xs
xsm
sm
md
lg

“ฟิล์ม ธนภัทร” ในวันที่ทำแต่งาน จนบกพร่องหน้าที่ลูก! เหมือนถูกหวย ได้เล่นละครเวทีเรื่องแรกคู่ “นุ่น ศิรพันธ์” (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ฟิล์ม ธนภัทร” ตื่นเต้นเล่นละครเวทีเรื่องแรก เหมือนถูกหวยได้ร่วมงานกับ “นุ่น ศิรพันธ์” ครูคนแรก รับรู้สึกบกพร่องหน้าที่ลูก ทำแต่งาน อยากพาพ่อแม่ไปเที่ยวตอนยังมีโอกาส ลั่นไม่ได้อยากให้มองเป็นลูกกตัญญู แต่ถ้าไม่ทำตอนนี้ จะทำตอนไหน ยกมือสาธุขอให้ปีนี้ทำงานราบรื่น โอดตั้งแต่เข้าวงการมา ปีที่แล้วถือว่าหนักที่สุด อ่านการ์ตูนฮีลใจ เป้าหมายอยากเป็นคนที่มีความสุข



ทำเอาพระเอกหนุ่ม “ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ”ถึงกับยกมือสาธุ ขอให้ปี 2025 นี้ เป็นปีที่ทำงานได้อย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จ หลังปีที่แล้วได้รับผลกระทบไปเต็มๆ กับเรื่องดรามาของคนอื่น ล่าสุดมีโอกาสได้สัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟกับหนุ่มฟิล์ม เจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงวิธีรับมือกับความเครียด ว่าจะปิดโซเชียล ไม่เสพข่าว และไปเล่นกับแมว ไปอ่านหนังสือแทน พร้อมเผยถึงความตื่นเต้นที่ได้มารับบท “เอก” ในละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต อย่าง “เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี”ที่จะเปิดม่านการแสดงให้ชมกันวันที่ 6 มีนาคมนี้ ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์

“สนุกมาก พี่ๆ ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ถามว่าโดนรับน้องใหม่ยังไงบ้าง เรียกว่าให้คำแนะนำดีกว่า อย่าเรียกว่าโดนรับน้องเลย ก็สนุกมาก เรารับบทเป็นเอก ซึ่งเป็นแฟนของคนที่ตายในเรื่อง ก็เดินทางกลับมาร่วมงานศพของแฟนตัวเองแล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น คาแรกเตอร์ก็จะเป็นคนเงียบๆ ในมุมส่วนตัวที่ผมมองนะ เป็นคนคิดเยอะ ก็มีมุมที่ตรงกับตัวเองบ้าง ถ้าพูดมากกว่านี้มันจะเป็นการสปอยเรื่อง ก็เลยพูดได้เท่านี้”

ซ้อมไปยังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่สนุกมาก
“สนุกมาก สนุกแบบสนุกมากๆ แล้วก็รู้สึกว่าเราซ้อม อาจจะยังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราเหมือนเข้าไปหลุดอยู่ในโลกใบนั้นแล้ว ขนาดเอฟเฟกต์ยังไม่เต็มร้อยก็ทำให้ผมสติแตกไปได้

ละครเวทีเรื่องแรก ไม่ได้รู้สึกต่างกับการเล่นละครทีวี
“ส่วนตัวผมให้เวลากับการที่อยู่ในห้องซ้อม ผมรู้สึกว่าละครเวทีกับละครทีวีไม่ได้ต่างกัน เพราะมันคือการแสดงเหมือนกัน มันต่างกันแค่ว่าวิธีการรับชมของผู้ชม ที่ดูผ่านจอทีวีหรือว่าโทรศัพท์ มาอยู่กันแบบเห็นด้วยตาเนื้อ มันต่างกันที่ตรงนี้ และอรรถรสที่จะได้รับมันอาจจะเพิ่มขึ้นไป จากการที่เราสามารถมีเอฟเฟกต์ มีซาวด์ มีเสียง มีกลิ่นเพื่อเพิ่มอรรถรสคนดูได้ ผมว่านี่คือความต่างระหว่างละครทีวีกับละครเวที

