xs
xsm
sm
md
lg

ยุคฟองสบู่? หนังไทย = หนังเจ๊ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลายเป็นเรื่องน่าตกใจ หลังจากที่หลายเพจรายงานตรงกันว่า ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือเรียน “มานี มานะ” ทำรายได้แค่เพียง 2 หมื่นบาท ก่อนออกจากโรงไปอย่างเงียบงัน

และยิ่งน่าตกใจเพิ่มขึ้น เมื่อมองภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แทบทุกเรื่องเกิดอาการ “เจ็บตัว” กันระนาว ไม่ทำเงินไม่พอ ออกโรงไปตอนไหนยังไม่มีใครรู้ เข้าโรงตอนไหนยังไม่มีใครทราบ

ซึ่งถือว่าแตกต่างจากภาพยนตร์ไทยในปี 67 ที่ผ่านมา ราวฟ้ากับเหว หลายเรื่องทะลุหลัก 100 ล้านบาท ไล่มาตั้งแต่ ธี่หยด 2 ทำเงินได้สูงถึง 815 ล้านบาท, หลานม่า 339 ล้านบาท(เฉพาะในประเทศไทย) , พี่นาค 180 ล้านบาท , วิมานหนาม 151 ล้านบาท , หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด 150 ล้านบาท , อนงค์ 150 ล้านบาท , เทอม 3 130 ล้านบาท , วัยหนุ่ม 2544 120 ล้านบาท ปี 67 เรียกว่าเป็นปีทองของหนังไทยอย่างแท้ทรู แล้วปีนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

เชื่อว่าข้อมูลดังกล่าว ทำคนที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมหนังไทยได้ฟังแล้วต่างใจแป้วไปตามๆ กัน เพราะจากที่เคยร่วมกันผลักดันจนกลับมาเฟื่องฟู หรือตอนนี้กำลังวนกลับลูปเดิมอีกครั้งแล้ว?

เริ่มตั้งแต่ “แสนสนั่นพันธุ์สั่นสู้” ของผู้กำกับ “พิง ลำพระเพลิง” ซึ่งเป็นการคัมแบ็กมากำกับภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 7 ปี ได้นักแสดงชื่อดังอย่าง เก้า จิรายุ , ฝน นันธฉัตร, อาไท สุภาทัต , ชิน ชินวุฒิ ปะทะกับแก๊งสุดฮาอย่าง ยัต เฟ็ดเฟ่, ต้า เฟ็ดเฟ่ , โจ๊ก ไอศครีม ขนนักแสดงรับเชิญสุดว้าวมาสร้างสีสัน ทั้ง รถถัง จิตรเมืองนนท์,อองตวน ปินโต,ป๋อมแป๋ม นิติ เข้าโรงฉาย 9 ม.ค. 68 เปิดตัวได้แค่เพียง 2 ล้าน ก่อนหลุดหายไปจากตารางหนังทำเงินในสัปดาห์ต่อมา

Coming of Age ‘Flatgirls’ ชั้นห่างระหว่างเรา หนังแซฟฟิกเรื่องแรกของปีจากค่ายใหญ่ จีดีเอช ที่เพิ่งประสบความสำเร็จจากหลานม่าในปี 67 แต่ทำรายได้ปิดโปรแกรมไปเพียง 5 ล้าน เรื่องนี้แม้จะมี “บอย ปกรณ์” เข้ามาเรียกกระแส แต่เหมือนว่าไม่ช่วยใดๆ อีกทั้งยังเป็นหนังดูดคนดูเฉพาะกลุ่ม ตรงนี้ค่อนข้างเป็นดาบสองคมอยู่ไม่น้อย เพราะคนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้ก็จะไม่เปิดใจ และไม่ยอมเสียเงินเข้าไปดูเลย

หนังรักวัยรุ่นค่ายเนรมิตฟิล์ม อย่าง “สวัสดีวันจันทร์ (ส)” แสดงโดย โอบ โอบนิธิ, พีพี ปุญญ์ปรีดี กำกับโดย “ก่อ ชาคร ไชยปรีชา” ที่สั่งสมประสบการณ์ทำงานเบื้องหลังในวงการบันเทิงมานานเป็นสิบๆ ปี ทำรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกเพียง 9 แสนบาท ปิดโปรแกรมราว 2 ล้านบาท อีกทั้งหนังไม่ได้รับการตอบรับจากคนดูต่างจังหวัดเลยแม้แต่น้อย
 
