อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิต “วู้ดดี้” ควง “โอ๊ต” จดทะเบียนสมรส “เศรษฐา” อดีตนายกฯ เป็นประธาน ลั่นคุ้มค่าการรอคอยกว่า 10 ปี มีหลาน 5 คนแล้วไม่อยากมีทายาทตอนนี้ ชื่นชมเมืองไทยก้าวหน้า กล้าคิด กล้าทำ ขนลุกไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้กับประเทศไทย ลั่น 18 ปี ครบรส จะหวานฉ่ำกว่าเดิม ยันสมรสเท่าเทียมไม่แหกกฎจักรวาล
นับเป็นเวลา 10 ปีที่รอคอย สำหรับ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา”กับหวานใจ “โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล”ที่ควงแขนกันจดทะเบียนสมรสเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในวันนี้ (27 ม.ค.68) เพื่อฉลองกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทยได้กลายเป็นชาติแรกในอาเซียน สร้างความเท่าเทียมกันให้คนทุกเพศในสังคม
โดยมีนายทะเบียนจากสำนักงานเขตปทุมวัน ดำเนินการจดทะเบียนสมรส และมี “นายเศรษฐา ทวีสิน”อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในงาน พร้อมด้วยคณะทำงานจากหลากหลายภาคส่วนที่ช่วยผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม อาทิ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , นายดนุพร ปุณณกันต์ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สมรสเท่าเทียม ฯลฯ รวมถึงเพื่อนๆ ในวงการที่มาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าจะเป็น กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ, จ๋า ยศสินี ณ นคร , เปิ้ล ณัฐบูร ไตรณัฐี , นก ศิขรินธาร พลายเถื่อน , กัน สิทธิโชค เปล่งพานิช รวมถึง หนูแหม่ม สุริวิภา กุลตังวัฒนา รับหน้าที่พิธีกรในงาน ณ ห้อง Ballroom ชั้น 4 โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โดยวู้ดดี้และโอ๊ตได้ควงแขนเปิดใจว่า
วันนี้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิตของตน
วู้ดดี้ : “ตอนนี้รู้สึกอิ่มใจมากหลังจากที่รอคอยมา 10 ปี กับการที่เปิดตัวในวันนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไง แต่ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและต้องทำ และโอ๊ตก็บอกเองว่าถ้าเราออกมาเปิดตัวแล้วมันจะทำให้แม้กระทั่งความคิดที่ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมมันจะเกิดขึ้นได้ แล้วพอวันนี้มันเป็นอย่างที่เห็นแล้ว และเราได้มายืนอยู่ตรงนี้ มันเหมือนกับว่าเราได้เกิดมาเป็นไทย เป็นเกย์ และเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองในตำแหน่งนี้แหละครับให้ดีที่สุด ก็รู้สึกว่ามันได้มีโอกาสก้าวไปอีกขั้นนึงของชีวิต มันไม่ใช่แค่คู่เรา แต่มันเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนสามารถแสดงออกถึงความรักได้ มันอิ่มอกอิ่มใจมากที่สุดในชีวิตเลยครับ”
โอ๊ต : “มองไปรอบห้องแล้วก็รู้สึกถึงความโชคดีครับ ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่มีคนที่รัก มีครอบครัวที่มาอยู่กับเรา และคุณพ่อมาพูดวันนี้ ปกติคุณพ่อก็ไม่ใช่คนพูดเยอะ ก็ดีใจครับที่ได้ยิน ได้เข้าใจว่าผู้ใหญ่คิดยังไง และเห็นว่าคนที่มองเป็นผู้ใหญ่เขาก็สามารถมีมุมมองใหม่ๆ ได้ เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่ได้เข้าใจ แต่ผมคิดว่าแบบที่คุณพ่อพูดว่ามันก็น่าจะเป็นเรื่องที่สังคมน่าจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ”