รับมีกังวลกลัวจำบทไม่ได้ เพราะมันเทคไม่ได้เหมือนละครทีวี
“พูดถึงเรื่องนี้ผมก็นึกขึ้นได้ว่า พอเป็นละครเวทีตอนแรกผมก็กังวลเหมือนกัน เพราะละครเวทีมันเทคไม่ได้ มันมีแค่เทคเดียวในแต่ละรอบ ผมก็กังวล ผมกลัวว่าผมจะจำบทไม่ได้ถ้าเทียบกับละครทีวีบทมันก็เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่ามันก็ถือว่ามันยาวมากเราต้องเล่นเทคเดียวด้วยบทหลาย 10 หน้าแต่พอเราซ้อมๆ ทุกวัน มันเหมือนเรากลืนกินพวกนั้นไปอยู่ในจิตใต้สำนึกเราไปแล้ว"

เทคนิคการจำบท คือไม่เน้นท่องจำ แต่พยายามเข้าใจตัวละคร และสถานการณ์
“สำหรับผมถ้าถามว่าเป็นเทคนิค ผมใช้คำว่าผมพยายามที่จะเข้าใจเรื่อง เรียงลำดับเรื่องในหัวของตัวเองให้ได้ แล้วเราจะเข้าใจว่าพอมันเกิดเรื่องนี้ในซีนนี้ มันเป็นสถานการณ์นี้ เราถึงได้พูดแบบนี้ออกไป บทมันจะมาเองโดยอัตโนมัติ คือจะไม่ได้เน้นท่องจำ พอเราเข้าใจตัวละคร เข้าใจสถานการณ์ของเรื่อง มันจะไปของมันเอง (เราจะคอนโทรลในเรื่องสมาธิยังไง?) ไม่เคยคิดเลย ก็อาจจะนั่งสมาธิมั้ง ตอบให้ไม่ได้เลย มันอาจจะเป็นฟีลเหมือนขึ้นคอนเสิร์ตมั้งครับ ผมว่าเดอะโชว์มัชโกออน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันมีเทคเดียว หลุดแล้วก็ต้องไปต่อให้ได้ถามว่าจัดการกับความตื่นเต้นยังไง ผมก็จะพยายามขยับร่างกายให้เยอะ ไม่ก็กรี๊ดออกมา แบบตะโกนให้มันปลดปล่อยความเครียดสำหรับผมช่วยได้ แต่สำหรับคนอื่นผมไม่รู้”

การได้เล่นละครเวที ถือเป็นอีกความฝันหนึ่ง บ่นกับผู้ใหญ่ทุกปี เมื่อไหร่จะเรียกมาแคสฯ
“ใช่ครับ เป็นอีกหนึ่งความฝัน จริงๆ ผมพูดกับพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) มาหลายปีแล้ว ด้วยจังหวะอะไรหลายๆ อย่างด้วย รวมถึงเราเองเป็นคนไม่ได้มีสกิลด้านการร้อง ก็เลยอาจจะยังไม่ได้รับโอกาสของละครเวทีที่เป็นมิวสิคัล เราก็เข้าใจได้ เพราะว่าละครเวทีส่วนใหญ่เป็นมิวสิคัลหมด และสกิลทุกคนด้านการร้องก็ยอดเยี่ยม พอมาเรื่องนี้ก็ถือว่าเข้าทางแล้ว ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ผู้ใหญ่เลือกเรา อาจจะเพราะผมไปบ่นกับเขาบ่อยมั้งครับ เราไปบ่นกับเขาทุกปีแหละ ว่าเมื่อไหร่ผมจะได้ไปเล่นละครเวทีบ้าง เขาก็เลยเรียกเข้ามาแคสฯตอนนั้นพี่บอยไม่อยู่ ก็จะเป็นพี่ๆ ทีมละครเวทีนั่นแหละที่เป็นคนดู”

ไม่เคยดูเวอร์ชั่นเดิมมาก่อน และจะไม่กลับไปดูด้วย
“ไม่มีครับ ไม่เคยดู แล้วก็จะไม่กลับไปดู เพราะว่าจะได้ไม่มีภาพจำ ถ้าจะกลับไปดูก็เอาไว้หลังจากที่เราแสดงจบแล้ว เราตีความตัวละครในแบบของเราเลยครับ ก็เป็นเวอร์ชั่น 2025 ต้องบอกว่าเรามีการปรับแก้ในเนื้อเรื่องบางส่วนให้เข้ากับยุคสมัย”

