xs
xsm
sm
md
lg

20 ปี A Bittersweet Life บทโหดและโคตรเศร้าของ ‘อีบยองฮอน’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



วันที่อากาศดีในฤดูใบไม้ผลิ ศิษย์คนหนึ่งนั่งดูกิ่งไม้เอนไหวไปกับสายลม เขาถามอาจารย์ขึ้นมาว่า “อาจารย์ กิ่งไม้นั้นไหวหรือลมพัด” ส่วนอาจารย์ไม่ได้มองตามนิ้วที่ศิษย์ชี้ไปแม้สักนิด และพูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ใช่ทั้งกิ่งไม้หรือสายลม แต่เป็นหัวใจและสมองของเจ้าต่างหาก”...

สำหรับคนที่ได้ดูซีรีส์ของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Squid Game โดยเฉพาะซีซันที่ 2 ซึ่งเริ่มสตรีมเมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา และยังคงฮอตฮิตอยู่ในเวลานี้ คงจะเห็นบทบาทของนักแสดงอย่าง “อี-บยองฮอน” ผู้เข้าร่วมเกมการแข่งขันหมายเลข 001 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดของซีซันนี้เลยก็ว่าได้

นักแสดงวัย 55 ปีคนนี้ ถือเป็นดาราระดับ A-List หรือ “ตัวพ่อ” ของเกาหลีใต้ที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 30 ปี มีผลงานเป็นที่ยอมรับมากมายทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ ซึ่งถ้าให้จัดอันดับผลงานยอดเยี่ยมของเขา คงทำใจเลือกลำบากเหมือนกัน เพราะทุกเรื่องที่เขาแสดง ล้วนแล้วแต่มีความโดดเด่นไม่น้อยไปกว่ากัน

โดยหนึ่งในผลงานการแสดงของเขาที่ขอหยิบยกมากล่าวถึงก็คือ A Bittersweet Life ที่จะมีอายุครบ 20 ปีในเดือนเมษายน 2568 นี้ เป็นบทบาทที่ส่งให้เขาก้าวขึ้นไปรับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที The Chunsa Film Art Awards, Baeksang Arts Awards รวมทั้ง The Korean Association of Film Critics Awards


A Bittersweet Life กำกับโดย “คิมจีวุน” คนทำหนังฝีมือดีอีกคนของเกาหลีใต้ คิมจีวุน เคยมีผลงานร่วมในโปรเจคต์ “Three อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต” (ปี 2545) ซึ่งประกอบด้วยหนังสั้น 3 เรื่อง โดยเขากำกับเรื่อง Memories ส่วนอีกสองเรื่องเป็นผลงานของผู้กำกับชาวไทย นนทรีย์ นิมิบุตร และ ปีเตอร์ ชาน ผู้กำกับชาวฮ่องกง ขณะที่คนรักหนังผีก็อาจจะจำคิมจีวุนได้จากผลงานหนังเรื่อง “ตู้ซ่อนผี” (A Tale of Two Sisters ปี 2546)

อีบยองฮอน ได้ร่วมงานกับคิมจีวุนในหนังสามเรื่องติด ตั้งแต่ A Bittersweet Life ต่อด้วย The Good the Bad the Weird และ I Saw the Devil ตามลำดับ ซึ่งการันตีความสนุกทุกเรื่อง หากยังไม่เคยดูและพอมีเวลา อยากให้แสวงหามาดูกัน ส่วน A Bittersweet Life มีให้ดูทางเน็ตฟลิกซ์ เช่นเดียวกับซีรีส์เรื่อง Mr. Sunshine ซึ่งจัดว่าเป็นซีรีส์ที่ดีงามสุด ๆ อีกเรื่องหนึ่งของอีบยองฮอน