วู้ดดี้ : “ตกใจนะ เพราะไม่เคยรู้ว่าพ่อรู้สึกยังไง เพราะตอนที่เราคบกันก็ไม่ได้ถามพ่อ และแม้กระทั่งวันนี้ก็บอกพ่อว่าพูดหน่อยนะ ก็ไม่รู้ว่าพ่อจะพูดอะไร เพราะพ่อไม่เคยออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเป็น LGBTQ พ่อไม่เคยพูดเลย และเมื่อกี้พอพ่อพูดก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ครับ เพราะพ่อเข้าใจมาก และเราคิดว่าเราโชคดีมากครับ”
ความรู้สึกแตกต่างจากการแต่งงานเมื่อ 10 ปีก่อน สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
โอ๊ต : “วันนี้มันเหมือนเราได้อยู่ในที่สว่างและเราได้ประกาศให้คนรู้ และการที่ทุกคนรับรู้และรอยยิ้มที่ได้กลับคืนมามันเป็นพลังที่มหาศาลมากครับ พออยู่กันกลุ่มเล็กๆ มันก็จะเป็นอะไรที่เหมือนเป็นความลับที่เราต้องปกป้องไว้ แต่พอมันไม่ใช่แล้ว มันเป็นอีกพลังงานนึงเลยครับ ที่เราได้แชร์ เราพยายามที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไปครับ“
วู้ดดี้ : “วันนี้รู้สึกว่าเราเป็นเรา 100% ครับ มันไม่มีการหลบซ่อน ไม่มีความรู้สึกว่าเราผิดไหม มันสมบูรณ์แบบมาก และมันฟรีมาก สบายมาก และคนที่เรารักทุกคนมาอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าวันนั้นก็มีแค่เพื่อนๆ วันนั้นเราก็แสดงให้เห็นว่าเรารักกันมากเนอะ แต่วันนี้ความรักมันไม่ได้กระจายตัวออกไป และรู้สึกดีใจมากครับที่ครอบครัวได้มีโอกาสมีส่วน”
โอ๊ต : “ผมไม่เคยเห็นเขาตื่นเต้นนะ วันนี้เป็นวันแรกที่ตื่นเต้น พูดไม่รู้เรื่องนี่วันแรกเลยตอนที่พูดสปีช (หัวเราะ)”
ยึดคำมั่นสัญญาเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน จับมือไปด้วยกันตลอด
โอ๊ต : “จริงๆ เราคุยกันเรื่องนี้ว่าเราเคยมีคำมั่นสัญญาตอนที่เราแลกคำมั่นสัญญากันเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่งานที่ภูเก็ต และเราก็ยังยึดคำมั่นเดิมนั้นอยู่ครับ ก็พูดยาวเลยครับ (หัวเราะ)“
วู้ดดี้ : “มัน 5 นาทีเลยครับ (หัวเราะ) ฉันจะนู่น ฉันจะนี่ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ฉันจะอย่างนั้นอย่างนี้”
โอ๊ต : “สรุปก็คือเราจะยอมรับและดูแลในกันและกัน ไม่ว่าทุกอย่างจะเป็นยังไง เรารู้ว่าเราเลือกคนนี้แล้ว เราจบที่คนนี้แล้ว และเราก็ต้องจับมือไปด้วยกัน”
วู้ดดี้ : “เพราะว่าไม่มีน้ำบ่อหน้าแล้ว และเราก็จะอยู่ที่บ่อนี้ มีความสุขในวันนี้ด้วยกัน และถ้าเกิดว่าเจอทุกข์ เจอสุข เจออะไรก็ตามถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เราจะได้แบ่งปันไปด้วยกัน นั่นคือคำมั่นสัญญาที่มีให้แก่กันวันนั้น และวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ใช่ไหมครับที่รัก”
โอ๊ต : “ใช่ครับ”
ใจหวิวจรดปากกาจดทะเบียน ขนลุกไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้กับประเทศไทย