ตั้งแต่เริ่มซ้อมมายังไม่มีทั้งชมและคำด่า
“ณ วันนี้ยังไม่มีคำชม คำไม่ชมก็ยังไม่มีครับ ก็ดีแล้วที่ยังไม่มี ถามว่ายากไหม ผมว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะมากกว่า แต่ตอนซ้อมมันก็ยังแก้ไขกันได้ เห็นว่ามันเป็นการหาจังหวะที่มันเล่นแล้วมันใช่ มันเป็นการหาร่วมกันระหว่างผู้กำกับรวมถึงนักแสดง ทีมซาวด์และทีมไฟด้วย”

ไหว้ขอ “ตั้ม วราวุธ โพธิ์ยิ้ม” วันแสดงจริงอย่าเล่นนอกบท เดี๋ยวกลั้นขำไม่อยู่ ถึงขนาด “นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” ยังรับมือไม่ไหว
“ถ้าพูดขนาดนี้ก็ใช่ครับ เขามักจะทำอะไรที่เราคาดไม่ถึง พอตอนซ้อมเขาจะอิมโพรไวส์ขึ้นมา แล้วเขาจะเป็นสีสันของเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวมาก แต่เขาก็เป็นสีสันจนได้ และเขาก็จะคิดมุกทุกรอบที่ซ้อม มุกเขาก็จะไม่ซ้ำ ผมจำได้รอบที่ซ้อมล่าสุด ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะเล่นแต่ผมกลั้นขำไม่อยู่ ผมขำก่อนเลย มันไม่สามารถจริงๆ แล้วเขาชอบเล่นมุกอะไรที่เราคาดไม่ถึง เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ ไหว้ร้องขอว่าอย่าเล่นอะไรที่มันแปลกไปจากเดิมเลย ผมก็กลัวว่าผมจะหลุดบนเวทีตอนห้องซ้อมคือขำกันทุกคน ทำกันทั้งห้อง คือมุกเขาคือแบบกล้าคิดเนอะ กล้าเล่นเนอะ”

บอก “ตั้ม” ยังไม่เคยโดนดุ แต่ถึงโดนแป๊บหนึ่งก็กลับมาเหมือนเดิม
“ยังครับแต่เกือบๆ อีกนิดหนึ่ง ถึงโดนดุเขาก็จะหยุดไปแป๊บหนึ่ง แล้วเขาก็กลับมาเหมือนเดิม (หรือว่าเราจะลองไปไซโคผู้ใหญ่ให้แกล้งดุเขาเพื่อเซฟทุกคน?) ถ้าเราทำแบบนั้น มันอาจจะทำให้คนดูเสียผลประโยชน์ก็ได้ เพราะว่าเขาเป็นสีสันเดียวของเรื่องนี้ ผมว่าเราต้องเพิ่มสติให้กับตัวเองแค่นั้นเอง

บอก “ตั้ม” ต้องภูมิใจ เพราะเป็นตัวป่วนของทุกคน น้อยคนที่จะคิดมุกด้นสดแล้วตลกได้
“ใช่ครับ ผมว่าเขาต้องภูมิใจเพราะเขาเกิดมาเป็นแบบนี้โดยธรรมชาติ อันนี้เป็นคำชมเพราะว่ามันน้อยคนนะที่คิดมุกมาเท่าไหร่แล้วทุกคนก็ขำหมด คือเรื่องมันซีเรียสมาก แต่ไดอะล็อกที่เขาคิดด้นสดขึ้นมา ในมู้ดของความน่ากลัวมันทำให้เราตลกได้แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้เสียเรื่อง มันไปในเส้นเรื่องนั้นได้ด้วย นี่คือความเก่งของเขา ซึ่งให้ผมคิดผมก็คิดไม่ได้นะ สมมติมีทั้งหมด 10 รอบ เขาอาจจะเล่นมุกไม่ซ้ำกันเลยก็ได้”

ความพร้อมตอนนี้ให้แค่ 30 เปอร์เซ็นต์
“ให้สัก 30 เปอร์เซ็นต์แล้วกัน ในวันนี้เรายังไม่ได้ขึ้นซ้อมบนเวทีใหญ่ เวทีจริง เรายังไม่ได้ซ้อมจังหวะพร็อพ จังหวะทรานซิซั่นต่างๆ จริงๆ แต่ว่าเราซ้อมการแสดงหมายถึงในพาร์ต ของเส้นเรื่องต่างๆ เราซ้อมไปเยอะมากแล้ว”



