xs
xsm
sm
md
lg

“นุ่น ศิรพันธ์” ดีใจเหมือนถูกหวย! ได้เล่นละครเวทีที่รัชดาลัยฯ เป็นฝันที่เกินเอื้อม พร้อมเผยถึงนักแสดงที่จะไม่สนิทด้วย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“นุ่น ศิรพันธ์” ดีใจเหมือนถูกหวย ได้เล่นละครเวที “เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี” เป็นความฝันที่เกินเอื้อม อยากขึ้นแสดงที่รัชดาลัยฯ มาตลอด ไม่กล้าถามเหตุผลที่ได้รับเลือก แค่ได้เล่นก็แฮปปี้แล้ว รับเป็นบทที่เข้าทาง แต่ต้องตั้งสติมากๆ เพราะถ้าพลาดคนอื่นก็ไปต่อไม่ได้ พร้อมเผยถึงนักแสดงที่หมายหัวไว้จะไม่สนิทด้วยเด็ดขาด

ทำเอานักแสดงมากความสามารถอย่าง “นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” ถึงกับดีใจหนักมาก ที่ได้รับการติดต่อให้มาแสดงละครเวที “เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี” เพราะการเล่นละครเวที เป็นความฝันที่มีตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแสดงแล้ว โดยนุ่นได้เปิดใจถึงการมารับบท “ดาว” ในครั้งนี้ ว่าเป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อนมาก แต่ก็เข้าทาง เล่นแล้วสนุก ยกการได้ขึ้นแสดงบนเวที เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ถือเป็นเช็กลิสต์อีกหนึ่งอย่างในชีวิตที่อยากทำให้สำเร็จ เพราะส่วนใหญ่ละครเวทีที่แสดงที่นี่ มักจะเป็นมิวสิคัล ทำให้รู้สึกเกินเอื้อมมาก เพราะตัวเองร้องเพลงไม่ได้เลย แต่ในที่สุดฝันก็เป็นจริงแล้ว

ถ้าตามการเล่าเรื่องก็คือว่าน้องสาวของดาวเสียชีวิต และดาวก็เลือกที่จะเอาศพมาไว้ในบ้าน และเชิญทุกคนมาเผื่อตามหา ว่าใครเป็นคนที่ทำให้น้องสาวของฉันตาย แล้วการที่มานั่งอยู่ด้วยกัน เพื่อรอเวลาอะไรบางอย่าง เหงาๆ ก็เลยเล่าเรื่องผีรอ เส้นเรื่องใหญ่ก็คือมีการตายเกิดขึ้น แล้วก็มีตามหา ว่าใครเป็นคนที่ทำให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการเล่าแทรก ว่าผีที่แต่ละคนไปพบเจอมามีอะไรบ้าง เหมือนมาเฝ้าศพไม่มีอะไรทำ ก็เลยเล่าเรื่องผี”

ตัวละครมีความลึกลับซับซ้อน และมีพื้นที่ให้เล่นเยอะมาก
“ตัวละครนี้ลี้ลับ ลึกลับซับซ้อนมาก นุ่นตั้งใจทำให้คนดูเดาไม่ได้ ว่าดาวเสียใจ หรือดีใจ หรือเขาเป็นคนทำให้เกิด หรือเขากำลังตามหาคนทำให้เกิด มันมีความซับซ้อนในตัวละครเยอะมาก ซึ่งด้วยบทเอง มันก็ถูกนำพาให้ตัวละครตัวเองก็แบบ…หรือแกฆ่าวะ หรือจริงๆ เสียใจวะ มันก็จะมีมิติของตัวละครเยอะมากๆ และมีพื้นที่ให้นุ่นได้เล่นเยอะมาก ว่าตกลงพี่ดาวเป็นคนยังไง เพราะตอนที่ได้รับบท อ่านไปพร้อมๆ กับคนอื่น ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำ นักแสดงเองก็ต้องตามหาไปพร้อมๆ กันกับคนดูด้วย”