กล่าวสำหรับ A Bittersweet Life หนังมาในสไตล์ของหนัง “นีโอ-นัวร์” หรือหนังฟิล์มนัวร์ยุคใหม่ซึ่งเริ่มหยั่งรากในช่วงยุค 70s เป็นหนังประเภทที่หยิบมุมมืดในสังคมมาบอกเล่า เช่น โลกของแก๊งอาชญากร อาชญากรรม ความรุนแรง พวกนอกกฎหมาย หรือแง่มุมอะไรต่าง ๆ ที่ชวนให้รู้สึกมืดหม่นน่าสิ้นหวัง รวมถึงเรื่องราวของตัวเอกนอกขนบแบบ Anti-Hero ตัวอย่างหนังแนวนี้ก็อย่างเช่น Chinatown (1974), Taxi Driver (1976) หรือไล่มาใกล้ ๆ หน่อยก็ Se7en (1995) และ Drive (2011) เป็นต้น

ใน A Bittersweet Life อีบยองฮอน ในวัย 35 ดวงตายังใสแจ๋ว ใบหน้าหล่อคมคาย มาในบทบาทของ “คิมซันวู” หนุ่มนักเลงระดับแถวหน้า เขาทำงานรับใช้ประธานฮันซึ่งเป็นเจ้าพ่อมาเฟียรายใหญ่ ความเนี้ยบเฉียบขาดในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เป็นที่ไว้วางใจของเจ้านายเสมอมา กระทั่งวันหนึ่ง เขาถูกเจ้านายสั่งให้เขาเฝ้าจับตาดูหญิงสาวนามว่า “ฮีซู” ซึ่งเป็นกิ๊กของเจ้านาย เพื่อดูว่าเธอซื่อสัตย์หรือแอบคบหากับใครหรือไม่ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นซึ่งส่งผลกระทบต่ออาชีพของเขาอย่างยากจะหวนคืน


“ทำตัวให้ฉลาดนะ นายกำลังไปได้สวย แต่โลกนี้มันไม่ง่าย นายอาจทำถูกมาร้อยครั้ง แต่พลาดครั้งเดียวก็จะทำลายทั้งหมด” คำพูดนี้ของเจ้านายที่กล่าวกับเขา เสมือนตัวเสนอแก่นเรื่องซึ่งจะพิสูจน์กันในชั่วโมงถัดไปว่า มันจริงอย่างนั้นหรือไม่ และเขาจะยืนหยัดอยู่ได้หรือไม่อย่างไร

การได้พบกับ “ฮีซู” เหมือนค่อย ๆ เข้ามาเปลี่ยนโลกด้านในของนักเลงหนุ่มอย่างที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เราจะเห็นพัฒนาการด้านความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้นในใจของคิมซันวู ซึ่งเอาเข้าจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร แม้แต่ตอนเจ้านายถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ยังตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร เขาถึงทำอย่างนั้นตอนที่เห็นชายชู้อยู่กับฮีซู ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดคำสั่งของเจ้านาย

ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ดูโหดร้ายและหยาบกระด้าง “ฮีซู” เหมือนความสวยงามและสดใสเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนั้น ในยามที่เธอเผยรอยยิ้มหรือเล่นดนตรี ดอกไม้ทั้งโลกก็คล้ายจะผลิดอกออกพร้อมกันจนบานสะพรั่ง ฮีซูรับบทโดย “ชินมินอา” ซึ่งในเวลานั้นยังดูอ่อนเยาว์ในช่วงก้าวเข้าสู่วัยสาว ซึ่งต่อมาเธอคือนักแสดงระดับตัวแม่อีกคนหนึ่งของวงการ ผลงานล่าสุดของเธอคือการรับบททันตแพทย์ยุนฮเยจินในซีรีส์เรื่อง Hometown ChaChaCha ที่หลายคนตกหลุมรัก ความสวยงามของเธอใน A Bittersweet Life ไม่เพียงทำให้มาเฟียรุ่นพ่อลุ่มหลงอย่างหน้ามืดตามัวและเกิดริษยาเด็กหนุ่มทุกคนที่มาตกหลุมรักเธอ แต่ยังทำให้นักเลงหนุ่มที่ดูนิ่งขรึมสุขุมเย็นชาเหมือนคนไร้ความรู้สึกเกิดความสั่นไหว...