ทำงานกับ “นุ่น ศิรพันธ์” เหมือนถูกหวย ได้วิชาติดตัวมาเยอะมาก ดีใจที่ได้ร่วมงานกับทีมนี้
ดีมาก น่าจะเป็นการถูกหวยลอตเตอรี่ในการทำงานในปีนี้เลย ผมเคยทำงานกับพี่นุ่นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว เล่นเรื่องเรือนเบญจพิษ เล่นเป็นลูกของพี่นุ่น ซึ่งตอนนั้นเรายังเป็นเด็กน้อยหอยสังข์ที่ยังเล่นละครไม่เป็น เราก็ได้วิชาจากพี่นุ่นมาเยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่าดีจังเลยที่ได้ทำงานกับคนที่เขาทุ่มเทกับงานขนาดนี้ เรารู้อยู่แล้วเวลาที่เขาทำการแสดง พี่นุ่นเหมือนยอดมนุษย์ วันที่เราสนุกกับการแสดง เราก็รู้สึกว่าโคตรสนุกเลยที่ได้ร่วมงานกัน

ไม่ใช่แค่พี่นุ่นอย่างเดียวมันมีพี่อัค อัครัฐ, ตั้ม วราวุธ , จ๊ะจ๋า แดนดาว และ มีน อาลามินา ที่เขาเก่งมาก เอาจริงๆ เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเราเลย ถ้าเราแผ่วนิดเดียว คือเราหายไปเลย เราก็เลยต้องเต็มที่ ทุกคนมาเพื่อทุ่มเทกับงาน ผมเลยดีใจมากที่ได้ทำงานร่วมกับทีมนี้ ผมไม่เคยบอกพี่นุ่นว่าทำงานเขาเหมือนถูกลอตเตอรี่ เขิน เพราะว่าพี่นุ่นเป็นครูคนแรกๆ ที่สอนการแสดงของเราในฐานะเพื่อนร่วมงาน แบบครูภาคสนาม

สัก 5 ปีที่แล้ว มันเป็นฉากที่พี่นุ่นมารู้ความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกของเขา แต่เขาเลี้ยงผมมา 20 กว่าปี มันเป็นฉากที่ทุกคนตราตรึงมากในละครเรื่องเรือนเบญจพิษ ซึ่งเป็นซีนที่ทุกคนพูดถึง แล้วผมก็อยากรู้ว่าทำไมพี่นุ่นเล่นได้ดีขนาดนั้น ผมก็เลยถามแล้วก็ถามตลอดเวลา ซึ่งพี่นุ่นก็บอกทุกอย่าง พี่นุ่นไม่เคยกั๊กเราเลย ผมก็เลยรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนครูคนแรกๆ ของเราเหมือนกันทางด้านการแสดง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเก่งขึ้นได้ เพราะคำแนะนำจากเขา

เรื่องการทำการบ้าน และเรื่องความตั้งใจ ความทุ่มเท ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลย เพราะว่าพี่นุ่นเป็นคนที่ทำการบ้านได้ดีมาก แล้วก็ตั้งใจทำงานมี 100 เขาก็ทำ 1,000 ตอนที่เรามีโอกาสได้ซ้อมกัน พี่นุ่นเล่าถึงแบ็กกราวด์ สตอรี่ของตัวละคร แค่เล่านะไม่ได้เล่น แต่คนฟังแบบผมคือใจจะสลาย”

ประทับใจหลายอย่างมากที่ได้มาเล่นเรื่องนี้
“หลายอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวพี่นุ่นเองก็ตาม รวมไปถึงพี่ๆ นักแสดงคนอื่นๆ ที่เขาทุ่มเทมากไม่ต่างกัน คือผมเคยได้เป็นแต่ผู้ชม แล้ววันนี้เราได้มาเห็นการทำงานของพี่ๆ ทีมเบื้องหลังทุกคน ผมก็เลยรู้สึกว่าโห ละครเวทีที่เราดู 1-2 ชั่วโมง มันทำงานหนักมากเลย ผมถ่ายละคร 7 โมง - 4 ทุ่ม ผมยังไม่เหนื่อยเท่าผมมาซ้อมละครเวที 1 วันเลย”