เป็นความฝันที่อยากทำมานานแล้ว เลยไม่ใช่ความท้าทาย แต่เป็นความตื่นเต้น และความดีใจ
“มันเป็นเหมือนการเช็กลิสต์ความฝันของนุ่นค่ะ คือตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแสดง นุ่นอยากเล่นละครเวทีที่สุด และหนึ่งในโรงละครเวทีที่อยากอยู่ คือเมืองไทยรัชดาลัย มันคือความแกรนด์ มันเหมือนเป็นเวทีที่เราอยากไปยืน แล้วที่ผ่านมารัชดาลัยฯ มีแต่มิวสิคัล แล้วเราร้องเพลงไม่เป็น อันนี้คือสิ่งที่นุ่นติดมาตลอด ว่ามันยังไม่มีโอกาสได้ทำงานบนเวทีนี้ ถ้าออดิชั่นคือตกรอบแรกแน่ นุ่นร้องไม่ได้เลย และไม่เคยคิด

สำหรับนุ่นการที่วันหนึ่งเขาโทร.มา แล้วบอกว่าพี่จะทำเรื่องนี้เป็นละครพูด นุ่นพูดก่อนเลยว่าถ้าร้องเพลงหนูไม่ได้ แต่พอเป็นละครพูด สำหรับนุ่นมันไม่ใช่ความท้าทาย แต่มันคือความตื่นเต้น นุ่นรอวันที่จะได้ขึ้นเวทีมากๆ อยากจะอยู่บนเวทีอย่างเพอร์เฟกต์ที่สุด ถ้าถามว่าอะไรคือความกดดัน คือกดดันตัวเอง เพราะเราไม่คิดว่าเราจะมีโอกาส แล้วพอมีโอกาสเราก็อยากให้ออกมาดี เอาจริงๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ค่ะ ดังนั้นที่มักจะพูดเสมอ คืออย่าพูดว่ามันคือความท้าทาย เพราะมันคือความดีใจมากๆ วันนี้มันเหมือนเราถูกหวยค่ะ แล้วเราก็ไม่อยากให้โอกาสมันหายไป

หนึ่งในลิสต์ที่อยากติ๊กให้สำเร็จ คือการแสดงบนเวที “เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์” เพราะรู้สึกเกินเอื้อมมาตลอด
“คือเรามีโอกาสมาดูที่นี่หลายรอบมาก นุ่นเป็นคนชอบดูละครเวที และเราเคยเล่นโรงเล็ก ที่เป็นห้องไซซ์คนดูประมาณ 30-40 คน ซึ่งมันฟินตอนเล่น หรือโรงไซซ์กลางก็เคยเล่น แต่ที่นี่มันเป็นเหมือนเราเคยดู แล้วเราก็ประทับใจ เราเคยร้องไห้กับละครเวทีหลายๆ เรื่อง เราร้องไห้ตามพี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) ล่าสุดร้องไห้กับพี่กบ (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี) คือเรารู้สึกว่ามันประทับจิตประทับใจค่ะ แล้วมันเกินเอื้อม ไม่ได้พูดเวอร์นะ แต่ถ้าคุณไม่มีสกิลร้องเพลง ก็เหมือนว่าไม่ต้องเสนอหน้ามา (หัวเราะ) มันห่างไกลความฝันมากๆ ค่ะ

ถามว่าทำไมต้องที่นี่ เมืองไทยเรามีโรงละครไม่กี่ที่ แล้วมีไม่กี่ที่ที่เขาเอาจริงเอาจัง นุ่นได้ยินกิตติศัพท์ของพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) มานานมาก เราได้ยินว่าพี่บอยเก่งและเข้มงวด เราเป็นพวกอยากทำงานกับคนเก่ง ละครเราคงไม่มีโอกาสกับพี่บอย ก็จะมีอีกอันคือละครเวที เราก็เคยมาดูด้วย เราเลยรู้สึกว่ามันต้องที่นี่ เป็นอีกหนึ่งอันที่ต้องเช็ก ส่วนใหญ่ของนุ่น นุ่นเช็กติ๊กเกือบครบแล้ว แต่อันนี้เป็นเวทีที่รอ”

