xs
xsm
sm
md
lg

ลูกๆ เผยปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย! “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” ปั้นหุ่นตัวเองไว้ให้ระลึกถึง เป็นบุญไม่เคยทำให้ลูกลำบาก (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ลูกชาย “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” เล่านาทีคุณพ่อจากไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว อยู่ๆ อาการก็โคม่า ถือเป็นบุญของลูกที่พ่อแม่ไม่ทำให้ลำบากเลยสักครั้งเดียวแม้กระทั่งท่านเสียชีวิต เล่าปาฎิหาริย์ทำให้มีวาระสุดท้ายที่ได้คุยกัน ภูมิใจคุณพ่อที่มีปณิธานที่แน่วแน่จนถีงวาระสุดท้ายของชีวิต ปั้นรูปตนเองจากการส่องกระจก ปั้นพระพุทธรูปปางมารวิชัยไว้ตอบแทนพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ




บ้านเราต้องสูญเสียคนสำคัญในวงการบันเทิงอีกครั้ง หลังจากทราบข่าว “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” อดีตพระเอกภาพยนตร์แถวหน้าวงการภาพยนตร์ไทย และศิลปินประติมากร ผู้บุกเบิกการปั้นหุ่นรูปเหมือนคนบันเทิงได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21.39 น. ด้วยภาวะหัวใจขาดเลือด ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ สิริอายุ 82 ปี 8 เดือน

วันนี้ (4 มี.ค.2568) ทางครอบครัวได้จัดพิธีรดน้ำศพ ยอดชาย เมฆสุวรรณ ที่ศาลา 1 วัดมกุฏกษัตริยาราม ราชวรวิหารเขตพระนคร นอกจากครอบครัว คนใกล้ชิด ก็ยังมีเพื่อนศิลปิน-ดารามาร่วมอาลัย ยอดชาย ครั้งสุดท้ายกันมากมาย

ด้านลูกชาย วรรธนศม เมฆสุวรรณ, ชมวิชัย เมฆสุวรรณ และ วงศ์สมรรถ เมฆสุวรรณ ได้เล่านาทีชีวิต ที่อยู่ๆ คุณพ่ออาการก็โคม่า

วรรธนศม : “ก่อนหน้านี้อาการคุณพ่อปกติมาก ความดัน เบาหวาน ก็เป็นโรคของผู้สูงอายุทั่วไป ไม่เคยมีเรื่องอาการหัวใจมาก่อน เราเลยชะล่าใจ ไม่ได้ไปโฟกัสตรงนั้น ก่อนจะมีอาการท่านบอกว่าท่านแน่นหน้าอก ตอนแรกคิดว่าเพราะแกเครียด หรือลมตีขึ้นตามประสาคนแก่ จากนั้นก็เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ มีอาการเกร็ง เลยเรียกรถพยาบาล

ระหว่างอยู่บนรถแกก็ฟื้นขึ้นมาโต้ตอบตามปกติ เราก็คิดว่าคงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ก็เลยส่งตัวจากโรงพยาบาลนครปฐม มาโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ พอถึงโรงพยาบาลก็มีอาการแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างรุนแรง สักพักก็นิ่ง มีอาการหัวใจหยุดเต้น ทางพยาบาลก็ CPR อยู่ประมาณ 20 นาที สัญญาณชีพจึงขึ้นมา แต่ว่าสมองขาดเลือด ขาดออกซิเจนไปมากกว่า 5 นาที เป็นเหตุให้อาการท่านทรุดลงตามลำดับจนท่านเสียชีวิต

ถือว่าท่านจากไปอย่างไม่ได้ทรมานอะไร มีบุญกับลูกๆ ตั้งแต่คราวของคุณแม่แล้ว พวกท่านไม่เคยทำให้ลูกๆ ลำบากเลยสักครั้งเดียวแม้กระทั่งท่านเสียชีวิต ท่านก็ยังเสียชีวิตแบบไม่ให้เราลำบาก ก็อยากจะขอบคุณทั้งพ่อและแม่”