โอ๊ต : “เอาจริงก็หวิวๆ นิดนึง (หัวเราะ) จริงๆ เราคบกันมา 18 ปีแล้วครับ ตอนงานแต่งก็ 10 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ยังคุยกันว่ามันจริงแล้วนะ เมื่อกี้พี่แมร์ก็บอกว่าเอาจริงแล้วนะ”
วู้ดดี้ : “เพราะว่าตอนที่แต่งงานวันนั้นมันก็ไม่ได้ต้องจดทะเบียน เราก็ไม่ได้เห็นต้องการเลย เราก็อยู่ได้ แต่พอเราได้เจอหลายๆ เรื่องที่เข้ามาแชร์ให้เราฟัง เช่นลูกคนนึงตอนนี้ก็ยังนอนอยู่โรงพยาบาล เอาเป็นว่าเขาตกลงกันว่าเขาจะไป แต่แม่เขามาห้ามว่าไม่อยากให้ลูกไป ทำให้เรารู้สึกว่ากฎหมายนี้มันสำคัญมากเลยที่คุณสามารถตัดสินใจแทนกันได้ในการดูแลกันและกัน โดยเฉพาะตอนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแล้วผมป่วย และหมอก็ต้องการจะผ่าตัด เขาก็ถามโอ๊ตว่าคุณเป็นใคร โอ๊ตก็บอกว่าเป็นแฟน เขาก็บอกว่ามีแค่ครอบครัวเท่านั้นที่จะตัดสินใจได้
วันนั้นเราก็เลยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ก็เลยรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบจริงๆ เราไม่มีความกังวลอีกต่อไปแล้วหลังจากนี้ ถ้าเกิดใครเป็นอะไรก็สามารถตัดสินใจแทนกันได้ เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปีมันเป็นแค่ที่อยู่ในหัวว่ามันไม่มีปัญหาหรอก แต่สุดท้ายมันมีแน่นอน เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนแต่วันนี้มันมีการการันตีแล้ว และขนลุกตรงที่ว่าสิ่งที่เราไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ มันเป็นไปได้กับประเทศนี้ และมันเป็นไปได้กับทุกๆ คู่ และวันนี้เรามาจดเอง เมื่อวันที่ 23 เราก็เห็นข่าวของหลายๆ คนเราก็ดีใจกับทุกคน พอวันนี้มาจดเองก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เราได้แต่งงานจริงๆ แบบคนอื่นแล้วที่รัก”
โอ๊ต : “ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ครับ”
ไม่เปลี่ยนนามสกุล
โอ๊ต : “เคยคุยเรื่องนี้ว่าเราก็ยังใช้นามสกุลของตัวเอง ยังไม่ได้เปลี่ยนครับ”
วู้ดดี้ : “ก็เชื่อว่าต่างคนก็แฮปปี้กับนามสกุลที่ตัวเองมี และเห็นหลายคู่รัก ชายหญิงก็ตัดสินใจว่าจะใช้นามสกุลของตัวเอง แต่ไม่แน่นะครับ อีกไม่กี่ปีอาจจะอยากเปลี่ยนเป็นนามสกุลเขา ปีคี่เป็นนามสกุลเขา ปีคู่ก็เป็นนามสกุลผม มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ หรือจะยังไงก็ได้ ข้อดีของกฎหมายไทยคือคุณเลือกได้ว่าคุณอยากได้ชีวิตแบบไหน”
ไม่อยากมีทายาท เพราะมีหลาน 5 คน เต็มบ้านแล้ว
โอ๊ต : “ณ ตอนนี้ผมไม่ได้อยากมี เพราะผมมีหลาน 5 คนก็เต็มบ้านแล้วครับ โชคดีที่มีหลานรักที่เขาก็เห็นเรามาตั้งแต่เกิด และเขาก็รักพวกเราทั้งคู่ เป็นลุงที่ใจดี ก็ปล่อยให้พ่อแม่เขาสั่งสอน ส่วนเราก็เป็นคุณลุงที่ใจดีครับ”
วู้ดดี้ : “เราก็มีหน้าที่สปอยเขา เพราะว่าตอนแก่เราอยากให้เขาดูแลเรา ก็จะบอกเขาว่าลุงสองคนรักยูมากกว่าพ่อแม่อีกนะ จำไว้ พอเราเห็นน้องๆ เราดูแลหลาน และเวลาเด็กโตมาแล้วตั้งคำถาม ผมเห็นเขาเจอปัญหาเยอะมาก เราก็เลยมองว่าเราอยากจะแบ่งเบาภาระของพี่น้องเราโดยการช่วยกันดูแล วันนั้นเราเคยอยากจะมีลูก แต่พอเห็นหลาน 4-5 คนแล้ว แค่นี้เราก็ขอรับมาเป็นเหมือนกับลูกในเวลาเดียวกัน และดูแลพวกเขาก็จะดีเหมือนกันครับ