และหนังฟีลกู๊ด “มานี มานะ The Movie” โดย บริษัท อังกอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนังที่สร้างจากหนังสือเรียนภาษาไทย “มานะ มานี ปิติ ชูใจ” เขียนเรื่องโดย รัชนี ศรีไพรวรรณ แสดงโดย สยาโม สยาภา ครีเอเตอร์สาวชื่อดังในติ๊กต๊อก, ริส วิชญพงศ์, โอ๊ต สุรศักดิ์ หนังที่สร้างขึ้นมาหวังให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ รัชนี ศรีไพรวรรณ ก่อนเข้าโรงฉาย เรียกเสียงฮือฮาในโซเชียลไปได้ไม่น้อย แต่พอเข้าโรงฉายแล้วเงียบกริบ ไม่ติด 10 อันดับหนังทำเงินในในสัปดาห์เปิดตัว โดยมีหลายเพจรายงานว่าหนังทำรายได้สัปดาห์แรกเพียง 2 หมื่นบาทเท่านั้น!
 
จะมีก็เพียง “พนอ” หนังแนวไสยศาสตร์ ของค่ายไฟว์สตาร์ แสดงโดย เฌอปราง , แจ๊คกี้ จักริน, มิ้ม รัตนวดี ฯลฯ กำกับโดย พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว ที่เปิดตัวสวยกวาดรายได้ 76 ล้าน และเตรียมมีภาค 2 ต่อแล้ว

นอกจากนี้ สวัสดีวันจันทร์(ส) กับ มานี มานะ ยังเข้าโรงฉายชนโครมหนังฟอร์มยักษ์อย่าง “มังกรหยก” คนไทยเฮโลไปดูมังกรหยก ที่มีทุนสร้างมหาศาล อีกทั้งยังได้นักแสดงชั้นน้ำมาดึงดูดมากกว่า

เพราะการพีอาร์ไม่ทั่วถึง ทำให้หนังหลายเรื่องกลายเป็นหนังที่ผ่านตา แต่ไม่ได้กระตุ้นให้คนรู้สึกอยากดู การเลือกนักแสดงก็มีส่วนสำคัญ เนื้อหาและเรื่องราวในหนังหากไม่น่าจดจำก็จอดไม่ต้องแจว ไม่รวมหนังที่จะเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มอื่น ที่คนทั่วไปดูง่ายเพียงแค่กดมือถือเท่านั้น
 
ยุคนี้การทำหนังสักหนึ่งเรื่อง จึงไม่ใช่แค่หนังที่ตัวเอง “อยากทำ” ต้องมองความเป็นไปได้และหลายๆ อย่างประกอบกัน ดูอย่าง “หลานม่า” ตอนแรกกระแสเงียบมาก แต่เพราะแรง “ปากต่อปาก” ทำให้หนังกลับมากวาดรายได้ถล่มทลาย รายได้ทั่วโลกถึง 2 พันล้านบาท

การเลือกทำหนังที่ไม่ตอบโจทย์คนดู ไม่มีการบอกต่อ กลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หนังหลายเรื่องเจ๊ง “อย่าทำเองเพื่อสนองนี้ดส์ตัวเอง แล้วดูกันเอง” เพราะเดี๋ยวนี้ทุกคนมีมือถือที่เข้าถึงแพลตฟอร์มต่างๆ คนสร้างหนังก็ต้องมองให้ขาดว่าสร้างหนังมาหนึ่งเรื่องจะคุ้มค่ากับการที่คนยอมลงทุนออกมาใช้เงิน เพื่อไปดูในโรงหนังหรือไม่ ซึ่งต่อให้เป็นหนังที่ดี แต่ไม่ได้รับการบอกต่อ ก็ไปต่อได้ยาก

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยังมีหนังอีกหลายเรื่องที่คอหนังคงได้รอลุ้นกัน ไม่ว่าจะเป็น ธี่หยด 3 , นาคบรรพ์, ซองแดงแต่งผี ,ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด ฯลฯ ซึ่งหนังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นหนังที่เหมาะไปดูในโรงมากกว่าดูแค่ในมือถือแน่นอน เพราะได้อรรถรสมากกว่า ส่วนจะช่วยกลับมาสร้างแรงกระเพื่อมให้อุตสาหกรรมหนังไทยได้มากน้อยเพียงใด ยังต้องรอลุ้น เพราะหนังไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว

ได้แต่หวังว่าปีที่ผ่านมาหนังไทยสามารถฟื้นคืนชีพมาได้แล้ว ปีนี้คงไม่เลี้ยวหัวกลับเข้าสู่ยุคมืดอีกครั้ง...













กำลังโหลดความคิดเห็น