เส้นเรื่องอาจจะไม่ได้เปลี่ยนจากเวอร์ชั่นแรก แต่บทจะถูกปรับ เพื่อให้สมเหตุสมผลกับยุคสมัย
“ข้อแรกคือบางทีเส้นเรื่องมันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างชัดขนาดนั้น ไม่แปลกที่คนดูจะรู้สึกว่าเรื่องมันคล้ายๆ ด้วยความที่เรามีประสบการณ์การเล่นละครรีเมกหลายเรื่อง เรารู้สึกว่าบางอย่างเราเปลี่ยนข้อเท็จจริงไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่นุ่นชอบ ก็คือตอนที่คุยบท ผู้กำกับบอกว่าบทมันต้องถูกปรับ เพื่อให้มันสมเหตุสมผลกับคนในยุคนี้ บริบทสังคมมันเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดในเรื่องมันต้องสมเหตุสมผล คนยุคนี้ฟังแล้วต้องไม่อาย ผู้กำกับเขาก็เข้าใจว่าคนดูต้องการอะไร นี่เป็นเรื่องแรกที่นุ่นชื่นชม

ส่วนเรื่องที่สองคือด้วยเทคนิค นุ่นมาดูละครเวทีที่นี่หลายเรื่อง ห่างหายไปหลายปี และกลับมาดูอีกทีคือ ฟ้าจรดทรายฯ ซึ่งทึ่งกับเทคนิคเหมือนเราดูหนัง เรารู้สึกว่าเทคนิคมันล้ำ ไม่เหมือนกับที่ดูในสมัยก่อน ยิ่งเรื่องนี้บทก็น่าสนใจ วิธีการเปลี่ยนฉากก็เร็วกระชับ มีความเก๋ เราก็ต้องซ้อมเปลี่ยนฉาก เพราะทั้งเทคนิค วิธีการเล่า เราได้ยินมาว่าครั้งแรกเขาจะเป็นแบบ 4D รูป กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วตอนนี้เทคนิคทุกอย่างมันมีการพัฒนา อันนี้คือไม่ได้ห่วงคนดูเลย ห่วงตัวเองมาก คือขี้กลัวไง ก็เลยคิดว่าตอนซ้อมต้องชินให้ได้

เพราะขนาดซ้อมก็ยังตกใจจริง แล้วในเรื่องพี่ดาวต้องไม่ตกใจอะไร อยากเห็นมาก แบบมาสิอยากดู ไหนอยู่ไหน แต่กลัวตัวเองไม่ชินมาก เป็นคนกลัวผี ต้องคัตตัวเองว่าตอนนี้เป็นพี่ดาวอยู่ ถ้าเมื่อไหร่เป็นตัวละครเราจะไม่กลัวอยู่แล้ว คือตั้งใจว่าเราจะซ้อมให้มันชินที่สุดค่ะ เผื่อจะไม่ตกใจเอง และไม่เคยดูเวอร์ชั่นเก่าเลย อาจจะเป็นข้อดีก็ได้ คือเป็นคนขี้กลัว หนังผีนุ่นไม่ดูเลย แม้กระทั่งเรื่องที่ตัวเองเล่นก็ไม่ดู แต่เล่นละครผีมาเยอะมากค่ะ ไม่เช็กมอนิเตอร์ แล้วถ้ามีโอกาสที่ต้องดูงานตัวเอง ด้วยความที่เรารู้บท รู้ว่าเดี๋ยวผีหลอกเราก็จะปิดตาก่อน คือเล่นผีมาเยอะนะ แต่เป็นคนขี้กลัวมา เลยไม่ค่อยดูงาน”