ผมว่าวันนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของเพศสภาพ มันไม่ใช่แค่เรื่องของความเท่าเทียม หรือแม้กระทั่งในอนาคตเรื่องของชื่อนำหน้าอีก มันเป็นความสมบูรณ์แบบของการสร้างครอบครัวที่คุณสามารถมีลูกได้ ที่คุณสามารถเลือกหนทางในการอุ้มบุญได้ และนี่ก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เชื่อว่ามันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ความเหมาะสม และจังหวะที่ใช่ สมรสเท่าเทียม คู่ชีวิต ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม มันเดินทางมา 10 กว่าปีด้วยกัน และหลังจากนี้ไปผมว่ามันก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ
ส่วนตัวแล้วไม่มีอะไร ณ ตอนนี้ผมว่าแค่เราเปลี่ยนจากนาย หญิง มาเป็นบุคคลที่หนึ่งกับบุคคลที่สอง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่างๆ ต้องไล่เก็บกันเยอะมาก ตอนนี้เรามาไกลมาก ยังไม่ได้รู้สึกว่าต้องการอะไรไปมากกว่านี้ เรารู้สึกว่าเดี๋ยวธรรมชาติก็จะจัดสรรเองว่าอะไรที่มันจะต้องดำเนินการต่อไป ช่วงนี้เป็นช่วงฉลองครับ ดังนั้นยังไม่ต้องมีอะไรมากนอกจากฉลองกันปีนี้ ฉลองถึงความแตกต่าง ฉลองถึงโอกาสที่ทุกคนจะมีความเท่าเทียม มันไม่ใช่แค่ LGBTQIAN+ แต่งงานนะครับ แต่มันคือมนุษย์ทุกคนในประเทศไทยวันนี้มีความเท่าเทียมกันหมดแล้ว ไม่มีใครรองใคร ไม่ว่าคุณจะมีรายได้แบบไหน คุณจะมาจากที่ไหนก็ตาม แต่วันนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศสภาพไหนก็ตาม คุณมีความเท่าเทียมกันหมดตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมาครับ”
ชื่นชมประเทศไทย ก้าวหน้า กล้าคิด กล้าทำ ชาติแรกในอาเซียน เชิญมาแต่งงานที่เมืองไทย
โอ๊ต : “ก่อนอื่นผมว่าเราต้องชื่นชมประเทศเรา ที่เราก้าวหน้า เรามีความคิดที่กล้าทำ ผมว่าทุกประเทศเขาก็น่าจะมีวิธีและเส้นทางเดินของเขาตามความเหมาะสม เพราะเราอยากให้พอมันเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและเกิดขึ้นด้วยความเข้าใจของคนในประเทศนั้นจริงๆ ฉะนั้นผมคิดว่าทุกประเทศมีทางของเขา”
วู้ดดี้ : “ทุกอย่างในโลกนี้มันมีจังหวะของมัน แต่ละสังคม แต่ละวัฒนธรรม แต่ละประเทศก็จะมีจังหวะที่มันไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งบางวัฒนธรรมมันเปิดกว้างมาก ยอมรับความหลากหลาย และวันนึงก็ตัดสินใจจะถอนออกมาไม่เป็นแบบเดิม ดังนั้นจะบอกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน อย่างของบ้านเราที่เราไม่คิดว่ากฎหมายที่จะผ่าน ณ วันนี้ก็กลายเป็นชาติแรกในอาเซียน แล้วเราก็กลายเป็นประเทศที่ถ้ามองไปรอบโลกตอนนี้ทุกคนก็จะบอกว่าประเทศไทยคือดินแดนแห่งอิสรภาพอย่างแท้จริง มันคือความงดงาม
อย่างที่บอกโอ๊ตว่าบางทีเราโตขึ้นรู้สึกว่าประเทศเรามันไม่เหมือนประเทศอื่น ผมเข้าใจว่าไม่เคยมีใครบอกว่าประเทศที่ตัวเองอยู่มันโอเค แต่วันนี้อยากจะให้ย้อนกลับมามองถึงความเท่าเทียมว่า อย่างน้อยเราก็อยู่ในประเทศที่ทุกคนมันเท่าเทียมกันแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้ทุกสังคมทุกชาติ เพราะทุกๆ อย่างมันมีจังหวะมันมีเวลา ถ้าเกิดคุณอยากแต่งงานมาเมืองไทยได้ครับ มาแต่งงานที่เมืองไทยครับ”