...“สิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ใช่ทั้งกิ่งไม้หรือสายลม แต่เป็นหัวใจและสมองของเจ้าต่างหาก” ถ้อยคำที่เกริ่นมาในตอนเปิดเรื่องนี้ ดูจะอธิบายความรู้สึกลึก ๆ ข้างในของคิมซันวูได้เป็นอย่างดี อีกทั้งอาจจะเป็นคำตอบสำหรับเจ้านายได้เช่นกัน


อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ A Bittersweet Life ทำหน้าที่ในการเป็นหนังแอ็คชั่นได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะที่ความเท่และมีสไตล์ในหลายฉากก็ชวนให้คิดถึงสไตล์แบบ “เควนติน ทารันติโน” ประเภทยิงกันหูดับตับไหม้ บทพูดยียวนกวนประสาท ตัวร้ายที่ดูเหมือนฉลาดและถือแต้มเหนือกว่า แต่กลับเสียท่าแบบไม่น่าจะเป็น เช่น ตอนคิมซันวูไปซื้อปืน ตัวละครฝ่ายขายที่ควรจะปิดจ๊อบได้ง่าย ๆ แต่กลับทำให้เป็นเรื่องเป็นราวจนตัวเองดวงกุดและพบจุดจบแบบโง่ ๆ แถมการพูดพล่ามก็เป็นลีลาแบบที่พบเห็นได้ประจำในหนังของเควนตินทุก ๆ เรื่อง

นอกจากนั้น ผลงานชิ้นนี้ยังอาจกล่าวได้ว่าเป็นหลักไมล์แรก ๆ ของหนังเกาหลีแนวแก๊งสเตอร์ที่มาพร้อมกับฉากการต่อสู้อันดุเดือดเลือดกระจาย การฆ่าหรือทรมานแบบโหดดิบเถื่อน แม้ว่ากันตามจริง ตัวเรื่องราวอาจจะไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อน แต่ความเป็นนีโอ-นัวร์ ก็เข้ามาทำหน้าที่ชดเชยได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหลี่ยมคน ความปลิ้นปล้อนยอกย้อน ไร้ปราณีราวกับไม่มีหัวใจ เหล่านี้คือด้านมืดที่ฝังรากลึกอยู่ในวงการนี้ราวกับเป็นดีเอ็นเอ

กระนั้นก็ตาม ถ้าจะบอกว่า ความเป็นหนังมาเฟียนั้นเป็นเพียงเปลือกผิวชั้นนอก หรือเป็นเพียงกลเม็ดของคนทำหนังที่จะพาคนดูไปสัมผัสรับรู้ความละมุนของความรักโรแมนติก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครบอกรักใครเลย แต่รู้สึกได้ว่ามันมีความรักอยู่ในนั้น สิ่งที่มันเยี่ยมยอดก็คือ หนังใช้สิ่งของเพียงชิ้นเดียว คือ “โคมไฟ” ก็สื่อสารความรู้สึกของตัวละครได้ครบถ้วนสมบูรณ์


ความโดดเด่นเห็นชัดในงานชิ้นนี้อีกอย่างก็คือ Mood & Tone ที่ดูเหงา ๆ แบบหนังของหว่องกาไว การเล่นกับแสงและเงา และมุมกล้อง ตลอดจนไดอะล็อกหรือบทพูดที่มีนัยแฝงให้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเดียวดาย เช่น ตอนที่ฮีซูถามซันวูว่าเขาเป็นนักเลงหรือเปล่า แต่ฝ่ายชายตอบว่าไม่ใช่ เขาเป็นเพียงบอดี้การ์ด ถ้อยคำลักษณะนี้มีนัยแฝงที่สะท้อนถึง “ตัวตน” ซึ่งต้องเก็บไว้เพียงลำพังและยากจะอธิบายให้คนอื่นรับรู้เข้าใจได้ นั่นยังไม่นับรวมเพลงประกอบในหนัง (ที่ฮีซูเป็นหนึ่งในนักดนตรี) และมิวสิกสกอร์ ซึ่งรวมกันแล้วช่วยกันขับเน้นมวลความรู้สึกเหงา หวาน เศร้า ขมขื่น ให้ลอยอวลอยู่ในนั้น เหมือนกับถ้อยคำหนึ่งในชื่อเรื่อง Bittersweet หวานอมขมกลืน