ตอนแสดงต้องตั้งสติมากๆ เพราะถ้าผิดปุ๊บ คนอื่นจะเล่นต่อไม่ได้
“นุ่นว่าเป็นข้อดีของการที่เราเป็นนักแสดง เวลาเราเป็นตัวละครเราจะตัดตัวเอง นุ่นว่าด้วยละครเวทีมันมีเสน่ห์ มันต้องมีสติมากๆ ไม่ใช่เราแค่จำบท เวลาเราเล่นละครก็แค่ท่องบท ถ่ายๆ แล้วก็เปลี่ยนซีน แต่ถ้าผิดก็ถ่ายใหม่ แต่อันนี้มันต้องรัน สมมติว่าใครพูดผิดสักคนหนึ่ง ถ้านุ่นลืมอีกคนหนึ่งก็จะไปต่อไม่ได้ มันเลยทำให้เราต้องมีสติ ถ้าเรื่องกลัวคงไม่หรอก เพราะว่าเวลาแสดงจริงเราต้องโฟกัส”

เสน่ห์ของละครเวที คือไม่สามารถคัตแล้วแก้ใหม่ได้
นี่แหละเลยเป็นเสน่ห์ของละครเวที มันเหมือนทุกอย่างผ้าม่านเราเปิดแล้ว ฉันจะต้องทำให้เธอดูจนจบ อย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คนดูต้องไม่รู้สึก สำหรับนุ่นมันคือการทำงานเป็นทีม คือละครก็ทำงานเป็นทีม แต่สำหรับนุ่นละครเวทีมันคือพาร์ตเนอร์ คือมันต้องวิ่งไปด้วยกัน”

ส่วนตัวทึ่งกับการทำงานของที่นี่มาก
“นุ่นทึ่งกับที่นี่มาก ขออวยยศนิดหนึ่ง ไม่เคยซ้อมละครเวทีที่แบบทุกคนอยู่กันครบ เมื่อก่อนละครคือนั่งอ่านบทๆ ที่นี่ Read Through วันแรก นัดบ่าย 3 อ่านบท เดี๋ยวพี่บอยมาช่วงค่ำ สนุกๆ แต่พอพี่บอยมาทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย ห้องเซ็ตใหม่ พี่บอยนั่งเหมือนออดิชั่น พี่บอยนั่ง ผู้กำกับนั่ง ทีมงานนั่งเกือบ 30 ชีวิตข้างหลัง วันแรกที่เราซ้อม เราก็แต่งตัวเหมือนมาซ้อมบท ท่องจำ แต่ที่นี่ไม่ ซ้อมบทก็เหมือนมีแบ็กสเตจ มีเสียง พูดประโยคนี้ เสียงฝนตกคือฝนตกเลย คือสมจริงตั้งแต่ตอนซ้อม คือเต็มที่ตั้งแต่วันแรก เสียงหมาหอน โอ้โห เขาจริงจังว่ะ”

ไม่กล้าถามทำไมถึงเลือกตน แค่ได้เล่นก็แฮปปี้แล้ว
“นุ่นไม่กล้าถาม แล้วก็ไม่รู้เลยค่ะว่าใครเป็นคนเลือกนุ่น ได้มาเล่นก็โอเคแล้วค่ะ เขาไม่เปลี่ยนตัวก็แฮปปี้แล้ว (หัวเราะ) มีรูปโชว์แล้ว ก็ไม่เปลี่ยนแล้ว”

รู้สึกเหมือนถูกหวย เพราะละครเวทีที่ไม่ได้ร้อง ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
“เหมือนที่บอกเหมือนนุ่นถูกหวย เพราะที่เมืองไทยรัชดาฯ เขาไม่ได้พูดบ่อยๆ สัก 10 เรื่อง มีสัก 2 เรื่อง นอกนั้นเป็นมิวสิคัลหมดเลย”