ตอนนี้เคลียร์งานทุกอย่างเพื่อละครเวที
“ใช่ เคลียร์เพื่ออันนี้เลย เพราะเราไม่สามารถที่จะรับงานอื่นได้ เพราะเราซ้อมตั้งแต่ช่วงเที่ยงจนถึง 4 ทุ่ม อยู่โรงละครแบบนี้ทุกวันๆแล้วเนื้อเรื่องมันเหมือนมีแค่ตอนเดียว แต่เราซ้อมตั้งแต่ต้นจนจบ วนไปเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เราเล่นทุกคนเต็มร้อย ผมว่ามันน่าจะใช้เอเนอจี้เยอะ มันเลยทำให้เราเหนื่อย แต่ว่ามันสนุก”

รู้สึกเหนื่อย แต่ไม่เคยคิดว่าไม่น่ารับ เพราะถ้าไม่ทำสิ่งที่ยาก ก็จะไม่มีทางโตขึ้น
“ไม่เคยมีครับ ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย รู้สึกดีใจมากที่รับละครเรื่องนี้ ยอมรับว่าเหนื่อยกว่าการถ่ายละครทีวี แต่ว่าไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่รับละครเวทีเรื่องนี้ รู้สึกดีใจมากด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เราได้เจอคนเก่ง ทำให้เราโตขึ้นผมพยายามคิดอย่างนี้ว่า ถ้าเราไม่ทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถตัวเอง เราก็จะไม่มีทางโตขึ้น เพราะว่าถ้าเรายังทำสิ่งที่เรา ทำได้มันก็เท่าเดิม มันไม่มีอะไรมาดันความสามารถเราให้เราทะลุขึ้นไปอีก เราก็เลยรู้สึกว่ามันต้องไปดิ มันต้องได้ดิ ไม่รู้ว่าปลายทางมันจะดีหรือจะล้มเหลว แต่ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ได้ลอง มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ที่ผมจะเก่งขึ้น ถ้าผมได้ลองผมอาจจะทำไม่ได้ก็ได้ แต่อย่างน้อยผมยังมีโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเอง แล้วต่อให้วันนี้มันล้มเหลว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องเสียใจ เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้ว”

ไม่คาดหวังอะไรกับตัวเอง แค่หวังให้คนดูมีความสุข
“ไม่คาดหวังอะไรเลยครับ หวังแค่คนดูมีความสุข (แสดงว่าก็ไม่ถึงกับวาดไว้ใช่ไหม ว่าจะเล่นเรื่องนี้ให้เป็นแบบนี้?) ผมว่ามันทำไม่ได้กับละครเวทีนะ เพราะว่าทุกๆ รอบที่มันเปิดม่านการแสดง ตัวละครมันตายแล้วเกิดใหม่ทุกรอบ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเพื่อนเราจะเล่นยังไงด้วย ถ้าเขามีมุกอะไรจังหวะแปลกใหม่มา ถ้าเราเซ็ตไว้ทุกอย่างแล้วมันก็ไม่ได้สื่อสารกันสิ แล้วก็อย่าลืมว่ามันไม่ได้มีแค่นักแสดงอย่างเดียว มันยังมีรีแอ็กชั่นจากคนดูที่มันส่งมาถึงเราด้วย คนดูแต่ละรอบก็ไม่ใช่คนเดิม ผมก็เลยรู้สึกว่ามันคือเมจิกที่เกิดขึ้นในโรงละครที่มันไม่เหมือนละครทีวี

ตัวละครมันตายแล้วเกิดใหม่ทุกรอบ คำนี้มาจากคุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผมชอบประโยคนี้มันดี เพราะว่าคนส่วนใหญ่มันรีเซ็ตไม่ได้ แล้วผมรู้สึกว่าละครทีวี เราไม่สามารถพบเจอกับประสบการณ์นี้ พี่บอยเคยเล่าถึงนักแสดงละครบรอดเวย์เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่เป็นผู้หญิงและจำชื่อเขาก็ไม่ได้ คือเขาเล่าว่าเป็นเรื่องที่ดังมาก แล้วนักแสดงคนนี้ได้ทำการแสดงในรอบนั้น เป็นรอบที่เขาเล่นดีที่สุดในชีวิต โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยว่าเขาเล่นดี เขาเหมือนหลุดเข้าไปในโลกนั้น แล้วทุกคนต่างพูดถึง ชื่นชม แล้วเขาก็จำไม่ได้ด้วยว่าเขาเล่นอะไรไป