และเอาเข้าจริง A Bittersweet Life ดูคล้าย ๆ เป็นศูนย์รวมของตัวละครที่ภายนอกดูโหดร้ายและพร้อมจะใช้ความรุนแรงจัดการสถานการณ์ตรงหน้า แต่ทว่าลึกลงไปในจิตใจก็คล้ายมีความรู้สึกเปลี่ยวเหงาหรือปวดร้าวอยู่ในนั้น ถ้อยคำของประธานฮันที่ว่า “รัก มันจะเป็นความรักไม่ได้ ถ้าโกหกกัน” ฟังแล้วก็ชวนเหงาเหมือนคนที่กำลังรู้สึกว่าตนเองถูกทรยศและสวมเขา หรือแม้แต่ตัวละครที่ดูร้ายอย่างประธานแบ็กก็ดูจะแบกความรู้สึกนั้นไว้ไม่ต่างกัน ในขณะที่ต้องการการยอมรับหรือคำขออภัย แต่ก็ดูคล้ายจะไม่มีวันได้รับในสิ่งนั้นเลย (แน่นอนล่ะ วิธีการที่เขาทำเพื่อจะได้มาซึ่งการยอมรับและคำขออภัย กลับยิ่งผลักดันให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ)

อยากจะได้อยากจะมี แต่ไม่มีวันที่จะได้ .. ช่างเป็นบรรยากาศชีวิตที่ชวนให้ปวดร้าวและเหงาเศร้าอย่างยากจะปฏิเสธ..


ขณะที่อีบยองฮอน ผู้แบกหนังทั้งเรื่องไว้ เขาถ่ายทอดบทบาทนักเลงผู้เด็ดเดี่ยวและโดดเดี่ยวได้อย่างสมบูรณ์ ความเจ็บปวดขมขื่นที่คิมซันวูพบเจอในเส้นทางมาเฟียดูหนักอึ้ง ฝั่งตรงข้ามที่เจ็บแค้นเขา ตามรังควานไม่เลิกรา ยังไม่เท่ากับเจ้านายที่เขารับใช้มาเป็นสิบปี ทำในสิ่งที่เขาไม่มีวันเข้าใจ น้ำตาที่เอ่อท้นท่วมใบหน้ากับการระเบิดอารมณ์ด้วยน้ำเสียงเชิงไต่ถามต่อเจ้านาย สะท้อนความปวดร้าวอย่างสุดหัวใจออกมาจนหมดสิ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ดูเหมือนจะเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนฝันบางอย่างที่ดูเป็นโลกคู่ขนานหรือโลกคนละใบที่เขาได้ทำได้เพียงแค่มอง แต่มิอาจจับต้องสัมผัสได้

เช่นเดียวกับตอนเปิดเรื่อง A Bittersweet Life ส่งท้ายอำลาผู้ชมด้วยบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับศิษย์เช่นเดิม ซี่งฟังแล้วทั้งหวาน และเศร้า และเหงา ๆ ชวนขมขื่น

...กลางดึกคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ผู้เป็นศิษย์ตื่นขึ้นมาร้องไห้ อาจารย์จึงถามศิษย์ว่า “เจ้าฝันร้ายหรือ?” ผู้เป็นศิษย์ตอบว่า “เปล่า” อาจารย์ถามอีกว่าเธอฝันเศร้าเหรอ “เปล่า” ศิษย์ตอบ “ผมมีความฝันที่แสนหวาน” อาจารย์ถามอีกว่า แล้วทำไมเธอถึงร้องไห้อย่างน่าเศร้า ศิษย์ตอบอย่างแผ่วเบา มือปาดน้ำตา “เพราะฝันที่ผมมีนั้นไม่มีวันเป็นจริง”...





กำลังโหลดความคิดเห็น