โอ๊ต : “การที่มีกฎหมายนั่นคือการยอมรับ สังคมเด็กรุ่นใหม่อย่างลูกหลานเรา ในหัวเขาไม่มีคำศัพท์ พูดจาเหยียดหยามมา สมมติเมื่อก่อนในโซเชียลเราก็จะเห็นมีคำพูดจาไม่ดี แต่ผมว่าในประเทศของเราตอนนี้น้อยลง และเราก็จะเห็นว่าเวลามีคอมเมนต์ไม่ดี มันก็จะมีคอมเมนต์ดีๆ เข้ามาต่อต้านตรงนั้นอีกเป็น 10 เท่าว่าโลกเราไปถึงไหน ผมว่าแบบนี้มันก็เห็นแล้วว่าเราไปไกลมาก แม้แต่ตัวข่าวของสมรสเท่าเทียมเองที่ลงในประเทศไทยและที่ไปออกข่าวในต่างประเทศ แล้วในต่างประเทศก็มีการพูดถึงเรื่องนี้เยอะมาก ก็เป็นข้อดีของคนไทยที่มีความเปิดรับมากขึ้น กว้างมากขึ้น”
วันแรกหลานงง นอนบ้านเดียวกันได้เหรอ แต่วันนี้ทุกอย่างคือเรื่องปกติแล้ว
วู้ดดี้ : “มีคนถามว่าแล้วหลานๆ เราจะชวนเขามาไหมในงานนี้ เราก็บอกว่าต้องมาสิ เพราะว่าเขาคือหลานเรา ณ วันนั้นวันแรกที่เขาก็ยังงงว่าเวลามาบ้านเราเขาก็ยังงงว่าลุงวู้ดดี้ลุงโอ๊ตนอนบ้านเดียวกันเหรอ นอนบ้านเดียวกันได้ด้วยเหรอ เป็นไปได้เหรอ พอจากตอนนั้นที่เขางงว่าคืออะไร แล้ววันนี้เขาก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไปเขาก็จะมีภูมิคุ้มกัน สมมติว่าวันนึงในโรงเรียนจะมีคนที่บอกว่าเป็นตุ๊ดไม่โอเค เขาก็จะสามารถยืนหยัด และบอกกับคนอื่นได้ว่านี่คือเรื่องธรรมชาติ มันเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นผมว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่มันไม่มีอะไรในโลกนี้ที่มันร้อยเปอร์เซ็นต์ มันยังมีคนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เหมือนอะไรหลายๆ อย่างในโลกใบนี้ และมันไม่มีอะไรเป็นอย่างแท้จริงในโลกนี้ แต่เราต้องเน้นเนื้อเรื่องที่มันงดงาม เพื่อที่จะได้ผลักดันให้โลกหรือกระแสโลกมันไปอีกทางนึง
อย่างล่าสุดที่เราแต่งงานกัน ก็มีเห็นข่าวแล้วยังใช้คำที่มันไม่โอเค โดยเฉพาะพี่น้องชาวไทยด้วย ซึ่งเราก็มองว่าไม่เป็นไร เพราะว่าประสบการณ์ชีวิต ความเข้าใจของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้กับเรา คนที่เขาไม่ได้อยู่ในสังคมเรา ที่มีการเปิดรับการยอมรับ เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจว่าวัฒนธรรมแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และเราต้องยอมรับในการตัดสินที่เขาจะวิพากษ์วิจารณ์หรือติเท่านั้นเอง แล้วเราก็ไม่ได้โกรธ เพราะว่าเราก็มีงานที่ต้องทำเยอะในการแบ่งปัน แล้วก็ทำให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ”
โอ๊ต : ”ผมขอเสริมนิดนึง ผมว่าทุกครั้งที่เราเห็นข้อความหรือเห็นคนที่เขาอคติ ที่เราต้องมีกฎหมายอันนี้เพื่อให้บอกเขาว่าอันนี้กฎหมายแสดงให้เห็นว่าเราเท่าเทียม คุณไม่เห็น แต่กฎหมายเห็น”
วู้ดดี้ : “ในวันที่วัฒนธรรมระดับโลกกำลังบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เราไม่ควรให้ความสำคัญ แต่ผมว่าวันนี้มันเป็นวันที่พวกเราทุกคนจะต้องออกมาแบ่งปันให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ และมันเป็นเรื่องแรกเลยที่เราจะต้องให้ความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เราเป็นมนุษย์ได้ เราจะชอบ รักบุคคลแบบไหนยังไง ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่ไหนในโลก ชาติไหน สีผิวอะไร มันมีแต่ความเข้าใจกัน อันนี้คือสิ่งที่โลกต้องมีในวันนี้ คือการให้เกียรติยอมรับและเข้าใจความต่างกัน”