การแก้ไขสถานการณ์ในการลืมบท คือต้องแก้ตั้งแต่ตอนเตรียมงาน ต้องซ้อมจนแค่มองตาก็รู้ใจ
“นุ่นว่าต้องแก้ตั้งแต่เตรียมงาน เหมือนที่บอกว่าเราทำงานเป็นทีม หมายถึงว่าเราไม่ได้แก้ไขปัญหาคนเดียว มันจะถูกซ้อมจนแค่มองตาก็รู้ใจ บางอย่างเราแก้ไขปัญหาคนเดียวได้ บางอย่างเราต้องให้เพื่อนช่วย บางอย่างทีมงานก็ต้องช่วย ยิ่งถ้าตอนซ้อมเราเอาจริงเอาจัง หรือบางอย่างนุ่นก็พูดไปเลยว่าเรากลัวตรงนี้ ผู้กำกับก็จะหาวิธี อย่างตอนซ้อมล่าสุดมีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่พูดเสร็จแล้วเราต้องวาง พอตอนซ้อมเรายังไม่แม่น ก็ยังไม่วางสักที เราต้องหาจังหวะไปวางเอง เพื่อให้คนต่อไปเขามาหยิบใช้ต่อ แล้วตอนที่เราลืม คนที่ซ้อมด้วยกัน ก็บอกว่าถือไว้ทำไม เราก็แบบลืมวางนี่หว่า ก็ต้องหาวิธีให้ตัวเองเอาไปวางให้ได้ ถึงบอกว่าละครเวทีไม่ทำให้คนดูรู้สึกว่า เราลืมนะ”

ได้สนิทกับน้องๆ นักแสดงมากขึ้นตอนซ้อม แต่หมายหัว “ตั้ม” ที่สุด เพราะชอบนอกบท ทำให้หลุดไปด้วย
“มีน้องอัค (อัครัฐ นิมิตรชัย) น้องฟิล์ม (ธนภัทร กาวิละ) ก็มาสนิทกันตอนซ้อม คนที่นุ่นหมายหัวว่าจะไม่สนิทด้วยคือน้องตั้ม (วราวุธ โพธิ์ยิ้ม) คือกลัวหลุด ทุกคนเจอไปแล้ว เกลียดนางมาก ถ้าถามว่าในวงการเกลียดใคร ก็มีชื่อตั้มอยู่แล้ว (หัวเราะ) ด้วยความที่ในเรื่อง เขาเป็นคนทำให้มีสีสัน เขากลัว แต่ต้องกลัวแบบมีสีสัน แล้วเขาชอบนอกบท เราก็ถามว่าอันนี้จะนอกบทใช่ไหม ฉันจะได้เตรียมใจก่อน เขาจะมีมุกมาตลอด เราก็กลัว เพราะว่าตัวละครพี่ดาว จะไม่หวั่นไหว ตาแข็งใส่ทุกคน

แต่ว่าตอนซ้อมก็คือหายนะมาก ตั้มช่วยพี่ได้ไหม ไปเล่นกับคนอื่นได้ไหม เราก็จะแซวกัน (หัวเราะ) คือเขาสนุกมาก นุ่นว่าดีนะ รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูก จริงๆ ตอนนี้งานออฟฟิศก็รันอยู่ จริงๆ ต้องเป็นเป็นพนักงานฟลูไทม์ 9 โมง ถึง 2-3 ทุ่ม แต่ว่าการที่เราขอลา เพื่อมาซ้อมและก็มาเล่น แล้วเราดันสนุกกับงาน เพื่อนร่วมงานดีมาก 2 เดือนนี้ คุ้มค่า นุ่นว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี คือซ้อม 1 เดือน เล่น 1 เดือน ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะปกติเรื่องหนึ่งซ้อม 2-3 เดือน”