ได้อยู่ดูแลกันจนลมหายใจสุดท้ายของคุณพ่อ
วรรธนศม : “เราก็อยู่กันครบตั้งแต่ตอน CPR อีก 3 วัน วันที่ 2 มีนาคมวันสัญญาณชีพดับเวลา 21.39 น. ช่วงเวลานั้นมันก็มีสิ่งที่เรียกว่าปาฎิหาริย์ ก็ขอครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ เราถอดสร้อยพระของเราให้ท่าน ขอโอกาสอีกสักครั้งนึง อยู่ดีๆ ท่านก็ฟื้นขึ้นมาพูดคุยได้ปกติ เราก็คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว พอทุกอย่างมันสงบลง ใจเราปล่อยได้มากขึ้น เรารู้สึกว่าความตายมันอยู่ใกล้เราแค่นิดเดียว ไม่ว่าใครก็มาถึงจุดนี้ได้ คุณพ่อท่านพูดก่อนที่ท่านจะตายว่า มันเกิดอะไรขึ้นวะ ไม่เป็นไร ถ้ากูจะตายตอนนี้ กูก็ไม่กลัว คำพูดนั้นมันทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้โหลดพลังอะไรบางอย่างจากท่านต่อจากนี้ไปเราต้องไม่กลัวแบบพ่อ ทำอะไรก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

แกพูดอีกด้วยว่าแกไม่ห่วงอะไรแล้ว และแกไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว แกปล่อยวางทุกอย่างแล้ว อยากเดียวที่แกพูดคืออยากจะกลับบ้าน อยากกลับไปพักผ่อนที่บ้าน แกไม่ได้สั่งเสียหรือพูดอะไรไว้เลย ที่ผ่านมาในชีวิตทั้งหมดที่เราช่วยกันดูแลคุณพ่อ แกจะพูดให้เราซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆ เลย แกจะไม่ค่อยสอนแต่จะทำให้เรารู้สึกว่าแกยังอยู่แถวๆ นี้ บางทีก็เห็นแว๊บๆ มันเป็นพลังงานความรักของพ่อที่มีต่อลูก ซึ่งเรารับได้เสมอ”

เผย “ยอดชาย” ได้ปั้นรูปของตนเองไว้ จากการส่องกระจก
วรรธนศม : “ที่พิพิธภัณฑ์ท่านก็ปั้นรูปไว้ รูปนี้จะเป็นรูปที่ท่านส่องกระจกแล้วก็ปั้นไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกกันว่าท่านอาจจะอยากให้ไว้เป็นตัวแทนของท่านตอนที่ท่านไม่อยู่ เราดูแล้วก็จะได้รู้สึกตอบสนองในสิ่งที่ท่านต้องการ

หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ท่านเอาคุณพ่อไปเล่นเป็นพระในพระสุริโยทัย จากนั้นท่านก็เลยโกนหัว ท่านก็เลยปั้นรูปตัวเองตอนโกนหัวดีกว่า แกปั้นรูปตัวเองรูปนี้เป็นรูปที่ 2 รูปแรกอยู่ที่ศิลปสถานยอดชาย เมฆสุวรรณ จะเป็นรูปท่านนั่งมองงานศิลปะที่ตัวเองสร้างไว้อยู่

จากนี้เราทั้ง 3 คนก็คงจะช่วยกันดูแลต่อ ทางน้อยชายจะดูแลเยอะหน่อยเพราะเขาดีไซน์ร่วมกับคุณพ่อมาตั้งแต่แรกให้ร่วมสมัย นอกจากปั้นรูปตัวเองแล้วท่านยังกำลังปั้นพระพุทธรูปอยู่ด้วย เป็นสิ่งคุณพ่อปั้นตอบแทนคุณแม่ที่ดูแลมาตลอด 40-50 ปี ระหว่างที่ปั้นทุกครั้งที่ท่านจับเครื่องมือน้ำตาจะไหลออกมาทุกครั้ง เราก็คิดว่าจะเอาพิมพ์นี้ พระพุทธรูปปางมารวิชัยเอาไปถวายวัดให้ได้มากที่สุดตอนนี้ถวายไปได้แล้ว 2 วัด และได้ทำเป็นวัตถุมงคล เพื่อจะร่วมทุนสร้างพระมหาอุโบสถจตุรมุขที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะแล้วเสร็จในปี 2568