ความรักจะหวานฉ่ำกว่าเดิม
วู้ดดี้ : “มันก็จะฉ่ำ หวานกว่านี้ครับ เพราะอย่างที่เพื่อนบอก เราเข้าใจเรื่องภาษารักมาผิดตลอด ผมเข้าใจภาษารักในการสัมผัส กอด แต่เขาชอบให้เราฟัง ให้เกียรติในการรับฟัง เพราะว่าบางทีเขาพูดด้วยกับเรา เราก็เล่นโทรศัพท์ แล้วก็เออๆ ซึ่งเขาให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก เราก็ต้องมาจูนกัน ก็ช่วยกัน ไม่ได้เปลี่ยนนะครับ แต่เดี๋ยวก็จะจูนกันเรื่อยๆ ช่วงนี้มันเป็นช่วงเกลา”
โอ๊ต : “ผมคิดว่าเกลาไปเรื่อยๆ เกลากันมา 18 ปีแล้ว ผมก็จะเกลาไปเรื่อยๆ อีก (หัวเราะ)”
อยู่เป็น อยู่ทน ทนอยู่ 18 ปีครบรส
โอ๊ต : “ที่ขึ้นมาในหัวเลยก็อย่างที่พี่หนูแหม่มบอก คืออยู่เป็น อยู่ทน แล้วก็ทนอยู่ (หัวเราะ)”
วู้ดดี้ : “ผมว่า 18 ปีมันครบรส มีหลายคู่ที่เขาอยู่กัน 30-40 ปี เขาก็บอกว่ามันเพิ่งเริ่มต้นเอง 18 ปีคือบททดสอบที่บอกว่าเราเป็นเพื่อนกันได้ด้วย แล้วก็เป็นแฟนกันได้ด้วย หลังจากนี้ไปมันเป็นการจูนกันไปเรื่อยๆเขาคือก้อนธรรมะ เขาคือก้อนทุกข์ของผม แล้วผมก็เป็นก้อนทุกข์ของเขา แล้วเวลาที่เรามีปากเสียงกัน มันเปิดโอกาสให้มีปัญญาเกิดขึ้น ปัญหาเท่ากับปัญญา“
หอมแก้มโชว์ จะแก่ไปด้วยกัน
วู้ดดี้ : “ก็ขอบคุณที่เข้ามาทักเราในงานแต่งของพี่ชาย ที่ยูถือแก้วแชมเปญแล้วก็บอกว่าจำกันได้ไหมแล้วไอก็มองหน้ายูก็งงว่าเป็นใคร แต่พอรู้ว่าเราโตกันมาตั้งแต่เด็กประถม ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่ว่าพ่อแม่เราเป็นเพื่อนรู้จักกันมา และเชื่อว่าไม่มีอะไรบังเอิญ จำได้ไหมยูยังถามไออยู่เลยก่อนงานแต่งเราเมื่อไม่นานนี้ ว่าเราจะแต่งไปเพื่ออะไร แน่ใจแล้วเหรอ อยากจะบอกว่ามันไม่เห็นใครแล้วในชีวิตที่เราอยากจะแก่ไปด้วย อยู่ไปด้วย ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ที่เป็นการเรียนรู้ทั้งหมด รักนะ (หอมแก้มโอ๊ต)”
โอ๊ต : “ตั้งแต่คบกันมาก็รู้สึกว่ามันทำให้เราทั้งคู่โตขึ้น เราเป็นบทเรียน บททดสอบให้กันและกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ไม่เลิกที่จะพัฒนาและโตไปด้วยกัน ก็เลยรู้สึกว่าการที่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา มันก็ทำให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้น ภูมิใจที่เราเป็น”
ไม่ได้แหกกฎจักรวาล
โอ๊ต : “ใครเขียนกฎจักรวาลไว้ครับ (หัวเราะ)”
วู้ดดี้ : “ผมว่าไม่มีอะไรเป็นกฎที่ถูกที่ผิด ทุกอย่างในโลกนี้ต่างเมกขึ้นมาหมด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายสัญชาติ เชื้อชาติ ไม่มีอะไรจริง และไม่มีอะไรไม่จริง ลึกหน่อยนะครับ แต่คุณคิดว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้มันผิดเหรอครับ ผมว่ามันดีมาก และทุกคู่ที่ผ่านงานอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณดูแล้วคุณยิ้ม คุณดูแล้วมีความสุข เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันไม่ได้แหกกฎจักรวาลครับแต่ผมคิดว่าจักรวาลเปิดรับทุกคนครับ”