สิ่งที่รู้สึกเข้าทางที่สุดคือตัวละคร “ดาว” รู้สึกสนุกเวลาเล่น
“อารมณ์ตัวละครพี่ดาวค่ะ คือสนุกมาก มันไม่ได้เล่นแบบฉันโกรธ อย่างที่บอกพี่ดาวความลึกลับในตัวเอง บอกไม่ได้เลยว่าตอนนี้เสียใจหรือดีใจ หรือว่าคิดอะไรอยู่ เราสามารถเล่นกับตัวตัวละครได้อย่างฟรีสไตล์ แล้วผู้กำกับอยากให้เราลองเล่นแบบขายของดู แฮปปี้มากค่ะ ช่วงนาทีทอง ละครเวทีไม่ว่าเราเล่นเรื่องไหนก็ตาม ซ้อมแค่ไหนก็ตาม เวลาที่ใกล้จะเปิดม่าน จะมวนท้องทุกครั้ง ปวดฉี่ทั้งที่เราเข้าห้องน้ำมาแล้ว พอเล่นเสร็จ เราจะรู้สึกสนุก เวลาเราเล่น เราจะได้ดูว่าคนดูรู้สึกยังไง”

ดูแลตัวเองอย่างดี เพราะเล่นละครเวทีจะป่วยไม่ได้
“ช่วงนี้จะทานน้ำปกติ ไม่ให้ไอ ไม่ให้ป่วยเจ็บคอ ไม่ใช่แค่รับผิดชอบ คือเราไม่อยากพลาดแม้กระทั่งการซ้อม เพราะว่าตอนซ้อมมันเป็นเวลาที่สนุกมาก สำหรับนุ่นมันไม่ใช่การเตรียมงาน เหมือนมันทำงานแล้วสนุก จนไม่อยากลาป่วย”

สปอยล์ความขนลุก น่ากลัวจนไม่กล้าอาบน้ำ
“คือนุ่นไม่กล้าอาบน้ำจริงๆ ขนาดเล่นเป็นพี่ดาวนะ ห้องซ้อมคือเป็นแบบนี้ ตอนซ้อมเปิดปิดไฟ ลองเทคนิคเสียงด้วย ลองเล่นอารมณ์จริงเท่าที่จะเล่นได้ เล่นแสงด้วย แล้วแต่งชุดธรรมดาด้วยนะ คือน่ากลัว ทั้งที่ในเรื่องต้องไม่กลัว คือตอนเล่นคัตเราไม่กลัว แต่พอกลับไปถึงบ้าน เลิก 4 ทุ่ม กลับบ้านจะอาบน้ำประมาณเที่ยงคืน อยู่ๆ ไฟห้องน้ำมันก็แบบเหมือนในห้องซ้อมเลย ก็เลยไม่กล้าอาบน้ำสระผม ขนาดว่าเราเป็นคนเห็นบท ขนาดว่าเรารู้ว่านี่คือคุณตั้ม คุณฟิล์ม คุณอัค เรายังติดกลับมาเลย

จังหวะตกใจเยอะมาก แต่อยากให้ดูแบบปล่อยจอย
“เยอะค่ะ คือถ้าคนที่ตกใจแบบนุ่น ช่วยตั้งสติ เพราะว่ามันจะมีจังหวะที่แบบผี มันจะมีซาวด์บางอย่าง แบบอีกนิดหนึ่งมาแน่นอน เราก็จะพร้อมปิดตา ระวังที่นี่เอาไว้ให้ดี แค่ขนาดเรารู้จังหวะ เรายังแบบห๊ะ... เรายังถามว่าพี่จะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ คนดูไม่ตกใจเหรอ คือเราเป็นห่วงคนดู คือคนเรามีความตกใจไม่เท่ากัน เราก็เป็นห่วง สมมติถ้านุ่นเทียบกับตัวเอง นุ่นเป็นคนขี้กลัวมาก ถามว่าคนดูจะต้องเตรียมตัวยังไง ก็ปล่อยจอยค่ะ เพราะว่าจริงๆ พื้นฐานสนุก คือที่บอกว่าน่ากลัว คือมันมีความน่ากลัวอยู่แล้ว