แต่พอรอบใหม่มาเขาก็ต้องเริ่มใหม่ คือมันตายแล้วมันเกิดใหม่ ต่อให้รอบนี้เราจะเล่นดีที่สุดไปแล้ว เราก็อาจจะกลับไปเล่นดีได้เท่านั้นไม่ได้หรือเราอาจจะเล่นดีกว่านั้นอีกก็ได้ แต่ผมก็รู้สึกว่านักแสดงคนนั้นเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะออกไปได้ถึงเลเวลนั้น แต่ว่าความทุ่มเทผมรู้สึกว่าทุกองค์ประกอบมันผลักดันให้เขาไปอยู่ตรงนั้นจนได้ ผมว่าเราแค่เอ็นจอยไป กับการแสดง เรื่อง และก็สิ่งที่เกิดขึ้น ณ โมเมนต์นั้น ณ วันนั้นก็พอแล้ว เราอาจจะทำได้ดีมากๆ หรือจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พรุ่งนี้ตัวละครเราก็เกิดใหม่อยู่แล้ว ก็อยากให้ทุกคนซื้อบัตรมาดูเยอะๆ ได้ข่าวว่าขายไปเยอะแล้ว ใกล้หมดแล้ว”

ยอมรับตื่นเต้น แต่พยายามไม่คิด
“ตอนแรกก็ไม่ตื่นเต้นหรอกนะ แต่โดนกดดันด้วยคำถาม ก็ยังไม่ได้ซ้อมบนเวที ยังไม่ได้ลองกับเสื้อผ้าจริง ยังไม่ได้ซ้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น ถามว่าตื่นเต้นไหม จริงๆ ก็มีความตื่นเต้นแหละครับ แต่พยายามไม่คิดถึงตรงนั้น พยายามซ้อมทุกวัน คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้มันสนุกที่สุด คนดูแล้วจะสนุกเหมือนเราไหม”

ยังอยากท้าท้ายความสามารถขึ้นไปอีก ถ้ามีโอกาสอยากเล่นมิวสิคัล
“ก็อาจจะเป็นบทบาทใหม่ๆ ครับ สักวันหนึ่งถ้ามีโอกาส ก็อยากเล่นมิวสิคัล พี่บอยบอกแคสฯ ให้ผ่านก่อนเถอะ แต่ว่าในปีนี้ไม่ใช่แน่นอน เพราะว่าคิวเต็มแล้วถ้าซ้อมละครเวทีมันทำงานอื่นไม่ได้ เพราะเราต้องอยู่โรงละครซ้อมทุกวัน”

หลังจบละครเวที ก็มีละครทีวีให้ติดตามต่อ
“ก็มีละครทีวีครับ แต่โปรเจกต์สั้น หนัง ยังรับได้อยู่ แต่ถ้าจะให้รับละครเวทีอีกเรื่อง เป็นไปไม่ได้ ถามว่างานละครเราต่อเนื่องตลอด ก็ว่างนานเหมือนกันนะ แม่หยัวจบตั้งแต่เดือนต.ค. แล้วไม่รู้ว่าละครเปิดกล้องเดือนไหน ถ้าประมาณมิ.ย. แต่มันก็มีงานอื่นบ้าง เป็นอีเวนต์ประปรายบ้าง แล้วที่เหลือจากนั้นเราก็ให้เวลาอยู่กับที่บ้านครับ ต้นปีที่ผ่านมาผมได้พาคุณแม่ไปเที่ยว แล้วก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างตามวัยของคุณแม่ เลยรู้สึกว่าอยากให้เวลากับเขามากขึ้น อยากพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่นอน และกลัวว่าวันที่เรามีเงินมีเวลาแล้ว เขาจะเที่ยวไม่ไหว เพราะเขาแก่มากแล้ว”



ปีนี้จะบาลานซ์เรื่องงานและชีวิตครอบครัวให้ดีขึ้น
“ใช่ครับ เรารู้สึกว่าเขาเหนื่อยง่ายขึ้นตามอายุ อาจจะไม่ได้พาเขาไปเที่ยวอย่างเดียว แต่อาจจะหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกันก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้มีฝุ่น pm 2.5 หนักขนาดนี้ ถ้าช่วงไหนผมว่าง ทุกเย็นก็จะพาคุณแม่กับแมวออกไปเดินเล่น”

บอกถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่รู้จะมีโอกาสทำอีกตอนไหน
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ผมจะได้มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับเขาตอนไหน นั่งดูทีวีมันก็ไม่ได้พูดกัน แล้วผมก็ไม่ชอบออกไปกินข้าวนอกบ้าน มันก็ไม่รู้แล้วว่าจะได้ทำกิจกรรมอะไรด้วยกัน เคยคิดไว้ว่าจะพาเขาไปสมัครฟิตเนส ให้เขาไปเต้นซุมบ้าแล้วเราไปเต้นกับเขาด้วย คือเราได้ทำกิจกรรมร่วมกับเขา และคุณแม่ก็มีเพื่อนมากขึ้น ได้ออกกำลังกายด้วย”

รู้สึกบกพร่องหน้าที่ลูก เพราะทำแต่งาน มาได้สติตอนพ่อแม่แก่ไปมากแล้ว
“ที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้มากกว่า หรือทำได้น้อย บกพร่อง ใช้คำนี้ดีกว่า เรารู้สึกว่าเราบกพร่องในหน้าที่ของลูก ทำแต่งาน พอมาได้สติอีกทีหนึ่ง ก็คือพ่อกับแม่แก่ไปมากแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้ ยิ่งปีที่ผ่านมาผมเห็นคนรู้จักสูญเสียพ่อแม่ไปเยอะมาก พ่อแม่เพื่อนอายุน้อยกว่าพ่อแม่ผมอีก ก็เสียชีวิตจากโรคต่างๆ เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่วันนี้แล้วจะเป็นวันไหนวะ พูดกับตัวเองนะครับ ว่าจะรอให้เขาเดินไม่ได้ ให้เขานั่งวีลแชร์ก่อนเหรอ ถึงจะพาเขาไปเที่ยว มันไม่สนุกนะ การที่เราเข็นเขาไปบนทราย กับเขาเดินแล้วได้เหยียบทราย ได้โดนน้ำทะเล มันไม่เหมือนกัน ต่อให้เรามีเงินแค่ไหนก็ซื้อความรู้สึกของเขากลับมาไม่ได้ ก็เลยพยายามให้เวลากับเขามากขึ้น”

ไม่ได้อยากถูกมองเป็นลูกกตัญญู แค่อยากทำให้พ่อแม่มีความสุข
“ผมอาจจะทำได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่คิดหรอก อาจจะพูดไปเรื่อย แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ แล้วก็ตั้งใจจริงๆ ว่าอยากที่จะทำให้เขามีความสุขแบบนั้นให้ได้ ผมไม่อยากให้ทุกคนนั่งฟังแล้วรู้สึกดูเป็นลูกกตัญญูขนาดนั้น แต่มันเป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะทำตามที่คิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า แค่ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นให้ได้ เพราะบางทีพอเราเข้าสู่โหมดทำงาน เราก็ตัดทุกอย่างอยู่แค่งานจริงๆ บางทีผมก็ลืมว่ายังมีแม่นะ ยังต้องให้เวลากับเขายังมีแมวที่ต้องเลี้ยง หลังๆ ช่วงซ้อมละครเวที ผมก็แทบไม่ได้เล่นกับแมวเลย แต่เหมือนเป็นโชคดีเหมือนกันนะ ที่ผมมีแมว อย่างน้อยช่วงที่ผมซ้อมละครเวที แม่ก็มีแมวเป็นเพื่อน ผมฉุกคิดได้ในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าสายไปไหม แต่ก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ที่สุดครับ”

ยกมือสาธุ! ขอให้ปีนี้ทำงานราบรื่น
“ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ทำงานได้อย่างราบรื่น ประสบความสำเร็จได้ดี (ยกมือสาธุ) ผมไปไหว้พระน้อยครับ ยังไม่เท่าไหร่ เพิ่งพาคุณแม่ไปเที่ยวมา แล้วก็มาซ้อมละครเวที

โอดตั้งแต่เข้าวงการมา ปีที่แล้วถือว่าเจอหนักที่สุด
น่าจะหนักที่สุดแล้วนะ เรื่องที่มันไม่เกี่ยวกับเรา แล้วเราก็ได้รับเต็มๆ ผมก็ไม่โทษใครนะ ก็มันผิดก็เป็นเรื่องที่เราเรียนรู้ก็หวังใจว่าปีนี้จะทำงานได้อย่างราบรื่น อย่างมีความสุข”

