงพี่ๆ เพื่อนๆ นักแสดง นุ่นเข้าใจความท้อค่ะ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่ได้รับผลกระทบ ทุกคนได้รับหมดไม่ว่าจะมากน้อย สิ่งหนึ่งมันคือกำลังใจ แต่นุ่นว่าทุกคนมีให้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการก้าวออกจากปัญหาเราต้องทำเอง ก็ต้องดูว่าตัวเองเหมาะกับการทำอะไร เลือกทางไหน แค่ไม่จม รู้ว่ามันเป็นปัญหา แล้วเราก็รู้สึกว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง
นุ่นพูดเสมอว่าวิกฤตมาพร้อมกับโอกาส ตอนเราเริ่มทำธุรกิจ เราก็ล้มเหลวเยอะนะ เราเกลียดคำว่าวิกฤตมาก แต่มันมาพร้อมกับโอกาส ถ้าเราไม่หดหู่มากเกินไป มันมีโอกาสเสมอ เพียงแต่บางทีคนเรากลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ ก้าวแรกมันยากเสมอค่ะ”