สำหรับนุ่นคิดว่า ถ้ามานั่งแล้วอากาศมันเย็น มืดๆ แสงสลัว และทุกอย่างมันเอื้อไปหมด คือประสาทสัมผัสทุกอย่าง แทนที่จะคนรู้จากการฟัง เอาตัวเองมานั่งแล้วไม่ต้องเตรียมอะไรเลย สำหรับนุ่นมันคือละครเวทีที่มากกว่าการที่คนดูมานั่งดู แต่ที่นี่เขาให้ความสำคัญในเรื่องของการซ้อมจังหวะมากๆ เทคนิคแสงสีเสียง เหมือนได้เปิดประสบการณ์ใหม่ คนจิตไม่แข็งก็ดูได้ค่ะ เอาคนข้างๆ มาด้วย จะได้หาเรื่อง (ทำท่ากอด) ถ้ามาหาเอาข้างหน้า ก็ต้องดูด้วยนะคะ (หัวเราะ)”

ส่วนตัวไม่เคยเจอประสบการณ์เรื่องผี แต่ก็มีความเชื่อ
“ขอบคุณที่ท่านเมตตา (ทำท่ายกมือไหว้) คือนุ่นเชื่อนะ หมายถึงว่าเราเรียนวิทยาศาสตร์มา แต่เราเชื่อ แม้กระทั่งคลื่นแสง เราเห็นแสงนี้เพราะว่าคลื่นกระทบ แต่มันมีขึ้นอีกหลากหลายมิติมาก ที่ตาเราไม่เห็น แต่ว่ามันมีสิ่งนี้อยู่ เราเชื่อว่ามีก้อนพลังงานบางอย่าง ที่เรามองไม่เห็น เราไม่ได้รู้สึกว่าเราไม่เชื่อ ส่วนตัวนุ่นเองนุ่นเชื่อ เราเคารพในพื้นที่กันและกัน ที่สำคัญต่อให้ไม่ใช่เรื่องนี้ เป็นผีอีแพงหรือว่าเรื่องอื่นที่เราเล่นเป็นผี ก่อนเข้างานทุกครั้ง เราจะพูดเสมอว่าเราไม่ได้มาลบหลู่ เราอยากมาถ่ายทอดในสิ่งที่ตัวละครรู้สึก เราอยากให้คนดูเข้าใจว่า เขาเสียใจ หรือว่าเขาโกรธแค้นแค่ไหน เราขอเป็นพื้นที่ ที่ได้ถ่ายทอดความรู้สึกนั้น และเราจะเคารพเขา แม้กระทั่งนุ่นมาที่นี่เอง ด้วยความขลังที่มี ห้องครู เวลาเราเข้าไปไหว้ เราก็จะพูดเสมอว่า เราอยากเป็นนักแสดงเป็นศิลปินที่อยู่บนเวที และถ่ายทอดตัวละครให้ออกมาดีที่สุด เราจะคิดแบบนี้ และเราก็จะอุ่นใจ ก็เลยทำให้เราไม่เจออะไร ก็ขอบคุณค่ะ เราแฮปปี้ค่ะ”

เชิญชวนทุกคนมาดู มารับประสบการณ์ใหม่ๆ
“รอบฉายวันแรกคือวันที่ 6 มี.ค. - 23 มี.ค. ซึ่งรอบฉายมีน้อยมากค่ะ มีแค่ 14 - 15 รอบเอง ก็อยากให้ทุกคนมาดูจริงๆ เพราะว่าหายากนะ เพราะว่าปกติถ้าเราดูมิวสิคัลก็จะอิ่มใจ แต่เรื่องนี้เหมือนถูกดีไซน์มาเพื่อบิวต์ อยากให้ทุกคนได้มาลองเจอกับประสบการณ์ค่ะ อยากให้คนดูได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยทีมโปรดักชั่นเอง อยากให้คนดูได้รับประสบการณ์นี้ สิ่งที่พวกเราตั้งใจซ้อม เสียงแสงหรือบรรยากาศทุกอย่าง ถูกดีไซน์มาอยากให้ทุกคนได้รับ สามารถซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ สามารถกดซื้อออนไลน์ได้เลย คือต่อให้นุ่นไม่ได้เล่นเอง นุ่นก็รู้สึกว่าเป็นละครเวทีแบบใหม่ของการแสดงด้วยค่ะ”















กำลังโหลดความคิดเห็น