ถือเป็นบทเรียน ให้มีภูมิคุ้มกัน
“ใช่ครับ ก็หวังว่ามันจะเป็นภูมิคุ้มกัน เป็นพิษร้ายกัดกินใจเรา ผมรู้สึกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนมีปัญหาด้านสุขภาพจิตค่อนข้างเยอะ หมายถึงคนรอบตัวของผม หมายถึงตัวผมเอง ผมก็รู้สึกว่า เราอ่อนไหวได้มากขึ้น ผมรู้สึกว่าหลายอย่างมันพร้อมที่จะท็อกซิก เราก็เช็กตัวเองเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่เรารู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง เรารู้สึกว่าเราเริ่มเป็นมากแล้วนะ แล้วตามงานวิจัยต่างๆ ด้วยเปอร์เซ็นต์ของคนที่ป่วยทางจิต ผมไม่ได้หมายถึงว่าเป็นบ้านะครับ หมายถึงเป็นโรคซึมเศร้า ความเครียดสะสมเกิน ผมไม่เข้าใจจนผมเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะเครียดอะไรกันนักหนา จนเราเป็นผู้ใหญ่ อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง”

เวลาเจอเรื่องเครียดบางครั้งก็รับมือไม่ได้ เลยเลือกที่จะปิดโทรศัพท์ ไม่เสพโซเชียลและไปอ่านหนังสือ
“บางช่วงมันทำไม่ได้ครับ บางช่วงก็เลือกที่จะโยนมือถือทิ้งไปเลย คือไม่เสพอะไรเลย ไม่เล่นอะไรเลย อ่านการ์ตูน ดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นกับแมว เซฟโซนคือหนังสือครับ ผมชอบอ่านหนังสือ รู้สึกว่าเวลาได้อ่านหนังสือ มันทำให้เรามีสมาธิจดจ่อกับหนังสือ มันทำให้เราหยุดคิดเรื่องอื่น หนังสือแนวที่อ่านบ่อยก็คือการพัฒนาตัวเอง หนังสือที่อ่านแล้วฮีลใจ อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกรักตัวเองมากขึ้น เคารพตัวเองมากขึ้น

แต่ปีที่แล้วยังอ่านได้ไม่เยอะมาก ปีที่แล้วผิดคาด เราอ่านหนังสือได้น้อย ปีที่แล้วติดการ์ตูนค่อนข้างเยอะ แต่การ์ตูนก็เป็นอีกหนึ่งเซฟโซนของผม คือมันไม่ต้องคิดอะไร คือมันเป็นโลกของจินตนาการ ดูการ์ตูนแล้วไม่คิดอะไร คือมันเป็นเทคนิคส่วนตัวของใครของมันครับบางคนก็อาจเข้าไปเดินป่า เห็นช่วงนี้กำลังฮิต ของผมก็คืออยู่บ้านอ่านหนังสือไม่ยุ่งกับใคร เป็นอินโทรเวิร์ตเปล่า แต่ผมถามหลายคนว่าผมเป็นไหม เขาบอกว่าเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต ที่พยายามจะเก็บตัว (หัวเราะ)”

เป้าหมายในระยะสั้น คืออยากมีความสุขให้มากที่สุด
“ถ้าปีนี้ในระยะสั้น อยากจะมีความสุขให้มากที่สุด เป้าหมายผมมีแค่นี้แหละ ผมว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นทุกปี แต่ว่าเราอาจจะจัดการความรู้สึกเหล่านั้นได้ไม่เก่ง ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนที่มีความสุข ให้ได้มากที่สุด ผมไม่ได้หมายถึงว่าจะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น หรือว่าไปร้องขอ แต่ว่าผมจะจัดการที่ตัวเอง เราอยากจะใช้ปีนี้นอกจากทำงานไปด้วย หาเงินไปด้วย ดูแลแม่ไปด้วย คือเราอยากจะพัฒนาตัวเอง มายด์เซ็ตของเรา ให้มีความสุขได้ทุกวันมีความสุขกับเรื่องเล็กน้อย แค่วันนี้ลืมตาตื่นมา ล้างหน้าแปรงฟันก็มีความสุขแล้ว อยากทำให้ได้อย่างนั้นในทุกๆ วัน”

















กำลังโหลดความคิดเห็น