ถ้าหนังแอ็กชั่นที่ดี ควรต้องมีสถานการณ์ที่กดดันบีบคั้นให้ลุ้นระทึกแบบตรึงคนดูให้อยู่กับการเอาใจช่วยตัวละครโดยไม่สูญเสียความสนใจ รวมทั้งมีดราม่ารองรับให้รู้สึกว่าความหวังของตัวละครช่างดูริบหรี่และยากจะสำเร็จ ผลงานของผู้กำกับ “อีจงพิล” เรื่องนี้ก็ได้ทำหน้าที่นั้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตลอดความยาวของหนังประมาณชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ดร็อป แต่พาเรื่องราวก้าวไปข้างหน้าอย่างเร้าใจในคำตอบสุดท้ายว่า ภารกิจ Escape ของตัวละครที่เราเอาใจเชียร์ จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่อย่างไร
เรื่องราวของทหารหนุ่มเกาหลีเหนือที่กำลังจะปลดประจำการในอีกไม่ช้า หลังจากรับใช้ชาติมานานกว่า 10 ปี แต่แทนที่เขาจะเตรียมตัวกลับบ้านไปใช้ชีวิตเฉกเช่นประชาชนคนโสมแดงทั่วไป เขากลับมีแผนการที่จะหลบหนีข้ามพรมแดนไปยังเกาหลีใต้ด้วยไฟฝันอันคุโชนถึงการตั้งต้นชีวิตใหม่ อย่างไรก็ดี ถึงแม้ความฝันจะอยู่ใกล้แค่เส้นแบ่งเขตแดน แต่การจะข้ามไปยังอีกฝั่งนั้น ต้องเดิมพันด้วยชีวิต
“จงกลัวที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย จงอย่ากลัวความตาย” (Fear a Meaningless Life , Not Death Itself) เป็น Tagline ที่โชว์บนโปสเตอร์หนัง ฟังแล้วชวนให้จิตใจฮึกเหิม ปลุกเร้า Inspiration เช่นเดียวกับโปสเตอร์อีกเวอร์ชั่นที่โปรยปกว่า Don’ t Look Back , Outrun to Your Fate ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนถ้อยคำกำกับความคิดและการตัดสินใจในเส้นทางชีวิตของตัวละครซึ่งเขาเห็นว่ามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แม้จะถูกเยาะหยันว่าเส้นทางข้างหน้ามีแต่ความล้มเหลวเท่านั้นแหละที่รออยู่ แต่การเลือกชะตาของตัวเองก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้ ดังนั้นแล้ว ต่อให้ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็ได้ทดลองด้วยตัวเองแล้ว
และคนที่เยาะหยันเขานี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญของเรื่องซึ่งถูกใส่เข้ามาในลักษณะเป็นตัวเปรียบเทียบความแตกต่าง คนหนึ่งพร้อมจะหนีเพื่อไปสร้างชีวิตใหม่ในต่างแดน ส่วนอีกคนยินยอมพร้อมอยู่รับใช้ชาติประเทศบ้านเกิดของตนเองต่อไป แม้จะต้องแบกรับความปวดร้าวอย่างไรก็ตาม เพราะเรื่องความฝันหรือความปรารถนาส่วนตัวควรมาทีหลังบทบาทและความคาดหวังจากสังคมและผู้อื่นที่ค้ำคออยู่
ใช่เพียงเท่านั้น ตัวละครคู่นี้ยังเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างกันในเรื่องชนชั้นในสังคมที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ทหารหนุ่มผู้ต้องการหนี เรียกว่าอยู่ชั้นล่าง ๆ ในสังคมที่ชีวิตไม่ได้เอื้ออำนวยให้มีความฝันที่แตกต่างหลากหลายอะไรมากมายนัก (ดุจเดียวกับหนุ่มรัฐฉานในหนังไทยเรื่อง “ดอยบอย” ที่พอเกิดมาในสังคมนั้นก็ดูจะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นอะไรได้มากไปกว่าการเป็นทหาร) การหนีของเขาจึงมีความหมายขึ้นมา ขณะที่อีกหนึ่งคนเกิดและเติบโตในครอบครัวที่พูดได้ว่าอยู่ในระดับสูง เป็นใหญ่เป็นโตในกองทัพ โอกาสเติบโตในชีวิตรวมทั้งทำตามความฝันอะไรก็จะเป็นไปได้ไม่ยาก เขาจึงไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปยังถิ่นอื่นตราบเท่าที่ยังพอใจในสถานะและการเป็นอยู่แบบนี้ อย่างไรก็ดี หนังได้ใส่รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับตัวละครนี้เข้ามาแบบบาง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นค่านิยมของสังคมที่ยังไม่เปิดรับเรื่องความหลากหลาย เป็นความปวดร้าวภายในที่ต้องเก็บงำไว้อย่างมิดชิด
ทั้งนี้ นักแสดงทั้ง “อีเจฮุน” ผู้รับบททหารหนุ่มที่เปี่ยมด้วยแรงมุ่งมั่น และ “คูคโยวาน” ทหารรุ่นพี่ที่รับบทนักล่า ทั้งสองแสดงดีได้ใจคนดู โดยเฉพาะคูคโยฮวาน (ชื่อแอบอ่านยากอยู่หน่อย) เอาเข้าจริงรู้สึกชอบมากกว่าบทของอีเจฮุนเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาดูมีมิติหลากหลายในตัวเอง บางทีก็ดูเป็นปีศาจร้ายที่ถวายหัวใจให้อุดมการณ์ของกองทัพแบบสุดกู่ บางจังหวะก็ดูหดหู่น่าเห็นใจเหลือประมาณ และเมื่อหนังเดินทางถึงตอนท้าย ๆ เราก็ได้เห็นอีกด้านของเขาจาก “หนังสือเล่มนั้น”...
ป.ล. ชอบบรรดาพวกคำขวัญที่ติดอยู่ตามจุดต่าง ๆ ภายในค่ายทหารและกองบัญชาการของกองทัพ อ่านแล้วรู้สึกตอกตรึงความคิดและกล่อมจิตสำนึกได้ขึงขังยิ่งนัก!
ป.ล.2 ถ้อยคำ “รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง” มาจากเพลง “เล่นของสูง” โดย บิ๊กแอส (2547)