เหตุที่ต้องสวด 5 วัน แต่เว้น 1 วันคือวันเสาร์ เพราะวันเสาร์เป็นงานบุญใหญ่ที่คุณพ่อตั้งใจจะไป วันนั้นจะมีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเพื่อที่จะไปถวายท่านแล้วท่านจะไปส่งต่อในการสร้างพระมหาอุโบสถ เราเลยต้องเว้น 1 วันเพื่อทำภารกิจนี้ให้คุณพ่อสำเร็จลุล่วง เป็นสิ่งที่คุณพ่อตั้งใจทำในวาระสุดท้ายแต่แกจากไปก่อน”

เก็บร่าง “ยอดชาย” ไว้ 50 วัน ค่อยฌาปนกิจ
วรรธนศม : “ตอนแรกว่าจะเผาเลย แต่คนหลายคนก็ยังไม่ได้เตรียมตัว แฟนคลับ ญาติบางคนอยู่ต่างประเทศเขาก็อยากจะมา เขาก็ขอให้ยืดเวลาหน่อยได้ไหม ก็เลยเก็บไว้ 50 วัน แล้วยังไงจะแจ้งให้ทราบอีกทีว่าเป็นวันที่เท่าไหร่ก็อยากจะบอกกับคุณพ่อว่าชาติหน้ามีจริง เกิดเป็นพ่อลูกกันอีกพ่ออย่ากินคากิเยอะ แกชอบกินอะไรมันๆ กินเยอะ ขนมหวานนี่ชอบมาก กินเต็มที่อาจจะเป็นสาเหตุให้มีไขมันอุดตันในส่วนต่างๆ ในร่างกาย

จะพูดกับคุณพ่อเสมอตอนเด็กๆ ไม่เห็นจะดื้อเลย ทำไมคุณพ่อถึงดื้อกับเราจัง เพราะท่านก็จะกินอย่างที่ท่านชอบ เราการกราบขอขมาคิดว่าคงไม่มีทุกอย่างเราทำเต็มที่ ทำดีที่สุดในทุกๆ วัน”

ภูมิใจคุณพ่อมีปณิธานที่แน่วแน่จนถีงวาระสุดท้ายของชีวิต
วรรธนศม : “ความภูมิใจมันอยู่กับจิตในทุกๆ วัน เราเลยต้องดูแลเขาอย่างดีมากๆ ไม่ว่าจะถุงเท้า กางเกง หลังจากแม่ไม่อยู่ก็จะเป็นลูกๆ ดูแล ปณิธานท่านแน่วแน่มาก ท่านบอกเราตั้งแต่เด็กว่ากูโตมากับวัด พ่อกูเอากูมาฝากไว้กับหลวงปู่ เพราะฉะนั้นกูต้องตอบแทนพุทธศาสนา กูมีชีวิตทุกวันนี้ได้เพราะพระให้ข้าวกูกินท่านก็บอกว่าท่านจะตอบแทนพระพุทธศาสนา ตอบแทนวงการบันเทิง ตอบแทนประเทศชาติ และผู้มีพระคุณทุกๆคน

ท่านเลยสร้างศิลปสถานแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อบรรเลงศิลปะในฉากชีวิตแต่ละฉากของท่านตั้งแต่การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การเกิดก็มีพระมหาอุโบสถที่มีหลวงพ่อวัดไร่ขิงในช่วงต้นวัยที่ท่านอยู่กับวัด ในโบสถ์ ตื่นเช้ามาได้ยินเสียงพระทำวัด ช่วงวัยกลางคนมาเป็นดารา ก็เป็นศิลปะจากฉากชีวิต ก็มีท่านที่มีพระคุณทั้งหมด ท่านเก็บหนัง เก็บงานของหลายๆ ท่านไว้ ในช่วงปลายวัย ท่านก็บรรเลงศิลปะที่เป็นเหมือนการสอนให้มนุษย์รู้ถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ชาตินึงมันแป๊บเดียว เหมือนน้ำค้างบนยอดหญ้า เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง กระพริบตาแป๊บเดียวก็ถึงฆาตท่านบอกว่ามันต้องฝากอะไรไว้ให้โลกนี้ ถ้าไม่ฝากมันเสียชาติเกิด”













กำลังโหลดความคิดเห็น